อารัมภบท
สำหรับคนไทยแล้ว นาทีนี้ดูเหมือนญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ใคร ๆ ก็อยากไป อันเนื่องจากนโยบายยกเว้น VISA แถมด้วยโปรฯ ตั๋วเครื่องบินทั้ง low cost และ premium ทำให้คนไทยไปญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แถมสบายกระเป๋ากว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะเมื่อค่าเงิน Yen ของญี่ปุ่นตกลงมาเหลือราว 30 บาทต่อ 100 เยนเท่านั้น
คนชอบถ่ายภาพแบบผมก็แอบมองญี่ปุ่นมานาน ถ้าเป็นปลากัดคงท้องไปสามรอบแล้ว 555 แต่โอกาสก็เพิ่งจะมาถึงปีนี้นี่เอง และตามประสาช่างภาพที่ชอบขับรถท่องเที่ยวไปตามสถานที่แปลกใหม่ซึ่งทัวร์ไม่ค่อยพาไป โปรแกรมขับรถเที่ยวญี่ปุ่นผสมกับใช้ JR pass จึงถือกำเนิดขึ้นซะที หลังจากที่คนอื่นไปแล้วไปอีก ผมได้แต่นั่งดูรูปชาวบ้านตาปริบ ๆ มาหลายปี งานนี้ตรูจะเอาคืนแล้ว ใครหลงเข้ามาอ่านเตรียมตัวดูรูปให้ตาแฉะ 555
และก็เหมือนกับทุกทริปที่ผ่านมาของผมครับ แม้จะไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ แต่ผมก็อยากเรียกว่ามันเป็นทริปถ่ายภาพ เพราะผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของการวางแผนไปกับการหาจุดถ่ายภาพสวย ๆ และแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีแปลก ๆ ใหม่ อาจมี outlet แทรกเข้ามาแทรกให้สาวน้อยสาวใหญ่ ในทริปได้กระชุ่มกระชวยบ้างแต่นั่นก็ตั้งอยู่ในเมืองที่มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม เป็นแผนร้ายที่กระผมภูมิใจมาก อิอิ … ทริปถ่ายภาพรอบนี้ผมได้มีโอกาสใช้กล้อง DSLR รุ่นใหม่ล่าสุดของ Nikon นั่นคือ Nikon D750 เดินทางไปพร้อมกับ Tele สำหรับการท่องเที่ยวคู่ใจ 70-200 f4 nano ของผม และที่ขาดไม่ได้คือ Nikon 17-35 f2.8 สำหรับภาพ landscape สวย ๆ … อันที่จริงมี Nikon 24-85 ติดไปด้วย แต่ขอสารภาพเลยว่าตลอดทริปใช้ไปไม่ถึง 10 ภาพ อิอิ ดังนั้นภาพทั้งหมดที่เห็นนี่มาจากเลนส์ 2 ตัวแรกเท่านั้น (ผมอาจแทรกภาพจากมือถือบ้าง เพราะพวกอาหารบางทีก็ขี้เกียจหยิบกล้องตัวใหญ่ออกมา)
ช่วงเวลาแห่งความสุข
ช่วงเวลาที่ผมเดินทางไปถึงญี่ปุ่นคือสิ้นเดือนตุลาคมและใช้เวลา 10 วันโดยเดินทางกลับวันที่ 9 พย. 57 ทั้งนี้โซนที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีมากที่สุดสำหรับช่วงเวลานี้ก็คือภูมิภาคโทโฮคุหรือภาคอีสานของญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งถ้าดูจากแผนที่ก็จะอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของโตเกียว
เนื่องจากช่วงพีคของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในภูมิภาคโทโฮคุจะอยู่ราวกลางเดือนถึงปลายเดือนตุลาคม แถมปีนี้มีแนวโน้มว่าใบไม้จะเปลี่ยนสีเร็วกว่าปกติราว 1-2 สัปดาห์ขึ้นกับพื้นที่ ผมจึงจำเป็นต้องตัดแหล่งท่องเที่ยวดัง ๆ หลายแห่งที่หมายตาไว้ของภูมิภาคนี้ เพราะดูจากพยากรณ์แล้วน่าจะพลาดช่วงเวลาที่สวยที่สุดไปแล้ว หากฝืนไปอาจเจอแต่กิ่งก้านแห้ง ๆ เป็นแน่ นี่จึงเป็นที่มาของการพยายามหาแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ มาทดแทน โดยอาศัยเวปไซต์รายงานและพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นหลายแห่งมาช่วยไม่ว่าจะเป็น (www.japan-guide.com, www.rurubu.com, kouyou.nihon-kankou.or.jp/en/, www.mapple.net) ทำให้ทริปนี้ผมได้พบกับแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีที่อาจแปลกใหม่สำหรับคนไทย และรับประกันว่าสวยประทับใจจริง ๆ
Pocket WIFI สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่น
ตลอดการเดินทางทริปแห่งความทรงจำนี้ผมใช้ pocket WIFI รุ่น 4GLite จาก iwifi ติดตัวไปด้วย ทำให้การสื่อสารของทริปนี้สะดวกมาก ๆ แถมแชร์กันได้ 10 คนนับว่าสะดวกสุด ๆ โดยเฉพาะการหาข้อมูลหน้างาน เช่น ตำแหน่งสถานที่ท่องเที่ยว, ข้อมูลร้านอาหาร และที่สำคัญมากสำหรับวันหลัง ๆ คือเที่ยวรถไฟซึ่งต้องใช้ website Hyperdia.com ในการค้นหาข้อมูล
อย่างที่เกริ่นไปแล้วครับว่า ปีสองปีนี้มีโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นเยอะมาก ราคาเริ่มกันตั้งแต่ไม่ถึงหมื่นสำหรับการเดินทางไปกลับ ยิ่งบางเวปไซต์อย่าง expedia (www.expedia.co.th) มี package ราคาตั๋วเครื่องบินรวมกับห้องพักแล้วยิ่งทำให้การไปเที่ยวญี่ปุ่นประหยัดอย่างมาก เพื่อน ๆ ที่สนใจลองดูริวิวการจอง package ราคาประหยัดได้จาก link นี้ครับ … แต่การเดินทางของผมปีนี้ใช้แลกแต้มจากบัตรเครดิตไปเป็นไมล์ ROP แบบ 1:1 จากค่าย KBANK ทำให้ได้ตั๋วไปกลับ ภูเก็ต-กรุงเทพฯ-ญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ในราคาไม่ถึงแปดพันบาท (เป็นค่าภาษีน้ำมัน) โดยขาไปผมลงที่ Narita และขากลับจาก Haneda
