ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว : ขับรถตะลุยภูมิภาคโทโฮคุ ตระการตาแหล่งชมใบไม้เปลี่นสี ที่คนไทยไม่คุ้นเคย
เท้าความ
รีวิวตอนที่แล้วผมพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับฤดูกาลแห่งใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูมิภาคโทโฮคุตอนบนของเกาะฮอนชูด้วยการเช่ารถขับมาแล้ว โดยทริปช่วงแรกของผมนั้นสิ้นสุดลงที่เมือง Furukawa จังหวัด Miyagi … เราคืนรถกันที่ Nissan Car Rental จากนั้นก็ใช้ JR East Pass นั่ง Shinkansen เข้าสู่โตเกียว โดยมีปลายทางที่สถานี Akihabara ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักของเรามากที่สุด
ผมออกจากสถานี JR แบบยังงง ๆ เล็กน้อยเพราะอยู่ป่าอยู่เขามาหลายวัน พอเข้ามาเมืองใหญ่ก็ต้องใช้เวลาตั้งสติหน่อย … ตอนนี้ต้องหันมาใช้มือถือกับ pocket wifi จาก iwifi (iwifi.jp) ในการเดินหาที่พัก ซึ่งสามารถ click บนที่อยู่ซึ่งระบุไว้ใน e-mail ยืนยันการจองจาก expedia โดยเลือกให้เปิด link บน Google map เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้ฟังก์ชัน Navigation บนมือถือของเรานำไปยังที่พักได้เลย
ผมจองที่พักซึ่งเป็น apartment แบบ 4 ห้องนอนสำหรับพวกเรา 6 คนที่ชื่อ 1/3rd Residence Akihabara River Side Service Apartment (ทางไปจอง http://goo.gl/x1PggX ) อยู่ห่างจากสถานี JR Akihabara ราว 10 นาทีด้วยการเดิน ซึ่งก็ไม่ถือว่าไกลนัก ทางเข้า apartment อยู่ในซอยเล็ก ๆ แต่ก็มีป้ายตรงทางเข้าชัดเจนมาก … ผมขึ้นไปติดต่อรับกุญแจ apartment ที่สำนักงานบนชั้น 4 จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำขึ้นไปยังห้องพักบนชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของตึก … มาทราบตอน check in ว่า floor นี้ทั้ง floor เป็นของพวกเรา โดยห้องนอนทั้ง 4 ห้องกระจายตัวอยู่คนละฝั่งของลิฟต์ และมีห้องนั่งเล่น1 ห้อง ห้องอาบน้ำ 2 ห้อง และห้องส้วม 2 ห้อง แม้จะไม่ได้กว้างมากมายนัก (ตามสไตล์ที่พักในโตเกียว) แต่ก็เป็นสัดส่วนเหมาะกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน 6-7 คนมาก ๆ ช่วงที่ผมพักนั้นราคาคืนละ 44,000 Yen (ไม่มีอาหารเช้า) พักได้สูงสุด 7 คนครับ
วิวจากห้องพักซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร
ถ่ายภาพภายในไว้เล็กน้อยด้วยมือถือ
เนื่องจากโปรแกรมช่วงเย็นวันนี้ผมไม่ได้กำหนดไว้แน่ชัด แค่อยากจะหาจุดชมแสงไฟยามราตรีที่ไหนก็ได้สักแห่ง ปรึกษากับเพื่อน ๆ ก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะไป Tokyo Sky Tree กัน
ออกไปย่ำราตรีกันครับ อันนี้แถว ๆ ที่พักย่าน Akihabara … โอ๊ะ จะบอกว่าเห็นบรรยากาศแบบนี้ราว 5 โมงเย็นเท่านั้นเอง ตอนนั้นต้นแปะก๊วยในโตเกียวส่วนใหญ่ยังเขียวอยู่เลย
วันนี้ต้องเริ่มใช้ระบบ Metro ควบคู่กับรถไฟ JR ในมหานครโตเกียว เรายังมึน ๆ กับเส้นทางยั้วเยี้ยของเส้นทางเดินรถอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไปถึง Tokyo Sky Tree ได้แบบไม่ยากเย็นนัก (แค่เลยไปป้ายนึงแล้วต้องนั่งกลับแค่นั้นเอง 555) …
แผนผังนี้เป็นเส้นทางของรถไฟสาย JR ซึ่งที่สำคัญมากคือวงสีเขียวอ่อน Jamanote line ครอบคลุมจุดสำคัญ ๆ หลายแห่ง และใช้ JR East Pass ได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
อาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ Tokyo Sky Tree ก็ติดกับสถานีรถไฟนั่นเอง จุดจำหน่ายตั๋วอยู่บนชั้น 4 ของอาคารถูกตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ พนักงานต้อนรับเต็มไปหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อตั๋ว, ตรวจสัมภาระติดตัวเพื่อความปลอดภัย และขั้นตอนการขึ้นลิฟต์
ทางเดินขึ้นอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ Tokyo Skytree
ขนมหน้าตาเชิญชวนให้ทานตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ขายอยู่ในอาคาร
ผมไปช่วงก่อนเทศกาล แต่ก็เริ่มมีไฟประดับประดาบ้างแล้ว โดยเฉพาะที่ลานด้านล่างของ Tokyo Skytree วันนี้พระจันทร์เต็มดวงเลย
จุดจำหน่ายตั๋วดูหรูหราอลังการ แต่วันนี้คนน้อยมาก ไม่ต้องต่อคิวเลย
ทางเดินไปขึ้นลิฟต์มีพนักงานประจำอยู่เป็นระยะ
พวกเราซื้อตั๋วแบบขึ้นไปยังจุดชมวิวที่ความสูง 350 เมตร ในราคา 2,570 Yenต่อคน (แอบคิดในใจว่าแพงโว้ย แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วขอขึ้นไปดูซักหน่อย) หากต้องการไปที่ระดับความสูง 450 เมตรด้วย จะต้องเพิ่มเงินอีกคนละ 1,030 Yen แต่ผมกับเพื่อน ๆ ไม่ได้ขึ้นไปครับ
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าใช้เวลาแค่ไม่ถึงนาทีลิฟต์ก็นำเรามาส่งที่ระดับความสูง 350 เมตร และทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกเราก็ได้ร้องว้าวกันเพราะวิวของมหานครโตเกียวเบื้องหน้ายามราตรีนั้นสวยงามจริง ๆ … จากเดิมทีกะว่าจะขึ้นไปถ่ายภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นที่ระลึก กลับกลายเป็นผมใช้เวลาบนนั้นนานทีเดียวกว่าจะได้ภาพมาครบทั้ง 360 องศา
มาชม VDO ที่ผมบันทึกไว้ตั้งแต่ตอนขึ้นลิฟต์จนถึงจุดชมวิวที่ระดับความสูง 350 ม.กันครับ … วินาทีทีประตูลิฟท์เปิดนั้นตื่นตาตื่นใจมาก
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของ Tokyo จากระดับความสูงของ Tokyo Sky Tree
สำหรับการถ่ายภาพวิวเบื้องล่างนั้นอาจจะไม่เป็นอุปสรรคนักเพราะผมติดเอาขาตั้งกล้องมาด้วย สามารถใช้ชัตเตอร์สปีดต่ำ ๆ เพื่อเก็บแสงไฟยามราตรีได้ แต่เพื่อน ๆ ในกลุ่มอยากได้ภาพที่ระลึกของตัวเองกับแสงไฟด้วย ครั้นจะใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ๆ ก็ไม่ได้เพราะแบบไม่สามารถยืนนิ่งได้นาน ๆ หลายวินาที ก็นับเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของเจ้า D750 ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ ISO สูง ๆ มาช่วยในสถานการณ์แบบนี้
และก็ไม่ผิดหวังครับ ผมเร่ง ISO ไปถึง 6400 ภาพที่ออกมายังอยูในเกณฑ์ดีเลยทีเดียว .. ภาพด้านล่างเลือกใช้ ISO 6400 เพื่อให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ราว ๆ 1/125 sec ครับ มี noise เกิดขึ้นในส่วนมืดแต่ถือว่าไม่น่าเกลียดเลยสำหรับผม
เสียดายที่ไฟประดับด้านในหอคอยเป็นสีม่วง ๆ ก็เลยทำให้ภาพคนดูอมม่วงไปหน่อย ถ้าให้ดีคงต้อง fill flash ครับ
ขาลงจะต้องใช้ลิฟต์ที่อยู่ชั้นติด ๆ กัน โดยเดินผ่านจุดให้บริการถ่ายภาพที่ระลึก, ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และส่วนที่พื้นเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิวเบื้องล่าง ใครไม่กลัวความสูงก็เชิญสัมผัสจุดนี้ได้เลย
