กริ้ง ๆ ๆ ๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรับสายตามปกติ เจ้าของเสียงที่โทรเข้ามาเป็นอาจารย์ฝ่ายคอมพิเวตอร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง แจ้งว่าเครื่องพิมพ์ของโรงเรียนเปิดไม่ติด ช่วยส่งช่างเข้าไปดูให้หน่อย เพราะต้องใช้งานวันนี้ (เน้นคำว่าวันนี้) … ไฟไม่ดับนะครับอาจารย์ ผมถามกลับไป … ไม่ดับแน่นอน เครื่องคอมพิวเตอร์ยังเปิดติดเป็นปกติเลย … อาจารย์ตรวจดูสายไฟที่เสียบปลั๊กดูรึยังครับ ว่าหลวมหรือเปล่า ผมถามให้แน่ใจ เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาของทั้งสองฝ่าย … “แน่นแล้ว ครูตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าแน่นแน่นอน สงสัยหม้อแปลงของเครื่องจะเสียมากกว่า” ท่านตอบกลับมา ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน จึงรีบส่งเพื่อนอีกคนเข้าไปดูให้ทันที เพราะรู้ว่างานของโรงเรียนมีเยอะ
ไม่ถีงครึ่งชั่วโมง เพื่อนก็กลับมาตัวเปล่าไม่ได้ยกเครื่องพิมพ์กลับมาด้วย ผมจึงถามด้วยความสงสัย “อ้าว ทำไมกลับมาตัวเปล่า” เพื่อนก็มองผมตาถนน ตอบคำถามหน้าตายู่ยี่ “แค่ปลั๊กหลวม …. ทำไมคุณ (วันนั้นเขาไม่ได้ใช้คำนี้) ไม่ถามลูกค้าให้ดีก่อน” “เฮ้ย… ถามแล้วเฟ้ย” ผมสวนทันควัน “ก็อาจารย์เขาบอกว่าแน่นดีแล้วนี่” เพื่อนผมไม่ฟังเสียง เดินงุ่นง่านกลับไปทำงานต่อหลังร้าน
ด้วยความขี้สงสัย (ตามประสาคนเรียนสายวิทยาศาสตร์) จึงโทรไปถามอาจารย์ให้รู้แล้วรู้รอด “อาจารย์ครับ ขอโทษนะครับ ตกลงเมื่อตะกี้ที่เครื่องพิมพ์เปิดไม่ติดเพราะสายไฟหลวมหรือครับ” ผมถามอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แหะๆๆๆ” เสียงอาจารย์ดังมาตามสาย “ก็เพราะสายหลวมนั่นแหละ ที่คุณบอกให้ครูขยับสายให้แน่นน่ะครูก็ทำแล้วจริง ๆ แต่ไปขยับเอาสายไฟของแสกนเนอร์ ไม่ใข่ของเครื่องพิมพ์ แบบว่าสายมันพันกันมั่วไปหมด สีก็เหมือนกันน่ะ (แกชักแม่น้ำทั้งห้ามาบรรยายให้ผมเคลิบเคลิ้ม) มันก็เลยใช้ไม่ได้ ขอโทษนะที่ทำให้เสียเวลา” “อ้อ… ครับ ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับไป … มื้อค่ำวันนั้น ผมก็เลยต้องควักกระเป๋าเลี้ยงข้าว ดับอารมณ์เพื่อนผมไปหลายบาท เฮ้อ… ทำไมเขาไม่ผลิตให้ทุกเครื่องรวมกันใช้สายเดียวน้อ….