ผมเดินทางถึงโตเกียวในช่วงเช้า จากนั้นก็นั่งรถไฟ Limited Express เข้าโตเกียวและต่อ JR Shinkansen ตรงไปยังสถานี Shin Aomori ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของเส้นทาง JR East เรียกได้ว่านั่งสามชั่วโมงให้คุ้มค่าตั๋ว JR East pass ที่ซื้อมาเลย (ผมซื้อจาก facebook ของ hello japan ราคา 6715 บาทต่อคน) และนี่เป็นการใช้ JR East Pass วันแรกจากที่มีสิทธิ์ใช้ได้ 5 วันแบบไม่ต้องต่อเนื่องกัน เมื่อถึง Shin Aomori แล้วก็รับรถเช่าจาก Nissan car rental ที่จองผ่าน Tocoo (http://www2.tocoo.jp/en) เวปนายหน้าจองรถชื่อดังของญี่ปุ่น ที่ให้ราคาต่ำกว่าจองตรงกับทาง Nissan เมื่อรับรถแล้วผมกับเพื่อน ๆ ก็เริ่มขับตะลุยท่องเที่ยวตั้งแต่จังหวัด Aomori ต่อมายัง Iwate และมาคืนรถที่เมือง Furukawa ของจังหวัด Miyangi จากนั้นจึงนั่ง Shinkansen เข้าสู่โตเกียว และพักที่โตเกียวรวม 5 คืน ซึ่งช่วงนี้จะเป็นการใช้ JR East ที่เหลือออกไปเที่ยวเมืองรอบ ๆ 3 วัน และซื้อ Tokyo Metro 1 day pass เพื่อเที่ยวในโตเกียวอีก 1 วัน … นับว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่ได้รสชาติครบถ้วนทั้งขับรถ, นั่งรถไฟ Shinkansen, นั่งรถไฟ JR สายรอง และนั่ง subway เที่ยวในโตเกียว
ที่พัก
สำหรับเมืองรอบนอก ผมต้องการได้บรรยากาศของการพักแบบญี่ปุ่นขนานแท้ เลยจองที่พักส่วนใหญ่เป็น Ryokan ซึ่งจะใช้วิถีหาเวปไซต์ของที่พักแล้ว e-mail คุยกันซึ่งต้องยอมรับว่าลำบากยากเย็นและเสี่ยงพอสมควร เพราะหลาย ๆ แห่งจะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดีนัก (แอบคิดว่าตัวเองสื่อสารได้ดี 555) และข้อมูลของที่พักประเภทนี้จะต่างกับโรงแรมโดยทั่วไปซึ่งก่อนเดินทางก็กังวลมากพอสมควร กลัวไปแล้วไม่ได้พัก เนื่องจากเงินมัดจำก็ไม่ได้จ่าย เรียกได้ว่าลุ้นกันจนถึงวันเข้าพักเลยทีเดียว … ส่วนโตเกียวสบายมากครับ ผมเลือกที่พักแบบ Apartment เพราะไปกัน 6 คน จะได้มีพื้นที่ส่วนกลางไว้คุยเล่นกันหรือทานอะไรกันเล็ก ๆ น้อย ในตอนค่ำหลังกลับจากทริป ทั้งนี้ผมจองผ่าน expedia มีเอกสารครบถ้วนมั่นใจได้ว่าไปถึงแล้วได้พักแน่ ๆ 555
อย่างที่เล่าให้ฟังแล้วนะครับว่าทริปนี้ผมขับรถเที่ยวในช่วงที่เป็นภูมิภาคโทโฮคุ และที่เหลือจะใช้วิธีการนั่ง Shinkansen และรถไฟ JR โดยใช้โตเกียวเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นรีวิวนี้แบ่งเป็นสองตอน คือช่วงที่ขับรถเที่ยวและช่วงที่นั่รถไฟ และนี่คือตอนที่ 1 “ขับรถตะลุยภูมิภาคโทโฮคุ ตระการตาแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่คนไทยไม่คุ้นเคย”
การเดินทางอันแสนยาวนาน
ผมออกเดินทางจากภูเก็ตสู่สุวรรณภูมิในช่วงค่ำ หลังจาก shopping ของฝากใน Duty free ตามคำขอร้อง (แกมบังคับ) ของน้อง ๆ ที่ office ก็เข้าสู่โหมดพักผ่อนบนเครื่องบิน แต่บอกตรง ๆ ครับว่าโฟลท์ที่ออกตอนดึกและบินแค่ 6 ชั่วโมงนี่มันทรมานจริง ๆ เพราะขึ้นไปแบบง่วง ๆ จะนอนก็ไม่ได้เพราะของว่างถูกเสิร์ฟหลังจากเครื่องขึ้นไม่นาน นอนไปไม่ทันเต็มอิ่มก็ถูกปลุกมาทานอาหารเช้าซะแล้ว (จะว่าไปมันคืออาหารมื้อหัวรุ่งสำหรับเวลาบ้านเรานี่เอง)
Flight ถึงสนามบิน Narita ราว 7:30 น. มองออกจากหน้าต่างเครื่องบินเห็นอากาศไม่ดีเอามาก ๆ ฟ้าปิดสนิท แต่ไม่กังวลนักเพราะวันนี้เราจะเดินทางไกลไม่ได้พักที่นี่ … หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและเข้าห้องน้ำห้องท่าแล้ว ก็ออกมาติดต่อขอแลก e-ticket เป็น JR East Pass ที่ office ของเขาซึ่งเห็นเด่นชัดเลยเมื่อออกจากประตูขาเข้า แต่กระบวนการทำเอกสารนี่ไม่ได้รวดเร็วแบบที่ผมคิดเพราะใช้เวลาในการดำเนินการสำหรับ 6 คนค่อนข้างนาน (เปลี่ยน e-ticket เป็น JR East Pass และจองตั๋วรถไฟสำหรับวันนี้ทั้งสองเที่ยว) ทำให้ผมพลาดรถไฟเที่ยวที่วางแผนไว้ เป็นเหตุให้กำหนดการทั้งหมดของวันนี้ต้องล่าไปราว 1 ชั่วโมง ดังนั้นเพื่อน ๆ ที่วางแผนจะใช้ JR Pass ควรเผื่อเวลาตรงนี้ไว้มาก ๆ หน่อยโดยเฉพาะเมื่อเดินทางหลายคน และอย่าลืมว่ารถไฟบางขบวนเช่น Limited Express ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าเสมอ (จองฟรี) ทั้งนี้ขบวนอื่น ๆ ที่เป็น Shinkansen ก็ควรจองล่วงหน้าด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นอาจต้องยืนกันยาวหากที่นั่งเต็ม
เมื่อถึงสถานีโตเกียวเราซื้ออาหารกล่องเพื่อไปทานเป็นมื้อเที่ยงบน Shinkansen
เป็นช็อตแรก ๆ เลยสำหรับ Nikon D750 ณ ร้านขายเบนโตะที่สถานี Tokyo … ความประทับใจแรกที่เกิดขึ้นคือ auto white balance ทำงานได้ตรงใจมากเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ที่เคยใช้มา
ขนมหน้าตาหน้าทานตามแบบฉบับของญี่ปุ่น