เช้าวันต่อมาเรามีโปรแกรมไปชมความงามของ Fuji-san กันที่ทะเลสาบ Kawaguchiko ซึ่งสามารถใช้ JR East Pass ได้จนถึงสถานี Otsuki จากนั้นก็ต่อรถไฟสาย Fujikyu ไปยังสถานีปลายทาง Kawaguchiko โดยต้องเสียค่ารถไฟช่วงนี้เพิ่มคนละ 1,140 Yen …
วิวจากหน้าต่างรถไฟก่อนถึงสถานีปลายทางเล็กน้อย
เมื่อถึงสถานี Kawaguchiko แล้วก็ต้องต่อรถเมโทรไปยังทะเลสาบอีก โดยสามารถซื้อเป็นเที่ยว ๆ ไปหรือแบบเหมาเป็น day pass ก็ได้ สำหรับผมไม่อยากยุ่งยากก็เลยซื้อแบบเหมาไปเลย (ตั๋วแบบ 1 วันต้องซื้อบนรถนะครับ ผมไปซื้อที่สถานีมีขายเฉพาะแบบ 2 วันซึ่งแพงกว่าเล็กน้อย)
สำหรับตารางเวลารถเมโทรที่วิ่งรอบทะเลสาบ Kawaguchiko นั้นจะเป็นเวลาโดยประมาณ เพราะการเก็บเงินค่ารถจะทำตอนลงจากรถซึ่งบางทีก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่โดยเฉลี่ยแล้วรถจะออกทุก ๆ 20-40 นาทีขึ้นอยู่กับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในช่วงนั้น ๆ
ทั้งนี้รถจะออกจากสถานีรถไฟ ผ่านป้ายทั้งหมดรวม 22 ป้าย ช่วงแรก ๆ ยังเป็นหมู่บ้าน แถว ๆ ป้ายที่ 6 เริ่มเป็นที่น่าสนใจ รอบทะเลสาบซึ่งสามารถแวะชมได้ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย ป้ายที่น่าสนใจอาทิ ป้ายที่ 7 Kawaguchiko Herb Kan ที่จัดแสดงสมุนไพร ตรงนี้มีต้นแปะก๊วยใบเหลืองเต็มต้นด้วย , ส่วนที่ป้ายหมายเลข 10 Yuransen Ropeway Iriguchi มีกระเช้าไฟฟ้า Kachi Kachi Ropeway ขึ้นไปชมวิวของทะเลสาบ และภูเขาไฟฟูจิ, ที่พลาดไม่ได้คือตรงป้ายหมายเลข 17-18 Kawaguchiko Sarumawashi Gekijo Konohana Bijutsu-kan – Kubota Itchiku Bujutsu-kan ซึ่งมีทางเดินชมวิวสวย ๆ ริมทะเลสาบ
ภาพนี้ถ่ายเลยจากจุดที่ 7 มาเล็กน้อย
วิวระหว่างทางขณะเมโทรบัสขับเลียบทะเลสาบ
ทั้งนี้พวกผมลงกันที่ป้ายหมายเลข 17 แล้วเดินเลาะริมทะเลสาบไป แม้จะมีเมฆมาก แต่ก็ยังพอเห็นยอด Fuji-san ให้พอได้ชื่นใจ
เดินไปอีกหน่อยเป็นแนวต้นไม้ซึ่งใบกำลังเปลี่ยนสีสวยงาม
ถนนระหว่างป้ายที่ 17-18 จะมีแนวต้นไม้ที่ใบกำลังเปลี่ยนสีสวยงาม
ฝาท่อระบายน้ำของที่นี่ลวดลายน่ารักมาก
นอกจากนี้ใกล้ ๆ กับป้ายหมายเลข 18 ยังเป็นจุดชมอุโมงค์เมเปิ้ลอันโด่งดังด้วยครับ เสียดายช่วงที่ไปต้นด้านในส่วนใหญ่ยังเขียวอยู่เลย
ส่วนด้านนอกที่สามารถมองเห็นจากถนนเปลี่ยนสีไปเยอะแล้ว
ส่วนด้านในยังเขียว ๆ อยู่เยอะเลย
บริเวณลานจอดรถด้านหลังสีสวยไม่เบา
หลังจากชมอุโมงค์เมเปิ้ลเราตั้งใจจะหาอาหารเที่ยงทานกันที่นี่ แต่พอเข้าไปในร้านซึ่งออกจะดูแนว ๆ ภัตตาคารก็แอบอึ้งกับราคาอาหารที่ค่อนข้างแพง แถมหลาย ๆ รายการสั่งไม่ได้เพราะหมดแล้ว เราเลยถือโอกาสออกจากร้านเพราะของที่อยากทานไม่มี (จริง ๆ แล้วตกใจราคามากกว่า 555)
สุดท้ายเราจึงขึ้นรถไปยังป้ายสุดท้ายหมายเลข 21 Kawaguchiko Shizen Seikatsukan (แต่ไม่รู้ทำไมผมเห็นที่นั่นเขียนว่า 22 ยังงง ๆ จนถึงวันนี้) ที่นี่มีร้านขายของที่ระลึก และร้านกาแฟ
บรรยากาศ ณ ป้ายสุดท้ายซึ่งเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เสียดายที่ตอนนี้เมฆบัง Fuji-san จนหมดเลย
ถ้าเมฆไม่บัง จะเห็นของจริงอยู่หลัง Mount Fuji จำลองนี้
Dynamic range ที่กว้างมากของ D750 ช่วยให้การดึงรายละเอียดในขั้นตอน post process ทำได้ดีขึ้นมากเลย
ผมคาดการณ์ผิดที่นี่ไม่มีอาหารหนัก ๆ สำหรับแก๊งค์ทานจุอย่างพวกเราเลย ผมจึงเดินออกมาสำรวจริมถนนเจอร้านอาหารสไตล์ Bristo อยู่ ราคาพอคบหาได้ โดยรวมแล้วถูกกว่าทานอาหารที่ภัตตาคารแถวป้าย 17-18 พวกเราจึงตัดสินใจทานกันที่นี่ รสชาติอาหารถือว่า ok เลย เสียดายที่แม่ค้าดูไม่ค่อย welcome เหมือนร้านอื่น ๆ ที่เคยใช้บริการก่อนหน้านี้
