Select Page

ดอกเสี้ยวบานที่ภูชี้ฟ้า กับ ทิวลิปที่ผาหม่น

—————————————————————————————————————————————————- 

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความ 9 ตอนของทริป เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-เชียงราย
1. อรุณสวัสดิ์เชียงใหม่ – ไหว้พระวัดพระสิงห์
2. จากแม่ริม ถึงห้วยน้ำดัง
3.
เส้นทางรับน้องที่ ขุนแม่ยะ กับซากุระที่หายไป
4.
เก็บตกเมืองปาย
5.
ป่าสนวัดจันทร์ คำปลอบใจจากธรรมชาติ
6.
แม่ตะมาน รางวัลสำหรับนักเดินทางที่ไม่ยอมถอยหลัง
7.
“แม่สลอง” เมืองบนดอย
8.
“ดอยตุง” หุบเขาแห่งดอกไม้
9. ดอกเสี้ยวบานที่ภูชี้ฟ้า กับ ทิวลิปที่ผาหม่น

หลังจากใช้เวลาการเดินทางจากเมืองเชียงรายเกือบสองชั่วโมงเราก็ถึงภูชี้ฟ้า ผมมองดูนาฬิกาแล้วยังพอมีเวลาอีกราวสองชั่วโมงพระอาทิตย์จึงจะตกจึงตัดสินใจขับรถไปโครงการเกษตรดอยผาหม่นเพื่อชมดอกทิวลิปที่รอมานานแสนนานหลังจากปีที่แล้วพลาดชมทิวลิปในงานราชพฤกษ์ ผมขับรถไปตามแนวไหล่เขาซึ่งตลอดเส้นทางจะเห็นต้นเสี้ยวออกดอกสีขาวอย่างสวยงามอยู่เป็นระยะ สลับกับต้นไม้อีกประเภทที่ออกดอกสีแดงสดแต่ผมไม่รู้จักว่าเป็นดอกอะไร

ดอกเสี้ยวซึ่งกำลังออกดอกขาวเต็มทั้งต้น ซึ่งมีให้เห็นมากมายที่ภูชี้ฟ้า 

phu-chee-fa-11.jpg

phu-chee-fa-10.jpg

ใช้เวลาไม่นานนักรถของเราก็มาหยุดตรงหน้าโครงการเกษตรดอยผาหม่น ผมรีบเดินลงไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าแสงจะหมดเสียก่อน แต่เมื่อมาถึงป้อมยามทางเข้าก็แทบช็อคเพราะมีป้ายแขวนไว้ว่า “ดอกทิวลิปหมดแล้ว” … อะไรกันผมนึกในใจ นี่เพิ่งจะผ่านงานดอกทิวลิปบานไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมั่นใจว่าคราวนี้คงจะได้ชมดอกทิวลิปแน่ ๆ และเพื่อให้แน่ใจผมจึงถามเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำป้อมยาม พี่เขาก็บอกว่าอากาศมันร้อนมาก มันร่วงหมดแล้วเหลือแต่ต้น จะเข้าไปดูก็ได้ คงพอมีให้ดูสัก 10-20 ดอก ผมแทบจะหมดแรงเดินต่อเพราะหวังไว้สูงมากว่าจะได้มาถ่ายภาพดอกทิวลิป แต่ไหน ๆ มาแล้วก็เลยเดินลงไปดูให้เห็นกับตา ยังไงได้ถ่ายสัก 10-20 ดอกก็ดีกว่าไม่ได้ถ่ายซะเลย จากที่จอดรถต้องเดินลงเนินไปพอสมควรจึงถึงแปลงปลูกดอกทิวลิปซึ่งยังคงมีร่องรอยของการตัดริบบิ้นเปิดงานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พอเดินเข้าไปในแปลงผมแทบจะวิ่งกลับขึ้นไปต่อว่าเจ้าหน้าที่คนที่ให้ข้อมูล เพราะในแปลงยังมีดอกทิวลิปบานและยังไม่โรยไปอีกจำนวนหนึ่ง ผมกะด้วยสายตาก็หลายร้อยดอกอยู่เหมือนกัน มีบางสีที่อาจจะโรยไปแล้วทั้งหมด แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังมีดอกสีสันสวยงามชูช่ออยู่ ผมจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าคนที่เดินทางมาไกลเป็นร้อยเป็นพันกิโลเมตร ถ้าได้ข้อมูลตรงทางเข้าแล้วไม่ได้เข้ามาชม หากไปทราบภายหลังจะเสียใจขนาดไหน …

ดอกทิวลิปที่เหลืออยู่  ไม่ว่านับยังไงก็เกิน 20 ดอกแน่ ๆ

pha-mon-02.jpg

หลากสี หลายมุม ต่างอารมณ์

pha-mon-04.jpg

pha-mon-03.jpg

pha-mon-01.jpg

นอกจากทิวลิปแล้วก็ยังมีดอกลิลลี่ด้วย

pha-mon-05.jpg

ใกล้ ๆ กันกับแปลงดอกทิวลิปจะมีแปลงข้าวมอลต์ ก็เลยถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก

pha-mon-06.jpg

นอกจากดอกทิวลิปแล้วยังมีดอกไม้สีสันสวยงามอื่น ๆ ในแปลงแห่งนี้ด้วย ที่โดดเด่นไม่แพ้ทิวลิปก็คือดอกลิลลี่ซึ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ผมไม่รอช้าหยิบกล้องขึ้นมาแล้วเลือกมุมที่พอยังมีแสงอยู่บ้างถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ ให้สมกับที่ซื้อ memory มาใหม่ จนถึงเวลาที่ใกล้พระอาทิตย์จึงเดินทางกลับเพื่อไม่ให้ถึงที่พักมืดค่ำจนเกินไป