โดยการเดินทางจากสถานีโตเกียวถึงสถานีปลายทาง Shin Aomori ใช้เวลาสำหรับระยะทาง 700 กม.เศษ เพียง 3 ชั่วโมงนิด ๆ เท่านั้น … เกือบตลอดการเดินทางผมเฝ้าดูบรรยากาศจากริมหน้าต่างเพื่อประเมินสถานการณ์ใบไม้เปลี่ยนสี โดยใกล้ ๆ โตเกียวยังมีระดับการเปลี่ยนสีน้อยมาก แต่เมื่อเลย Sendai ไปแล้ว เริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสีมากขึ้น แต่เส้นทางส่วนใหญ่ที่รถไฟผ่านนั้นเป็นพื้นราบ จึงไม่ได้เห็นว่าบนภูเขาซึ่งใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนนั้นมีสถานการณ์อย่างไร
ผมถึงสถานี Shin Aomori เกือบบ่าย 2 โมง รีบเปิดใช้ pocket wifi ที่ติดตัวมาเชื่อมต่อ internet เพื่อหาสำนักงานของ Nissan car rental ซึ่งพบว่าอยู่ใกล้ ๆ กับสถานี JR นั่นเอง … ที่ญี่ปุ่นผมสังเกตเห็นบริษัทรถเช่า 2 บริษัทที่มีสำนักงานโดดเด่นเห็นชัดอยู่ใกล้สถานีรถไฟ นั่นคือ Toyota กับ Nissa อย่างไรก็ตามผมเลือกจองผ่าน tocoo อย่างที่เกริ่นไว้แล้วเพราะเงื่อนไขดีกว่า
การรับรถเรียบร้อยดี แม้พนักงานจะพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย แต่ภาษามือและภาษากายก็ช่วยให้เรานำรถออกมาได้ ทั้งนี้ผมเช่ารถ Nissan รุ่น Serena แบบ 7 ที่นั่ง แต่เรานั่งกัน 6 คน + สัมภาระก็เรียกได้ว่าแน่นรถพอดี หากนำกระเป๋าใบใหญ่มาทุกคนคงต้องเช่ารถคันใหญ่กว่านี้ สำหรับระบบนำทาง GPS ผมไม่ได้ใช้ที่ติดมากับรถเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เอา GPS ของ Garmin ของเพื่อนร่วมทริปมาโหลดแผนที่ญี่ปุ่นเข้าไปผ่านทาง SD card (โหลดแผนที่ทั่วโลกฟรีได้ที่ http://garmin.openstreetmap.nl/) วิธีนี้ทำให้ผมสามารถบันทึกสถานที่สำคัญต่าง ๆ ไว้ได้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย สะดวกมาก ๆ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเช่ารถด้วย ที่สำคัญการไม่ระบุว่าต้องมี GPS ภาษาอังกฤษ ทำให้มีรุ่นของรถให้เลือกมากขึ้นด้วยครับ … แล้วก็ได้เวลาขับรถท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองซะที
จาก Shin Aomori เราขับรถชมวิวข้างทางที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีไปจนถึงเมือง Hirosaki ที่พักของเราคืนนี้ โดยเราพักกันที่ Ryokan ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับ Hirosaki park …
เส้นทางจาก Aomori สู่เมือง Hirosaki
ภาพนี้ถ่ายผ่านกระจกรถตอนบ่าย 3 โมงเศษ ๆ แต่บรรยกาศเหมือน 5 โมงเย็นบ้านเรา พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว
อากาศที่เมือง Hirosaki นั้นสดใสกว่าที่ Tokyo และอุณหภูมิก็ต่ำกว่ามากเช่นกัน เรียกได้ว่าหนาวเลยทีเดียว ผมกับเพื่อน ๆ เดินเล่น ๆ ไปถ่ายภาพกันที่คูน้ำรอบสวน Hirosaki ซึ่งเต็มไปด้วยต้นซากุระที่ใบกำลังเปลี่ยนเป็นสีส้ม เดิมทีตั้งใจว่าจะเข้าไปถ่ายภาพด้านในวันนี้เลย แต่เนื่องจากเรามาช้ากว่ากำหนด และพระอาทิตย์ตกเร็วมากในช่วงฤดูนี้ ยังไม่ทัน 5 โมงก็มืดซะแล้ว ทำให้แผนการเข้าไปถ่ายภาพใบไม้เปลี่ยนสีใน park ต้องเลื่อนไปเป็นวันรุ่งขึ้น
ต้นซากุระรอบ Hirosaki park ที่ใบกำลังเปลี่ยนสีสวยงาม
ผมสังเกตเห็นอีกาที่ญี่ปุ่นเยอะมากครับ พบในแทบทุกเมืองเลยก็ว่าได้
หลังจากเรา check in กันแล้วก็ได้รับการแนะนำจากเจ้าของ Ryokan ให้ไปลองทานร้านอาหารแห่งหนึ่งห่างออกไปไม่ไกลนักชื่อ Kenta … ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ อาหารอร่อยมากและราคาก็ไม่แพงนัก เสียอย่างเดียวอนุญาตให้สูบบุหรี่ในร้านได้ทำให้คนที่ไม่ถูกกับกลิ่นของบุหรี่อาจรู้สึกไม่สบายนัก
หน้าร้าน Kenta มีพนักงานคอยเรียกแขกด้านหน้า ส่วนห้องอาหารต้องเดินขึ้นไปบนชั้น 2
จากนั้นเราเดินฝ่าความหนาวเข้าไปด้านใน Hirosaki Park เพราะผมได้ข้อมูลมาว่ามี Light up ในช่วงกลางคืนแต่เดินจนทั่วแล้วก็เห็นมีเพียงนิดหน่อยเท่านั้นและก็ไม่สวยเท่าที่ควร จึงตัดสินใจกลับไปพักผ่อน อย่างไรก็ตามการเข้าไปคืนนี้ก็ไม่เสียเปล่า เพราะถือเป็นการ survey จุดถ่ายภาพสำหรับวันรุ่งขึ้นไปในตัว
แสงสียามค่ำใน Hirosaki park ไม่ค่อยน่าประทับใจนัก
มื้อเช้าในห้องอาหารของ Ryokan เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นร้อน ๆ … อาหารเป็นชุดสำหรับแต่ละคน มีโน่นนิดนี่หน่อยตามแบบของญี่ปุ่นขนานแท้
ห้องอาหารรายล้อมด้วยสวนสวยไสตล์ญี่ปุ่น
หลังจาก check out เราเดินกันแบสบาย ๆ ไปยัง Hirosaki park ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาท Hirosaki ที่ในปัจจุบันยังคงอยู่ในสภาพดีมาก และเป็นจุดถ่ายภาพอันโด่งดังของเมืองนี้ในช่วงซากุระบาน แต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ผมรู้สึกว่ากิ่งไม้มันระเกะระกะไปหน่อย ทำให้ผมใช้เวลาส่วนใหญ่กับการถ่ายภาพส่วนอื่นของสวนแห่งนี้
ใบของต้นซากุระบริเวณริมคูน้ำรอบสวนกำลังเปลี่ยนสีสวยงาม
ใบเมเปิ้ลบางต้นสีแดงสดมาก ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าถ่ายภาพยากกว่าเพราะสีมันดูจม ๆ อย่างไรก็ตามการถ่ายภาพด้วย format Raw ทำให้ปัญหาเรื่องสีและแสงแก้ไขได้ไม่ยากในขั้นตอนการ post process