เนื่องจากเราใช้เวลาเดินเล่นไปเยอะ แถมตอนนี้เมฆบังยอดฟูจิหมดแล้ว จึงยกเลิกแผนที่แวะป้ายอื่น ๆ ที่หมายตาไว้ แล้วเดินทางกับโตเกียว เพื่อพาสาว ๆ ไปเดินช็อปปิ้งกันที่ย่าน Shinjuku แทน …
ค่ำคืนที่นี่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ทีเดียว … ผมไม่ได้ติดขาตั้งกล้องมาด้วย เลือกใช้ ISO ราว 800 เพื่อบันทึกภาพเหล่านี้ Nikon D750 ยังคงเก็บรายละเอียดของสีได้ดีแม้ใช้ ISO สูง ๆ … สีสันของป้ายไฟต้องยกให้ญี่ปุ่นเขาจริง ๆ 555
บางภาพลองใช้ชัตเตอร์สปีดต่ำ ๆ เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของคน ทำให้ได้อารมณ์ของเมืองที่ดูมีชีวิตชีวาไปด้วยผู้คน แต่ก็ต้องกลั้นหายใจกันเลยทีเดียวตอนกดชัตเตอร์เพื่อให้ได้ภาพ background ที่คมชัดที่สุด (ใช้สปีดราว 1/15 วินาทีครับ)
วันถัดมาเรามีโปรแกรมเดินทางไปเที่ยวเมือง Karuizawa ที่จังหวัด Nagano โดยมีจุดประสงค์หลักสองอย่างคือชมใบไม้เปลี่ยนสีที่บึง Kumoba และ Shopping ที่ Outlet ของเมืองนี้ เราสามารถใช้ JR East Pass ได้ถึงสถานี Karuizawa ซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วโมงนิด ๆ จากโตเกียว นับว่าสะดวกมาก ๆ ส่วน Outlet นั้นสุดแสนจะถูกใจขาช็อปเพราะอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย …
เช้าวันนี้ได้เห็นคู่รัก Shinkansen ด้วย อิอิ
เพื่อป้องโปรแกรมถ่ายภาพบึงสวย ๆ ของผมถูกแทรกแซงด้วยการ shopping ไม่ยอมหยุด ผมจึงต้องวางแผน เอ้ย วางแพลนให้ไปเที่ยวบึงกันก่อน ซึ่งการเดินทางไปยังบึงอาจนั่งรถบัสไปหรือเดินไปก็ได้ ถ้าเดินก็จะเสียเวลาหน่อย เพราะระยะทางก็ไกลพอสมควร แต่พวกเราเลือกวิธีเช่าจักรยานขี่ไปยังบึงแห่งนี้ นับว่าเป็นวิธีการที่สะดวกและสนุกดี เพราะบรรยากาศเมืองนี้น่ารัก รถไม่เยอะ ขี่จักรยานได้อย่างปลอดภัย แถมมีจุดให้แวะถ่ายภาพเต็มไปหมด
เมือง Karuizawa ยามสาย ดูเงียบมากจนผมเองก็แปลกใจ
จะว่าไปเมืองนี้น่าจะเป็นเมืองใหม่ มีร้านรวงอยู่ตรงถนนสายหลักเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ถัดมาไม่ไกลเป็นย่านบ้านพักตากอากาศที่แสนร่มรื่น เหมาะกับการขี่จักรยานมาก
ผมเองก็ขี่ตาม GPS ของมือถือมาจนถึงบึง Kumoba ซึ่งที่นี่มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรเลย ส่วนใหญ่เป็นคนจีน กับชาวญี่ปุน ไม่เห็นคนไทยกลุ่มอื่นแม้แต่คนเดียว
บรรยกาศระหว่างทาง ร่มรื่นมาก
บึงแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถเดินรอบ ๆ ได้โดยใช้เวลาไม่นาน รอบ ๆ บึงเป็นบ้านพักตากอากาศที่มีบริเวณกว้างขวางมากเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปของชาวญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์สำหรับเศรษฐีชาวญี่ปุ่นที่จะมาพักผ่อน, เล่นสกี, แช่ออนเซ็น รวมถึง shopping กันที่ Prince shopping plaza อันเป็นอภิมหา outlet ของเมือง Karuizawa แห่งนี้
บรรยากาศโดยรอบบึง Kumoba
เราใช้เวลาเดินรอบบึงรวมถึงขี่รถจักรยานชมเมืองกันราว 2 ชม. ก็ไปทานข้าวเที่ยงกันที่ food center ของ Prince shopping plaza ซึ่งมีอาหารให้เลือกหลากหลายมาก ราคาก็สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับปริมาณและคุณภาพของอาหาร
หลังจากเติมพลังด้วยมื้อเที่ยงแล้วก็ได้เวลาที่สาว ๆ รอคอยซะที เราเริ่ม shopping กันตอนบ่าย 2 โมง และนัดเจอกัน 6 โมงเย็น เพื่อให้แต่ละคนได้มีเวลาเดินเลือกซื้อสินค้ากันได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่อยากบอกเลยว่า 4 ชั่วโมงนี่มันช่างน้อยนักเมื่อเทียบกับอาณาบริเวณของ Prince shopping plaza outlet แห่งนี้ ผมเองขนาดไม่ได้โปรดปรานการ shopping นักยังเข้า ๆ ออก ๆ หลายร้าน เพราะมีอะไรให้ดูเยอะแยะไปหมด ราคาสินค้าบางร้านก็ลดแบบอภิมโหฬารจนยากจะอดใจได้ สรุปแล้วผมเดินไม่ครบทุกโซน แต่ก็ได้เสื้อผ้ากับของใช้ติดไม้ติดมือมาหลายชิ้นเลย (ยีน Levi’s 501 ตัวละ 300 กับเสื้อกันหนาวสวย ๆ ตัวละ 800-1,000 บาท)
สำหรับรายละเอียดของที่นี่ ดูได้จาก link นี้เลยครับ http://www.karuizawa-psp.jp.e.kd.hp.transer.com/web/plazaguide/en/
บรรยากาศที่ Prince Shopping Plaza อภิมหา outlet ในดวงใจของขาช็อป
แต่เนื่องจากอารมณ์ช็อปปิ้งยังคุกรุ่น ผมก็เลยจัดให้สาว ๆ ได้ shopping กันต่อที่ย่าน Ginza ทันทีที่เดินทางถึงโตเกียว ซึ่งย่านนี้เป็นแหล่งร้านค้าขนาดใหญ่ของบรรดาแบรนด์ชั้นนำ และแน่นอนว่าเหล่าสาวกแบรนด์ดังต้องไม่พลาด ส่วนผมขอเดินหิ้วกระเป๋าให้ก็แล้วกัน อิอิ … พอดีว่าวันนั้นฝนตกปรอย ๆ ก็เลยไม่ได้เอากล้องออกมาเก็บภาพครับ
วันต่อมาผมเดินทางไปชมน้ำตก Fukuroda Falls อยู่ที่เมือง Diago ของจังหวัด Irabaki ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 10 น้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น และในแต่ละฤดูนั้นจะมีความงดงามที่แตกต่างกันไป ทว่าไม่ค่อยมีคนไทยเดินทางไปที่นี่มากนัก ทำให้ผมมีข้อมูลค่อนข้างจำกัด แต่ผมลองดูภาพเปรียบเทียบกับจุดอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มของใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเดียวกันนี้แล้ว ดูเหมือนที่นี่จะน่าสนใจที่สุด อีกอย่างผมเองก็อยากนำสถานที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ มาฝากเพื่อน ๆ ด้วย จึงตัดสินใจเลือกเดินทางไปที่นี่ ซึ่งการเดินทางต้องนั่งรถไฟ Shinkansen ไปลงยังสถานี Mito (เส้นทางเดียวกับที่ไปสวน Hitachi seaside park ที่คนไทยคุ้นเคย) จากนั้นต่อรถไฟ JR สไตล์หวานเย็นต่อไปยังสถานี Fukuroda ซึ่งขบวนหลังนี่ผ่านพื้นที่อันเป็นชนบทของญี่ปุ่นวิวสวยทีเดียว
วิวช่วงท้าย ๆ ก่อนจากหน้าต่างรถไฟ JR ขบวนหวานเย็น
และสถานีปลายทางก็เล็กนิดเดียว มีเจ้าหน้าที่อยู่แค่คนเดียวทำงานทุกอย่าง … ลงจากรถไฟปุ๊ปก็นั่งรถบัสที่จอดรถอยู่แล้วเพื่อต่อไปยังทางเดินเข้าน้ำตก (รถบัสดังกล่าวน่าจะเป็นรถที่วิ่งรับ-ส่งจากสถานีรถไฟไปยังหมู่บ้านใกล้ๆ กันแถบนั้น)
จากสถานีรถไฟ นั่งรถบัสไม่ถึง 15 นาทีก็ถึงจุดที่จะต้องเดินต่อไปยังตัวน้ำตก (จริง ๆ ผมก็ไม่ทราบหรอกว่าสถานีไหน แต่เห็นคนลงเยอะและมีป้ายคล้าย ๆ ป้ายทางเข้าอุทยานทั่ว ๆ ไปก็เลยลง ทางที่ดีควรพิมพ์ชื่อน้ำตกเป็นภาษาญี่ปุ่นหรือมีภาพติดตัวไปด้วยจะช่วยได้มากครับ)ลงรถแล้วเดินไปราว 10 นาทีจะถึงโซนร้านอาหารปากทางเข้าน้ำตก
โซนที่เป็นร้านค้า เลยจากจุดนี้ไปห้ามนำรถเข้า
จากจุดนี้เดินแบบสบาย ๆ เลียบลำธารไปอีก 5 นาทีก็จะถึงจุดที่จะต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมน้ำตก Fukuroda … ระหว่างทางก็มีร้านขายสินค้าที่ระลึกตลอดครับ