แวะถ่ายภาพวิวพระอาทิตย์ตกระหว่างทางกลับมาที่พัก

phu-chee-fa-01.jpg

เรามาถึงที่พักชื่อ ไร่ภูฟ้าซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าวนอุทยานภูชี้ฟ้าไม่ถึง 3 กม. และบริเวณใกล้ๆ กันก็ไม่มีรีสอร์ทอื่นอยู่เลย ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบดีที่เดียว อาหารเย็นถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับกลุ่มของพวกเรา ส่วนใหญ่เป็นอาหารง่าย ๆ รสชาติก็อร่อยดี ซึ่งนอกจากกลุ่มของเราแล้วก็มีอีก 2 คณะซึ่งพักอยู่ที่รีสอร์ทแห่งนี้ น้องที่คอยให้บริการบอกว่าถ้าในวันหยุดก็จะมีลูกค้าเยอะกว่านี้ นับว่าเป็นโชคดีของเราที่มาในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลและไม่ตรงวันเสาร์อาทิตย์ด้วย

หลังจากได้หลับพักผ่อนจากการขับรถติดต่อกันหลายชั่วโมง ผมก็ถูกปลุกโดยเสียงนาฬิกาปลุกที่บอกว่าได้เวลาขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้าแล้ว ผมและเพื่อน ๆ เป็นคณะแรกของรีสอร์ทนี้ที่ออกรถเพื่อไปดูทะเลหมอก เรามาถึงลานจอดรถซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเดินขึ้นยอดภูชี้ฟ้าตอนตี 5 ครึ่ง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวบางส่วนมาถึงก่อนเราและเริ่มออกเดินนำไปแล้ว การเดินขึ้นภูชี้ฟ้าของผมครั้งนี้ใกล้กว่าสองครั้งก่อนมาก (ก่อนหน้านี้ผมพักที่บ้านชาวเขาด้านล่างและเริ่มเดินขึ้นมาจากด้านล่างเลยซึ่งไกลกว่าพอสมควร) ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงจุดที่ผมตั้งใจว่าจะเป็นที่ตั้งกล้องถ่ายภาพ โดยจุดดังกล่าวอยู่ก่อนถึงยอดราว 100-200 เมตรเป็นหน้าผายื่นออกไปทำให้เห็นความสูงชันของภูชี้ฟ้าได้อย่างชัดเจน

ผมใช้เวลาเตรียมกล้องถ่ายภาพอยู่ไม่นานก็มีช่างภาพอีก 2-3 กลุ่มเดินมาสมทบเพื่อถ่ายภาพในบริเวณเดียวกัน เมื่อฟ้าเริ่มทอแสงสีแดงผมก็เริ่มถ่ายภาพโดยเปลี่ยนเลนส์และมุมมองไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่หลากหลาย สำหรับทะเลหมอกในวันนี้ถือว่ามีความงามใช้ได้ทีเดียว ไม่ผิดหวังสำหรับการมาเป็นครั้งที่สามของผม ทำให้ได้ภาพภูชี้ฟ้าที่สวยสมใจหลังจากที่พลาดหวังในการมาสองครั้งแรกแล้วอากาศไม่ดี

ทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้า

phu-chee-fa-02.jpg

phu-chee-fa-05.jpg

phu-chee-fa-09.jpg

phu-chee-fa-08.jpg

เมื่อแสงทองเริ่มสาดส่อง

phu-chee-fa-04.jpg

phu-chee-fa-03.jpg

pha-mon-07.jpg

phu-chee-fa-06.jpg

หลังจากพระทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้ว พวกเราจึงเดินจากจุดที่ถ่ายภาพต่อไปยังยอดภูชี้ฟ้า ซึ่งในวันนี้มีราวกั้นในบริเวณที่ค่อนข้างอันตรายและมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ในบริเวณยอดภูชี้ฟ้า 2-3 คน ที่จุดนี้นอกจากมีวิวเป็นทะเลหมอกอันยิ่งใหญ่ท่ามกลางขุนเขาแล้ว ยังมีเด็กชาวเขาแต่งชุดน่ารัก ๆ มาเป็นแบบให้ถ่ายภาพอีกด้วย ซึ่งก็ต้องให้ค่าขนมเด็กเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการตอบแทน ผมพยายามบอกหลายครั้งว่ายิ้มหน่อย ยิ้มหน่อย เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยิ้ม สงสัยฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยบอกไปว่า “ยี้ หน่อ ยี้ หน่อ” เท่านั้นแหละยิ้มแฉ่งเลย 555

เด็กชาวดอยบนยอดภูชี้ฟ้า

phu-chee-fa-07.jpg

ผมกลับลงมาจากภูชี้ฟ้าด้วยความสุขใจ แต่ในอีกด้านหนึ่งของความคิดก็เริ่มรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขนี้กำลังลดไปทุกนาที เพราะนี่เป็นที่ท่องเที่ยวจุดสุดท้ายแล้วสำหรับทริปนี้ แม้การเดินทางครั้งนี้จะมีความผิดหวังบ้างจากการไม่ได้ชมความยิ่งใหญ่ของซากุระ แต่ความรู้สึกก็ได้ถูกเติมเต็มจากบรรยากาศอันงดงามจากสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการต้อนรับในแบบที่บางครั้งเราไม่ได้คาดฝันจากเจ้าบ้านที่น่ารัก กอปรกับเพื่อนร่วมเดินทางที่ร่วมลุยมาด้วยกันโดยตลอด ทำให้ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งประสปการณ์ที่ผมต้องบันทึกไว้ในความทรงจำ


2 Comments

  1. รายได้เสริม

    ผมอยากมีฝืมือในการถ่ายรูปแบบนี้จังเลย แต่ล่ะรูปที่ถ่ายออกมาสวยทั้งนัน