บรรยากาศสวย ๆ ในสวน
ต้นเมเปิ้ลริมน้ำในสวนก็กำลังสวยงามอลังการมาก
ปราสาท Hirosaki
ข่างภาพชาวญี่ปุ่นกับอุปกรณ์ครบมือมีให้เห็นตลอดโดยเฉพาะที่เป็นผู้สูงอายุ
มองไปทางไหนก็มีแต่สีเหลือง ๆ แดง ๆ
ต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่กับใบที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
มุมมหาชนของปราสาท Hirosaki ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ต้นซากุระด้านขวามือจะออกดอกเต็มต้นสวยงามมาก
แต่ช่วงนี้ดูเหมือนกิ่งก้านจะรบกวนสายตามากไปหน่อย
ผมออกจาก Hirosaki Park มุ่งตรงไปยังจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีถัดไปชื่อ Nakano Maple Mountain ที่ห่างออกไปเพียง 21 กม. (พิกัดโดยประมาณ40.611102, 140.680459)
ที่นี่น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น แต่สำหรับคนไทยคงมีคนมาที่นี่น้อยมากเพราะผมไม่เคยเจอคนเขียนถึงที่นี่เลย เมื่อไปถึงแล้วจะมีลานจอดรถฟรีขนาดใหญ่พร้อมมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก จากจุดนี้เดินไปราว 5 นาทีก็ถึงจุดชมวิว
ถึงแล้วครับจุดชมวิว ใบไม้บนภูเขาร่วงไปเยอะแล้ว แต่ริมน้ำยังมีต้นเมเปิ้ลสวย ๆ รออยู่
จุดเด่นของที่นี่คือเป็นธารน้ำริมไหล่เขาที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ที่จุดชมวิวสามารถมองเห็นสะพานสีแดงสดใสสไตล์ญี่ปุ่น ใกล้ ๆ กันเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่กำลังอวดสีสัน นอกจากนี้ยังมีสายน้ำตกเล็ก ๆ ไหลลงมายังธารน้ำด้วย สวยงามมากจริง ๆ
การถ่ายภาพภายใต้ร่มไม้แบบนี้กับ background ด้านหลังที่สว่างกว่า ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า D750 มี Dynamic range ที่สูงมากสามารถเก็บรายละเอียดทั้งส่วนมืดและส่วนสว่างได้อย่างครบถ้วน
เราชมความงามของที่นี่กันพักใหญ่ก็ตัดสินใจทานอาหารเที่ยงกันแบบง่าย ๆ ที่ร้านขายอาหารบริเวณทางเข้านั่นเอง จากนั้นก็ขับรถต่อไปยังวัด Josen-ji ที่ห่างออกไปไม่ไกล (พิกัดโดยประมาณ 40.634055, 140.693004) และอยู่ในเส้นทางที่จะไป Oirase stream จุดหมายหลักต่อไป …
ระหว่างทางแวะถ่ายภาพกับต้นแอปเปิ้ลที่กำลังออกลูกเต็มต้นซะหน่อย .. เกือบลืมบอกไปเลยว่าแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของ Aomori เขาเลย ที่นี่จึงเต็มไปด้วยของฝากที่ทำจากแอปเปิ้ล
วัด Josen-Ji นี้ตั้งอยู่บนเขาที่ไม่สูงนัก เส้นทางที่แยกจากถนนหลักก็สะดวกสบายใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีก็ถึงวัดแห่งนี้ ทันทีที่ไปถึงก็ต้องตะลึงไปกับความงามของใบไม้สีเหลืองของต้นแปะก๊วยและเมเปิ้ลตรงลานจอดรถ และเมื่อเดินเข้าไปในตัววัดก็พบว่าสีของใบเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีอยู่ในช่วงพีคเช่นกัน
ทั้งเมเปิ้ลและแปะก๊วยกำลังแข่งขันโชว์สีเหลืองของใบแบบไม่ยอมน้อยหน้ากัน
ความสวยงามด้านหน้าวัด
ภายในวัดก็สวยงามไม่แพ้กัน
Nikon D750 ทำให้การถ่ายภาพในมุมต่ำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญที่ต้องลงทุนนอนราบกับพื้นอีกต่อไป และมันทำให้เรามีโอกาสที่จะได้ภาพที่ดีมากขึ้นอีกด้วย
เราขับรถกันต่อไปตามเส้นทางที่ผ่านเขาสูง บางช่วงพบร่องรอยของหิมะที่โปรยปรายมาช่วงก่อนหน้าที่เราจะถึง ใบไม้บนเขาสูงร่วงไปหมดแล้ว แต่เมื่อถนนเริ่มลดระดับลงสู่หุบเขาด้านล่าง ๆ ใกล้ ๆ กับจุดหมาย Oirase stream ก็ยังมีใบไม้สีเหลือง ๆ ส้ม ๆ ติดต้นอยู่ราว 20-30% ซึ่งก็สวยมากพอที่จะทำให้พวกเราร้องว้าวกันตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ผมแวะถ่ายภาพ 2-3 ครั้งก่อนถึงเส้นทางเดินชมลำธาร Oirase อันโด่งดัง
ใบไม้ช่วงที่อยู่บนเขาสูงร่วงโรยหมดแล้ว และมีกองหิมะริมถนนแสดงว่าหิมะเพิ่งตกมาเมื่อคืนนี่เอง
ยิ่งรถขับลงไปใกล้ลำธาร ยิ่งสวยงามขึ้นเรื่อย ๆ แม้ใบไม้จะเหลือไม่มากนัก
เมเปิ้ลต้นนี้สวยมากทั้งรูปทรงและสีของใบที่กำลังเปล่งปลั่งเต็มที่ …
บอกตรง ๆ ว่าที่นี่สวยงามและยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้มาก เดิมทีคิดว่าคงจะสวยงามเฉพาะช่วงที่เป็นแนวลำธารเท่านั้น แต่พอมาเจอของจริงรอบตัวมันดูสวยงามไปหมด นึกภาพไม่ออกเลยว่าช่วงพีคซึ่งใบไม้เปลี่ยนสีพร้อม ๆ กันทั้งหุบเขานั้นจะสวยมากขนาดไหน
แสงที่มีอยู่น้อยนิดแต่เทคโนโลยีของการถ่ายภาพสมัยนี้ยังสามารถช่วยให้ได้ภาพสวย ๆ ของ Oirase stream … แต่ละภาพเปิดรับแสงราว 15 วินาทีกับรูรับแสง f8 … ผมว่าข้อดีอย่างหนึ่งของการถ่ายภาพสายน้ำในช่วงเย็นหรือช่วงที่ไม่มีแดดคือ contrast ที่เหมาะสมทำให้สายน้ำดูนุ่มนวลไม่ขาวเวอร์จนเกินไป แถมทำให้ลด shutter speed ให้ต่ำจนเกิดสายน้ำอันนุ่มนวลได้มากกว่าการถ่ายภาพในช่วงแดดจัดอีกด้วย
วิวช่วงนี้ Lens Nikon 17-35 f2.8 เหมารวดครับ