ข้นด้านบนที่เห็นอยู่นั่นคือปากทางเข้าไปชมน้ำตกครับ
ทั้งนี้ทางเข้าสู่น้ำตกนั้นอาจดูแปลก ๆ หน่อยคือเป็นอุโมงค์ซีเมนต์ครับ ผมเองไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะดูแล้วไม่ธรรมชาติเอามาก ๆ แต่เข้าใจว่าทางการญี่ปุ่นคงต้องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการได้เข้าถึงธรรมชาติได้นั่นเอง จึงจัดให้มีการทำอุโมงค์และลิฟต์แทนที่จะไปทำทางเดินริมลำธารเหมือนเส้นทางชมน้ำตกทั่ว ๆ ไป
สำหรับจุดชมน้ำตกจะมีด้วยกันหลายจุดครับ จุดหลักนั้นถูกทำเป็นปากอุโมงค์ขนาดใหญ่มีม้านั่งและระเบียงให้ชมน้ำตก Fukuroda ตรงหน้าได้อย่างเต็มตา ข้อดีคือไม่ร้อน กันฝนได้และการเข้าถึงสะดวกมาก แต่ข้อเสียในมุมมองของผมคือดูแล้วขัดแย้งกับความเป็นธรรมชาติ ทำให้เสน่ห์ของน้ำตกดูลดลงไปเยอะทีเดียว
นี่แหละครับจุดชมน้ำตกที่ว่า ผมดูแล้วคิดถึงเขื่อนมากกว่าน้ำตก
แต่เมื่อยืนที่ระเบียงก็จะเห็นวิวแบบนี้ … มาช่วงเช้าถ่ายภาพยากหน่อยเพราะย้อนแสงเต็ม ๆ ครับ
จุดถัดมาอีก 2 จุดใกล้ ๆ กันต้องต่อคิวขึ้นลิฟต์ไป เป็นระเบียงให้ชมความงามของน้ำตกแบบห่างออกมาหน่อย และดูจะใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าจุดแรก เสียดายที่ผมมาเร็วไปนิด ใบไม้ยังเปลี่ยนสีได้ราว 60% เท่านั้น
การมาถึงที่น้ำตกแห่งนี้ในช่วงสาย ๆ จะต้องถ่ายภาพย้อนแสง อีกทั้งตัวน้ำตกยังอยู่ภายใต้เงาทำให้การถ่ายภาพค่อนข้างยากทีเดียว ผมแนะนำว่าหากจะมาที่นี่ให้เลือกวันที่พยากรณ์ว่าจะมีเมฆเยอะ ๆ แดดไม่จัดก็ดีครับ จะทำให้การถ่ายภาพน้ำตกนั้นง่ายขึ้นเยอะเลย
ขากลับเราใช้เส้นทางอีกเส้นที่เดินเลียบลำธารไปจนถึงบริเวณร้านค้า … จากด้านนี้สามารถมองเห็นระเบียงชมวิวจุดแรกได้ด้วย
เราทานข้าวเที่ยงกันแถวนี้ ซึ่งเราเลือกเข้าร้านที่มีคนเยอะสุด เพราะคิดว่าน่าจะอร่อยและคงเป็นอาหารแบบดั้งเดิมดี ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ อาหารรสชาติดี แม้จะต้องนั่งโต๊ะเบียด ๆ กันหน่อย แต่คนญี่ปุ่นที่นั่งใกล้กันก็ช่วยแนะนำให้ว่า อาหารใดต้องทานกับซอสตัวไหน ใส่ภาชนะอะไร เพราะเวลาเสิร์ฟมันมาเยอะแยะไปหมดทำไม่ถูก … การได้มาทานอาหารในบรรยากาศแบบนี้รู้สึกดีมากเลยเพราะเหมือนได้เข้าถึงวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นจริง ๆ
ขากลับผมวางแพลนไว้แบบหลวม ๆ ไม่ได้ดูเรื่องรอบรถไฟกับรสบัสไว้เผื่อเลือก ทำให้เมื่อไปถึงสถานีรถไฟต้องพบว่ารถไฟเพิ่งออกไปได้ราว 10 นาทีและรอบต่อไปต้องรออีกเกือบสองชั่วโมง (หรือรสบัสมาช้ากว่ากำหนดก็ไม่รู้) มิหนำซ้ำด้วยความที่ยังไม่แน่ใจเรื่องข้อมูลเพราะสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สถานีไม่เข้าใจเลยพลาดโอกาสที่จะนั่งรถไฟไปเที่ยววัด Eigen-ji (Daigo) ที่อยู่ถัดไปแค่สถานีเดียวตามแผนสำรองที่วางไว้
ดังนั้นหากเพื่อน ๆ วางแผนจะมาเที่ยวที่นี่อาจต้องตรวจสอบตารางรถไฟและรถบัสให้สอดคล้องกันนะครับ เพราะขากลับผมพลาดรถไฟไปไม่กี่นาทีต้องนั่งรอเกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ อีกอย่างเจ้าหน้าที่ตรงสถานีรถไฟและคนขับรถบัสไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เลย (คาดว่าน่าจะเป็นแบบนี้ทุกคน) ทำให้อาจมีอุปสรรคกับการเดินทางได้ แม้ว่าเขาพยายามจะช่วยเหลือเราก็ตาม
