เมื่อวันรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาวันหยุดไปชมภาพยนต์เรื่อง The day the earth stood still โดยไม่เคยทราบเรื่องย่อมาก่อน แต่อาศัยว่าชอบพระเอก ก็เลยยอมจ่ายตังค์ค่าตั๋วเข้าชม (ไม่ได้ชอบแบบอย่างว่านะตัวเอง อย่าคิดมาก หุหุ) … เนื้อหาของหนังพูดถึงเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ที่จะทำให้โลกต้องถึงจุดสูญสิ้น มนุษย์ต่างดาวจึงต้องตัดสินใจทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ให้สิ้นไปเพื่อปกป้องโลกไว้ แต่ตัวพระเอกของเรื่องซึ่งเข้ามาคลุกคลีกับมนุษย์ได้ค้นพบว่ามนุษย์นั้นมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือจะย่อมเปลี่ยนแปลงเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียพูดง่าย ๆ คือจะรู้สึกนึกก็ตอนที่รู้ว่าตัวเองอยู่ใกล้และกำลังจะตกลงจากปากเหวนั่นเอง … ส่วนการสำนึกจะทันการณ์หรือไม่ก็ไปชมกันเองนะครับ ไม่อยากบอกให้เสียอรรถรส
ในส่วนของบทภาพยนต์นั้นพยายามสื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของมนุษย์ การคิดว่าโลกใบนี้เป็นของมนุษย์ การใช้อำนาจ ความรัก ความผูกพัน แต่ผมว่ามันไม่กินใจและจับใจเท่าที่ควร และอารมณ์ของหนังไม่สามารถนำไปสู่ความรู้สึกที่กำลังจะสูญเสียได้เท่าที่ควรจะเป็น แต่ในส่วนของแนวคิดของหนังนั้นได้ใจผมไปเต็ม ๆ เพราะมันช่างเข้ากับบรรยากาศในชีวิตทุกวันนี้เหลือเกิน เนื่องจากทุกวันนี้มีแต่การทะเลาะ แก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ โดยไม่ได้คำนึงถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้น … นอกจากนี้หลาย ๆ องค์กรกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่จากการแก่งแย่งอำนาจในระดับประเทศ หากคนในองค์กรยังคงมัวแต่โทษกันไปโทษกันมา หาคนผิด หาคนรับผิดชอบ แทนที่จะช่วยกันคิดว่าจะนำพาองค์กรให้รอดได้อย่างไร นั่นเท่ากับว่าเขาเหล่านั้นยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินถอยหลังใกล้ปากเหวเข้าไปทุกที… หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้วิกฤต บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องช่วยกันแบบเป็นทีม เลิกทะเลาะ เลิกนึกถึงตัวเองชั่วคราว แล้วหันมาช่วยกันหาทางรอดให้กับองค์กร … ทุกคนในองค์กรนั้นมีสิทธิ์ และมีหน้าที่ ในวันนี้เป็นวันที่เราต้องยอมเสียสละลดสิทธิ์บางอย่างลงเพื่อให้องค์กรไปได้ แล้วหันมาทำหน้าที่ของบุคคลากรที่ดีในการรักษาองค์กรให้อยู่รอดต่อไป …
เรื่องสิทธิ์และหน้าที่ผมได้เคยเขียนไว้แล้วในตอน “มะม่วงทองคำ” ลองอ่านกันดูนะครับ