อย่างที่บอกไปแล้วครับว่าฤดูนี้พระอาทิตย์ตกเร็วมาก แม้เราจะมาถึงกันตอนสี่โมงครึ่งแต่ก็แทบไม่เหลือแสงแล้ว ผมจึงมีโอากาสได้หยุดรถเก็บภาพเพียงไม่กี่จุดเท่านั้น บอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในช่วงที่สวยงามที่สุดให้ได้
เส้นทางชมธรรมชาติริมลำธารนี้ไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบโทวาดะ ซึ่งยามมืดค่ำแบบนี้แทบไม่สามารถมองเห็นวิวได้แล้ว ผมจึงตั้ง GPS ให้นำไปยังที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 100 กม. บนเทือกเขา Hachimantai
GPS นำเราผ่านเส้นทางบนเขาสูง และตัดเข้าสู่ทางด่วนที่ผมได้ยินกิติศัพท์มาแล้วว่าค่าทางด่วนที่ญี่ปุ่นแพงมาก แต่เพื่อร่นระยะเวลาและผมก็ไม่สามารถสั่งให้ GPS ใช้เส้นทางที่เลี่ยงทางด่วนได้จึงยอมขึ้นแต่โดยดี
ระหว่างทางเราแวะทานมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารบนทางด่วน ซึ่งรสชาติดีทีเดียว ทั้งนี้ระยะทางราว 50 กมเศษเราเสียค่าทางด่วนไป 1170 Yen ก็ถือว่า ok ครับสำหรับการหารกัน 6 คน
ที่พักของเราคืนนี้เป็นห้องพักแบ่งเช่าในเขตสกีรีสอร์ทใจกลางเทือกเขา Hachimantai ชื่อ Appi Rocky Inn ซึ่งสะดวกสบายพอสมควร เจ้าของใจดีมอบงานศิลปะที่เขาเขียนเองให้พวกเราเป็นที่ระลึกหลังจากมื้อเช้าด้วย
บรรยากาศยามเช้าบนเขตเทือกเขาเต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน แต่อุณหภูมิเย็นกำลังสบาย
หมอกขาวโพลนตอนเช้าใกล้ที่พัก … การถ่ายภาพลักษณะนี้ต้องไม่ลืมชดเชยแสง + สัก 0.7-1 stop เพื่อให้หมอกดูขาวสมจริง เพราะถ้าไม่ชดเชยเราจะได้หมอกเป็นสีเทา ๆ แทนครับ
เราค่อย ๆ ขับรถลงจากเขามุ่งหน้าสู่เมือง Morioka ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ของภูมิภาคโทโฮคุ โดยเรามีแผนจะไปแวะเที่ยว Iwate park ซึ่งเป็นที่ตั้งในอดีตของ Morioka Castle บางทีที่นี่จึงถูกเรียกว่า Morioka Castle Park … อันที่จริงตามแผนแล้วที่นี่เป็นจุดแวะเสริมเท่านั้นเพราะวันนี้เราจะเดินทางไปยังวัด Chuson-ji ที่เมือง Hiraizumi อีกเพียงแห่งเดียว จึงยังพอมีเวลาเหลือที่จะเที่ยวที่อื่น ๆ ระหว่างทางได้ ผมจึงลองหาข้อมูลดูและพบว่าที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าจะกำลังอยูในช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามพอดี
เราใช้ GPS นำมาถึง Iwate park แบบไม่ยากเย็นนัก แต่กว่าจะวนหาที่จอดรถได้ก็ใช้เวลาพอสมควร สุดท้ายต้องยอมจอดในที่จอดรถแบบเก็บเงินใกล้ ๆ สวนสาธารณนั่นเอง
ทันทีที่ถึง park ผมแอบร้องอุทานในใจเบา ๆ อยู่คนเดียว เพราะเห็นต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่กำลังอวดใบสีเหลืองสดเต็มต้น มองขึ้นไปด้านบนใบเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีสวยสุด ๆ ได้แต่คิดว่าตัดสินใจถูกที่แวะมาถ่ายภาพที่นี่
ขอใช้คำว่าสุด ๆ ไปเลยกับอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Iwate Park แห่งนี้ … ที่สำคัญคนไม่เยอะเกินไป เหมือนแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีดัง ๆ ในเกียวโต
เชื่อว่าช่างภาพหลายๆ คนรู้สึกเหมือนกันกับผมคืออยากแชร์ภาพผ่าน FB หรือ Instagram กันสด ๆ แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยมั่นใจกับคุณภาพของกล้องมือถือ (กลัวเสียมาตรฐานว่างั้นเหอะ) ก็เลยต้องรอนำภาพมาเข้าคอมพ์ แล้วค่อย upload กันทีหลัง กลายเป็นบรรยากาศไม่สดซะงั้น … แต่เจ้า Nikon D750 ตัวนี้มี WIFI มาให้ในตัวตอบโจทย์นี้มาก ๆ เพราะสามารถเลือกภาพจากกล้องโหลดมาที่มือถือแล้ว post สดให้เพื่อน ๆ อิจฉาได้เลยทันที แถมดูดีมีสกุลอีกต่ะหาก ถูกใจผมสุด ๆ เลย 555
โม้เพลิน มาดูความอลังการของใบไม้เปลี่ยนสีกันต่อครับแม้ทุกวันนี้จะไม่มีตัวปราสาท Morioka อยู่แล้ว มีเพียงซากบางส่วนของปราสาทปรากฏอยู่ แต่ที่นี่ถูกประดับประดาด้วยสวนสวยที่คุ้มค่าต่อการแวะชมมาก ๆ
แม้ทุกวันนี้จะไม่มีตัวปราสาท Morioka อยู่แล้ว มีเพียงซากบางส่วนของปราสาทปรากฏอยู่ แต่ที่นี่ถูกประดับประดาด้วยสวนสวยที่คุ้มค่าต่อการแวะชมมาก ๆ
ใบไม้แดงรอบ ๆ บริเวณที่ตั้งปราสาทเดิมสวยงามมาก
มุมสวย ๆ ให้ถ่ายภาพเต็มไปหมด
ระบบ focus แบบ group ใน Nikon D750 ช่วยให้การ focus ง่ายขึ้นเยอะเลย
ผมกับเพื่อน ๆ ใช้เวลาถ่ายภาพอยู่นานกว่าที่คาดไว้ เพราะซุ้มเมเปิ้ลเปลี่ยนสีของที่นี่สวยมาก ๆ … ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเราก็เลยทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านใกล้ ๆ สถานี JR ของ Morioka ซะเลย