ระหว่างรอรถไฟผมก็เลยเดินเล่น ๆ ในบริเวณหมู่บ้านที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ บรรยากาศดีทีเดียวครับมีแม่น้ำไหลผ่าน รายล้อมด้วยภูเขา
อันที่จริงจากสถานี Fukuroda นั่งไปอีกแค่สถานีเดียวจะเป็นสถานี Hitachi Diago ที่อยู่ใกล้วัด Eigen-ji หากมีเวลาเหลือมากพอ แนะนำให้นั่งรถไฟไปเที่ยวที่นี่ครับเพราะผมดูจากภาพใน internet แล้วใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่สวยงามมากเช่นกัน ส่วนขากลับไม่ต้องกลับมาที่สถานี Fukuroda นะครับ สามารถรอที่สถานี Hitachi Diago ได้เลย
อีกอย่างที่อาจต้องระมัดระวังคือที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อาจไม่มีสัญญาณ wifi สำหรับเจ้า pocket wifi นะ ดังนั้นควรทำการบ้านเรื่องเที่ยวรถไฟรวมถึงหาข้อมูลการเดินทางให้ครบถ้วนก่อนจะเดินทางมาครับ
เย้ .. รถไฟเรามาแล้ว หน้าตาหวานเย็นมาก ๆ อิอิ
ขากลับวันนั้นเราไปลงที่สถานี Ueno และเดินเที่ยวย่าน shopping แถบนั้น ซึ่งผมว่าเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของโตเกียว เพราะมีร้านค้าจำพวกเสื้อผ้า, รองเท้า, กระเป๋า เยอะดี การแต่งร้านอาจดูไม่หรูหรามากนักแต่ราคาดูแล้วจับต้องได้และมีความหลากหลายต่างกับย่าน Ginza ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนมซะเป็นส่วนใหญ่
บรรยากาศที่ Ueno ร้านค้าจะเป็นแนว ๆ นี้ครับ มีชั้นวางของขายสินค้าแฟชั่นตลอดสองข้างทาง แนวการจัดร้านแบบเยอะ ๆ เข้าว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ดูหรูหรานัก
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งทานอาหารมื้อค่ำของชาวญี่ปุ่นด้วย
วันถัดมาเป็นวันที่ผมมีโปรแกรม day trip ในโตเกียว และถึงเวลาที่จะต้องใช้บัตรโดยสารประเภทอื่นสำหรับการเดินทางเนื่องจาก JR East Pass ได้ใช้สิทธ์ครบไปอย่างคุ้มค่าเมื่อวันก่อนหน้า ทั้งนี้พวกเราซื้อตัว Tokyo one day open ticket สำหรับใช้เมโทรได้ไม่จำกัดในราคาคนละ 700 Yen เศษ
ก่อนจะตระเวนเที่ยวโตเกียว เราต้องย้ายโรงแรมกันเพราะที่พักเดิมซึ่งเป็น apartment นั้นจองได้แค่ 4 คืน คืนต่อมาเราจึงย้ายไปพักกันที่โรงแรม Remm Akihabara (ทางไปจอง http://goo.gl/3xVyHx )ซึ่งอยู่ติดกับสถานี JR เลย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเดินทางและ shopping (ถือไม่หมดก็เอามาเก็บโรงแรม แล้วกลับไป shopping ต่อ 555)
ทั้งนี้เราขอฝากของไว้ที่โรงแรมตั้งแต่เช้าก่อนออกเดินทางไปเที่ยว แล้วเข้ามา check in ตอนค่ำ ๆ ซึ่งทางโรงแรมก็อำนวยความสะดวกอย่างดี สำหรับห้องพักที่นี่ก็ใหม่และสะอาดมากครับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน รีวิวดี แต่ห้องก็เล็ก ๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น ราคาเกือบ 5 พันพักได้ 2 คน เกินงบที่ตั้งไว้นิดหน่อยแต่ก็แลกกับความสะดวก อิอิ
สำหรับโปรแกรม day trip ของเราเริ่มที่ตลาดปลาชื่อดัง เพื่อชมบรรยากาศและชิมอาหารทะเลสด ๆ
ก่อนถึงตลาดซึ่งเป็นที่ประมูลปลา เต็มไปด้วยร้านอาหารแบบที่ต้องนั่ง ๆ ยืน ๆ ทาน ซึ่งเห็นชาวญี่ปุ่นไปต่อคิวทานกันเยอะมากแต่เราเลือกไปทานที่ร้านในซอยตรงข้ามจุดประมูลปลาครับ
เมนูของพวกเราวันนี้
บรรยากาศที่ตลาดปลา ต้องเดินจากสถานี Metro Tsukiji (H 10) ไปราว 5 นาทีครับ …
ลองชิมหอยตัวใหญ่ ๆ ที่ตลาดประมูลปลา
จากนั้นพาสาว ๆ แวะไป Ginza เพื่อซื้อกระเป๋าที่หมายตาไว้เมื่อคืนก่อนหน้า
ตามด้วย Shibuya .. .ทักทาย Hachiko หมาน้อยผู้ซื่อสัตย์
รถไฟโบราณตั้งแสดงอยู่ตรงข้ามอนุสาวรีย์ Hichiko
ขึ้นไปนั่งบน star bucks ชั้น 2 เพื่อเก็บบรรยากาศตรงห้าแยก Shibuya
ต่อด้วย Harajuku .. โอ้โห คนเยอะโคตร ๆ เลย
แวะไปชมศาลเจ้า Meiji ก่อนกลับ … หนูน้อยในชุดกิโมโนน่ารักทีเดียว
พอเข้าไปด้านในมีพิธีแต่งงานด้วยก็เลยเก็บภาพบรรยากาศไว้
ส่วนค่ำคืนนั้นได้เวลาสำรวจห้างสินค้า electronics ชื่อดังของย่าน Aikhabara ที่ผมพัก นั่นก็คือ yodobashi akiba ซึ่งสินค้ามีหลากหลายมากครับ แต่ราคาอุปกรณ์กล้องที่ผมสนใจแทบไม่ต่างกับเมืองไทยนักจึงซื้อแค่พวก accessories เล็ก ๆ น้อยเท่านั้น (ที่นี่สามารถใช้ passport เพื่อหักส่วนของ tax ออกไปได้ ดังนั้นควรพก passport ไปด้วยนะครับหากจะไป shopping กัน)
วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเดินทางกลับ เราซื้อตัวจากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน Haneda เป็นตัวที่รวม รถไฟ JR กับ Tokyo Monorail Haneda Express ในราคา 650 Yen
การเดินทางสู่สนามบิน Haneda เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กระบวนการต่าง ๆ ที่สนามบินนับว่าเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก ไม่ยุ่งยาก เพื่อนผมที่เผลอเอาเครื่องสำอางซึ่งเป็นของเหลวติดตัวไปเกินข้อกำหนด ก็ได้รับการอำนวยความสะดวกให้นำไปโหลดแยก โดยไม่ต้องกลับไปที่ counter check in หรือแทนที่จะต้องโยนทิ้ง (ทั้งนี้ผมเดินทางถึงก่อนเวลาเครื่องออกนานพอสมควร หากไปจินจวนอาจทำแบบนี้ไม่ได้)
นับเป็นการจบทริปญี่ปุ่น 10 วันที่ได้อรรถรสครบครันทั้งการขับรถท่องเที่ยวไปตามเส้นทางสวย ๆ ของภูมิภาคโทโฮคุ, นั่งรถ Shinkansen ไปยังเมืองสวย ๆ ไม่ไกลจากโตเกียวโดยใช้ JR Pass รวมถึงเที่ยวชมเมืองโตเกียวด้วย
สรุปให้นิดนึงสำหรับการได้ใช้งาน Nikon D750 ตลอด 10 วันของทริป เป็นการใช้แบบไม่ได้ศึกษามาก่อน แต่ใช้ความคุ้นเคยจากการใช้งาน Nikon มาตลอด สิ่งที่ผมชอบในกล้องตัวนี้คือ
1. เป็น Full frame ที่น้ำหนักเบา สะดวกมากสำหรับผู้ชอบเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการแบกสัมภาระหนักจนเกินไป
2. จอ LCD แบบปรับเอียงได้ทำให้สะดวกมาก ๆ ในมุมต่ำหรือสูง (อยากได้มานานแล้ว)
3. การโฟกัสในที่แสงน้อยทำได้ดีมาก ๆ ต่างจาก D7000 ที่ผมใช้อยู่อย่างเห็นได้ชัด
4. WIFI ในตัวทำให้ส่งต่อไปยัง มือถือหรือ tablet เพื่อใช้ upload ขึ้น social media อวดเพื่อนได้ทันที 55
5. สามารถปรับรูรับแสงได้ขณะถ่ายภาพ VDO แถมยังได้ภาพที่ลื่นไหลไม่เหมือนค่อย ๆ fade และการปรับ ISO แบบ auto ก็ช่วยให้ได้ภาพ VDO ที่แสงที่พอดีเสมอโดยไม่ต้องทำอะไรมาก
6. Group focus point ทำให้การ focus วัตถุที่เคลื่อนไหวทำงานได้สะดวกขึ้น
จะว่าไปมีอีกหลายความสามารถที่มีใน D750 แต่ผมไม่มีโอกาสได้ลองระหว่างเดินทาง จึงไม่อยากกล่าวในที่นี้ จะทดลองใช้แล้วนำมาเล่าให้ฟังในทริปหน้านะครับ J
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลจากริวิวทั้งสองตอนคงทำให้เพื่อน ๆ ได้สัมผัสกับสถานที่แปลกใหม่ของญี่ปุ่น และสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ด้วยตัวเองในไม่ช้านี้นะครับ
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบผลงานการถ่ายภาพสามารถติดตามได้ที่เพจ 9Mot-Photography หรือ follow instagram ได้ที่ @9mot ครับ