แผนการแวะชมวัด Chuson-Ji ของเราต้องเลื่อนไปเป็นวันรุ่งขึ้น เพราะอากาศไม่ค่อยดีและกำลังจะค่ำแล้ว ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้าที่พักซึ่งเป็นเรียวกังชื่อ Kajiyabekkan Ramakkoro Yamaneko Yado ใกล้ๆ Geibikei Gorge แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นโตรกธารชื่อดังของเมือง Ichinoseki ชายแดนจังหวัด Iwate ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขา บรรยากาศดีมาก ๆ … ทีแรกแอบหวั่น ๆ ว่าจะมีที่พักไหม เพราะการสื่อสารโต้ตอบทาง e-mail กับเจ้าของเรียวกังชาวญี่ปุ่นนั้น เหมือน ๆ เขาจะไม่ได้ยืนยัน 100% แต่นั่นคงเป็นเพราะความไม่ถนัดภาษาอังกฤษมากกว่าเพราะเมื่อเราไปถึงเจ้าของเรียวกังก็ทักทายผมด้วยชื่อจริงตามที่ติดต่อมาและให้การดูแลเป็นอย่างดี
ห้องพักคืนนี้ถือว่ากว้างใช้ได้ทีเดียวสำหรับที่พักไสตล์เรียวกัง … ห้องนี้เรานอนกัน 3 คน
อันที่จริงเรียวกังเกือบทุกแห่งจะมีราคาห้อง, ห้อง+อาหารเช้า และ ห้อง+อาหารเช้า+มื้อค่ำ (แบบท้องถิ่น) แต่เราจองเฉพาะห้อง+อาหารเช้าเท่านั้น เพราะเมื่อรวมค่าอาหารค่ำซึ่งคิดหัวนึงราว 1000 บาทเศษ ๆ ก็ค่อนข้างแพงเอาการอยู่ เราจึงออกไปทานอาหารที่ร้านภายในหมู่บ้านแทน
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศแจ่มใส เราออกเดินทางไปยัง Geibikei แต่เช้าโดยตั้งใจจะขึ้นเรือรอบแรกตอน 8:30 น. ทั้งนี้มีที่จอดรถบริการฟรีก่อนถึงท่าเรือเล็กน้อย (เป็นของร้านขายที่ระลึกที่คาดหวังว่าเราจะแวะซื้อของก่อนเดินทางกลับ แต่ไม่ซื้อเขาก็ไม่ว่าอะไรครับ)
อาหารมื้อเช้าก่อนออกเดินทาง … Auto white balance ของ D750 ยังให้ผลลัพธ์ที่ดีแม้จะเป็นแสงผสม
ยามเช้าที่ Geibikei
ผมได้ขึ้นเรือเที่ยวแรกสมใจโดยมีเราเพียงกลุ่มเดียวที่เป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือเป็นชาวญี่ปุ่นทั้งหมด เรือค่อย ๆ ถูกคนถ่อเรือที่เป็นผู้หญิงพาเราผ่านเข้าไปตามลำธารระหว่างช่องผาที่สองข้างทางเป็นธรรมชาติอันเงียบสงบ (ผมเรียกคนถ่อเรือ เพราะน้ำตื้นมาก คนถ่อจะใช้ไม้ยันกับพื้นน้ำเพื่อให้เรือแล่นไปข้างหน้า ไม่ได้ใช้วิธีการพาย) เสียดายที่ ณ เวลานี้ใบไม้สองฝั่งลำธารร่วงเกือบหมดแล้ว ทำให้ความสวยงามลดไปจากที่คาดหวังไว้มากทีเดียว
เรือลำนึงนั่งได้ประมาณสิบกว่าคน
ใบไม้ร่วงไปเยอะแล้ว น่าเสียดาย
คนถ่อเรือจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ตลอดทางแต่ทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นเราจึงไม่ทราบว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร ได้ยินแต่เสียงลูกทัวร์ชาวญี่ปุ่นออกเสียงอือออขานรับเป็นระยะ …
เมื่อฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็ดูสาว ๆ ญี่ปุ่นแทนละกัน 555
นั่งเรือไปได้สักพักอากาศที่แจ่มใสเปลี่ยนเป็นมัวหมองแบบฉับพลัน มีละอองฝนตกลงมาเล็กน้อย ทำให้อุณหภูมิหนาวเย็นขึ้นมาทันที เพราะลมในช่องเขาก็ค่อนข้างแรง ยังดีที่พอมีเสื้อกันหนาวอยู่ไม่งั้นคงแย่แน่ ๆ
ใช้เดินทางมาตามลำธารราวประมาณ 30 นาทีก็จอดให้เราเดินต่อไปอีกเล็กน้อย เพื่อชมหน้าผาหิน (ที่พวกเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะฟังไม่ออก) ที่ตรงนี้มีกิจกรรมให้ขว้างหินไปยังโพรงริมหน้าผาฝั่งตรงข้าม ใครขว้างลงก็ถือว่าจะโชคดี (มโนเอาล้วน ๆ เพราะแปลภาษาญี่ปุ่นที่ป้ายไม่ออก) สนนราคาค่าหินสำหรับประลองฝีมือและวัดดวงอยู่ที่ 100 Yen สำหรับหิน 3 ก้อน
ชมวิวและขว้างหินกันได้พักนึงก็ได้เวลาเดินกลับไปยังเรือ .. คนถ่อเรือได้นำพลาสติกมาคลุมหลังคาเพื่อกันฝนให้แล้ว … เรือจะกลับทางเดิมครับ นอกจากป่าไม้แล้วยังได้เห็นปลาตัวใหญ่ ๆ กับนกเป็ดน้ำด้วย …
ในระหว่างนั่งเรือขากลับคนถ่อเรือจะมีการร้องเพลงให้ฟังด้วย เสียงอันลุ่มลึกมีพลังดังก้องทั่วทั้งหุบเขา นี่แหละคงเป็น highlight ของที่นี่ เพราะลำพังธรรมชาติรอบข้างนั้นยังไม่ถึงกับตรึงตามากนัก แต่เสียงของคนถ่อเรือนี่ทำให้บรรยากาศการนั่งเรือชมวิวรื่นรมย์ขึ้นเยอะเลย
ออกจาก Geibikei Gorge แล้วเราเดินทางไปยังวัด Chuson-ji ที่อยู่ใกล้กับเมือง Hiraizumi ที่อยู่ห่างออกไปจาก Ichinoseki ไม่มากนัก โดย GPS นำเราผ่านเส้นทางขึ้นลงเขาเช่นเคย (ยังดีที่ไม่หลง) …
ไม่กี่กม.ก่อนถึงเป้าหมายตามที่ GPS ระบุก็ถึงวัดแห่งหนึ่งที่ดูคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ผมคิดว่าจุดที่ผมระบุใน GPS อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่ก็เป็นเพราะบริเวณวัดกว้างใหญ่มาก จึงตัดสินใจนำรถไปจอดทันที มาทราบเอาก็ตอนที่เดินเข้าวัดไปแล้วว่านี่เรามาผิดวัด วัดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช่นกันชื่อ Motsuji ก็เลยบอกเพื่อน ๆ ไปว่าแถมให้ 555 … อากาศตอนนี้ยังคงครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีเม็ดฝนปรอย ๆ เป็นระยะทำให้ค่อนข้างหนาว … ที่นี่มีบึงใหญ่อยู่ตรงใจกลาง รายล้อมด้วยทางเดินเรียบ ๆ มีต้นเมเปิ้ลน้อยใหญ่โชว์ใบหลากสีอยู่ริมแต่ละด้านสวยงามมาก
เสียดายที่อากาศไม่เป็นใจนัก ผมจึงอยู่เก็บภาพที่นี่ไม่ถึงชั่วโมงก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังวัด Chuson-ji
แล้ว GPS ก็นำเราผ่านเส้นทางเล็ก ๆ ลัดเลาะบนเขาจนไปถึงวัด Chuson-ji จนได้ แม้ว่าเส้นทางจะทำให้หวาดเสียวเพราะแทนที่จะนำไปทางถนนใหญ่กลับใช้ทางเล็ก ๆ มาทะลุลานจอดรถด้านบนสุดของวัด แต่นี่เป็นข้อดีมาก ๆ เพราะทำให้เราสามารถเดินทะลุขึ้นไปจนเกือบถึงจุดที่เป็น Highlight ของวัดเลย โดยไม่ต้องใช้เส้นทางปกติที่ต้องเดินขึ้นเนินหลายร้อยเมตร … หากเพื่อน ๆ ขับรถไปผมแนะนำให้ขับเลยลานจอดรถใหญ่ด้านล่างแล้วไปจอดที่ลานสุดท้ายเลยครับ ช่วยประหยัดพลังงานและเวลาได้เยอะเลย แต่ถ้าอยากเดินชมสวนกับสิ่งปลูกสร้างตรงใกล้ ๆ ทางเข้าก็คงต้องจอดรถที่ลานด้านล่างครับ
ที่วัด Chuson-ji มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก เพราะที่นี่เป็นแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีรวมถึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเก่าแก่อีกแห่งสำหรับชาวญี่ปุ่น อีกทั้งวันที่ผมเดินทางไปอยู่ในช่วงเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่พอดี ทำให้มีกิจกรรมเสริมได้แก่การแสดงพันธุ์ดอกไม้ (เบญจมาศ) รวมถึงการแสดงโบราณ (เหมือนงิ้วประมาณนั้น)
วัดแห่งนี้ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ทั้งสน, ไผ่และแน่นอนว่ามีเมเปิ้ลรวมอยู่ด้วย ใบเมเปิ้ลที่นี่อยู่ในสถานะที่หลากหลาย มีตั้งแต่ยังเป็นสีเขียวอ่อน, เหลืองส้มและแดง ระดับการเปลี่ยนสีอยู่ที่ราว 60-70%
ก่อนเข้าไปด้านในอาคารที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องชำระล้างร่างกายก่อนครับ
ดอกเบญจมาศที่นำมาแสดง ดอกใหญ่มาก
จากภาพบนอาจนึกไม่ออกว่าดอกใหญ่ขนาดไหน ลองเอามือผมไปเทียบให้ดู … ใครดูลายมือเป็นช่วยบอกหน่อยว่าอนาคตอันใกล้จะเป็นเศรษฐีไหม อิอิ
มาดูบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสีในวัดกันครับ
ผมชอบที่นี่ตรงความหลากหลายของพันธุ์ไม้ และมีศาลาที่ดูเก่า ๆ คลาสสิคอยู่หลายจุดเลย
ผมชอบที่สุดก็ตรงโอโมงค์เมเปิ้ลจุดนี้นี่แหละครับ สีสันหลากหลายดีจัง แต่คนเยอะตลอดทำให้ถ่ายภาพค่อนข้างยาก
ที่วัดมีการแสดงด้วย คนญี่ปุ่นตั้งใจชมกันมาก แต่น่าจะเป็นเนื้อหาที่เศร้าเพราะแต่ละคนดูจะมีสีหน้าเคร่งเครียดเหลือเกิน
ส่วนจุด Highlight ของที่นี่คือวิหารทองคำครับ แต่ผมชมเพียงด้านนอกเท่านั้น เพราะภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพผมเลยเลือกที่จะเดินเก็บบรรยากาศรอบนอกแทน
ออกจากวัด Chuson-ji แล้วเราแวะทานอาหารกันที่ร้านอาหารริมทาง แต่เข้าใจว่าเป็นร้านดังเพราะมีคนทานเยอะทีเดียว สำหรับอาหารนั้นถือว่าอร่อยมากครับแต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูงกว่ามื้ออื่น ๆ … ผมถือโอกาสถ่ายภาพต้นแปะก๊วยหน้าร้านอาหารที่กำลังเปลี่ยนสีเต็มต้นมาเป็นที่ระลึก
จากที่นี่เราเดินทางไปยังแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีจุดสุดท้ายในส่วนของการขับรถเที่ยวนั่นคือ Naruko Gorge … สำหรับที่นี่ผมค่อนข้าทำใจกับสถานการณ์ใบไม้เปลี่ยนสี เพราะเวปต่าง ๆ รายงานตรงกันว่าพีคไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตค. ซึ่งห่างจากวันที่ผมเดินทางไปถึงพอสมควร
ยิ่งใกล้ Naruko Gorge เรายิ่งเห็นความสวยงามของภูเขาที่เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทั้งลูก แม้ส่วนใหญ่จะร่วงโรยไปแล้ว ผมขับเลยที่พักของเราซึ่งเป็น Onsen ที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน Naruko Onsen เพื่อไปยังจุดชมวิวด้านบน … ฝนตกปรอย ๆ กับอากาศที่เริ่มมืดแล้ว ทำให้ผมเก็บภาพได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ลานจอดรถฟรี (ถึงก่อนลานเก็บรถแบบจ่ายค่าจอด ผมแนะนำให้จอดที่นี่ครับ เพราะเดินไปจุดอื่น ๆ ไม่ไกลเลย)
จุดชมวิวโตรกธารที่สวยมาก ๆ … นี่ขนาดใบไม้ร่วงไปเยอะแล้วยังสวยขนาดนี้ เสียดายที่เส้นทางนี้ปิดไม่ให้เดินชมแล้วหลังจากมีอุบัติเหตุหินถล่มจนมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว
เรากลับมายังที่พักที่ชื่อ Bentenkaku จองเวลาในการแช่ Onsen แบบส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาอาหารค่ำทานกันในเมือง เป็นบะหมี่แบบดั้งเดิมที่รสชาติดีทีเดียว
จากนั้นเรากลับมายังที่พักและผลัดกันเข้า Onsen แบบ open air ที่สงวนไว้สำหรับแขกซึ่งพักทีนี่เท่านั้น โชคดีมากที่เรามาถึงหลังวันหยุดทำให้ไม่ต้องแย่งคิวกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น การลงแช่น้ำร้อนในบ่อ Onsen ครั้งแรกของผมท่ามกลางอากาศหนาวเย็น มองไปบนฟ้าเห็นพระจันทร์เต็มดวง … ใกล้ ๆบ่อมีต้นเมเปิ้ลที่ใบกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงสด นับเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดจริง ๆ
ที่แปลกมากคือหลังจากแช่ Onsen ราว 20 นาที ผมเดินกลับเข้ายังอาคารที่พัก ผ่านทางเดิน open air ที่ขามาอากาศหนาวมาก แต่ขากลับเหมือนมีเกราะป้องกันความหนาวไว้ รู้สึกสบายตัวมาก ๆ เหมือนกับที่เจ้าของ Onsen บรรยายไม่มีผิด นี่ถ้าไม่ลองคงไม่เชื่อ เพราะตอนฟังยังแอบคิดว่าตอนเดินกลับต้องหนาวมากแน่ ๆ เพราะเพิ่งจะขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อน ที่ไหนได้ความรู้สึกอบอุ่นนี้อยู่กับผมอีกพักใหญ่ เพราะตอนเดินจากอาคารไปเอาของในรถหลังจากนั้นราว 20 นาทีก็ยังรู้สึกอบอุ่นอยู่เช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารเช้าที่ Onsen เราเดินทางไปยังจุดชมวิวที่หมายตาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวาน … เช้านี้อากาศดีมากแต่ลมค่อนข้างแรง ใบไม้จำนวนมากร่วงหล่นตามแรงลม ผมประเมินว่าถ้ามาหลังจากนี้อีกสัปดาห์นึงคงไม่ได้เห็นใบไม้แม้แต่ใบเดียวเป็นแน่
อาหารเช้าสำหรับวันนี้
เช้านี้อากาศดีไม่มีฝน .. ภูเขาลูกนี้ถ่ายจากหน้าต่างห้องพักครับ
ป่าเปลี่ยนสีใกล้ ๆ ลานจอดรถ
เราเดินเลยจากบริเวณที่จอดรถฟรีไปเล็กน้อยก็ถึงสะพานซึ่งเป็นจุดชมวิวของที่นี่ ผมเห็นชาวญี่ปุ่นตั้งกล้องรอเพื่อถ่ายภาพรถไฟที่จะแล่นออกมาจากอุโมงค์บนสะพานที่เชื่อมระหว่างหน้าผาสองฝั่ง นับเป็นอีกจุดที่ช่างภาพห้ามพลาด แต่ดูเหมือนวันนี้รถไฟขบวนเช้าจะไม่มา ทำให้ผมต้องล้มเลิกการรอคอยแล้วเดินไปเก็บภาพจากบริเวณอาคารต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้วถ่ายภาพมายังสะพานแทน
จากลานจอดรถตรงนี้เดินไปสะพานซึ่งเป็นจุดชมวิวได้อย่างสบาย ๆ ไม่เกิน 200 เมตรครับ …
มองเห็นสะพานอยู่ข้างหน้านี่เอง
ภาพนี้ถ่ายจากสะพานมองไปยังจุดที่เป็นลานจอดรถ
วิวจากบนสะพาน
นี่เป็นมุมที่เหล่าช่างภาพรอคอยให้รถไฟออกมา แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด รถรอบเช้าไม่มาตามกำหนด
เมื่อรถไฟไม่มาก็เลยไปเก็บภาพบรรยากาศที่จุดอื่นๆ บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแทน
จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมองกลับมายังสะพาน
ในขณะที่ถ่ายภาพได้สักพัก ก็ได้ทราบว่ารถไฟรอบต่อไปจะมาราว 10 โมง ก็เลยถือโอกาสถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ เสียดายมากที่ใบไม้บริเวณหุบเขานั้นร่วงเกือบหมดจนแทบจะไม่เหลือแล้ว ผมคิดว่าช่วงที่พีคต้องสวยมาก ๆ แน่
ในขณะที่ถ่ายภาพได้สักพัก ก็ได้ทราบว่ารถไฟรอบต่อไปจะมาราว 10 โมง ผมจึงตัดสินใจรอโดยใช้เวลาที่มีอยู่เดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อย ๆ เสียดายมากที่ใบไม้บริเวณหุบเขานั้นร่วงเกือบหมดจนแทบจะไม่เหลือแล้ว ผมคิดว่าช่วงที่พีคต้องสวยมาก ๆ แน่
จุดเด่นของ Naruko Gorge คือจะมีใบไม้หลากหลายสี ไม่ใช่แค่เหลืองหรือแดง เพราะต้นไม้ประเภทสนจะยังคงเป็นสีเขียว ทำให้ช่วงที่พีคจะได้เห็นสีของใบไม้ทั้งเขียว, เหลือง, แดงสลับกันเหมือนการแต้มสีด้วยพู่กัน
ใกล้ได้เวลา 10 โมง ผมไปรอ ณ จุดถ่ายภาพ เล็งไปตรงปากอุโมงค์ ตั้งการถ่ายภาพเป็นแบบ high speed เพราะกลัวเก็บภาพรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วไม่ทัน แต่ที่ไหนได้เมื่อรถไฟมาถึงก็ให้สัญญาณเสียงดัง แถมขับแบบช้าให้ช่างภาพกดชัตเตอร์กันได้อย่างสบายใจเลยทีเดียว 555
ก่อนที่ลงจากหุบเขา เราแวะไปเดินเล่นกันในเมืองส่วนที่เป็นร้านค้า แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะร้านรวงปิดเกือบหมด เราจึงขับรถตรงไปยังสถานีรถไฟ Furukawa เพื่อคืนรถและนั่ง Shinkansen ไปยัง Tokyo
การคืนรถเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และ office ของ Nissan ก็อยู่ไม่ไกลจากสถานี JR มากนัก ทำให้สะดวกมาก ๆ .. เราทานอาหารเที่ยงแบบง่าย ๆ ที่สถานี JR และนั่ง Shinkansen เข้าสู่โตเกียว เป็นอันสิ้นสุดช่วงแรกของการตามล่าใบไม้เปลี่ยนด้วยการขับรถ
แล้วติดตามตอนต่อไปกับการเที่ยวมหานครโตเกียวและนั่ง JR เที่ยวเมืองรอบ ๆ เร็วๆ นี้ครับ … สำหรับตอนนี้ปิดท้ายด้วยขบวน Shinkansen ที่นำพวกเราเข้าสู่โตเกียว
9Mot – ขอบคุณครับ 🙂
ภาพของคุณประกอบด้วยไม่กี่อย่างครับ สวย สดชื่น มีชีวิต แค่นี้เอง
ภาพสวยทุกรูป d750 หรือ df ดี
9Mot-ขอบคุณครับที่เข้ามาติดตามอ่าน
ถ่ายภาพสวยมากค่ะ ขอบคุณที่เอามาลงให้ชมกัน สวยจริงๆคะ
จะขอitinerary,ชื่อเรียวกังที่พักและพิกัดGPS ได้มั๊ยคะ มีแพลนไปaomori และ nikko ช่วงกลาง ตค.ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะขับรถกันเองได้มั๊ย เคยไปกันเองแต่แบบใช้รถไฟกะบัสอ่ะค่ะ
เห็นรีวิวใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากๆค่ะ อยากขับรถไปแบบนี้มาก
ขอบคุณค่ะ
สวยมากครับ บอกเลยครับว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันของอันดับต้นๆที่ต้องไปเที่ยวให้ได้ ชอบธรรมชาติที่ญี่ปุ่นมาก ดูสวยและอบอุ่นดีครับ