เพื่อน ๆ มีใครเหมือนผมบ้างไหมครับ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ฝันว่าจะทำงานและหารายได้พิเศษเพื่อให้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง … มันไม่ได้เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่หรอกและเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงฝันแบบนี้เช่นกัน สำหรับผมได้ฝันและทำฝันนั้นให้เป็นจริงมาสักพักแล้ว แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป “ความฝันมันงอก” ผมจึงต้องปฏิบัติภารกิจออกไปตามเก็บฝันอีกครั้ง …เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
จุดเริ่มต้นของความฝัน (ครั้งใหม่)
ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 54 ผมแบ่งเงินจากรายได้ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตักตวงประสบการณ์และความทรงจำดี ๆ ในช่วงที่ยังคงมีแรงกายมากพอ ๆ กับแรงใจ … ยุโรปเป็นจุดหมายที่ผมเลือกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ เพราะทำให้ผมได้สัมผัสกับภูมิประเทศและบรรยากาศที่แตกต่าง ที่สำคัญมีวิวสวย ๆ ให้คนบ้าถ่ายภาพอย่างผมได้เสพมากมาย โดยแต่ละทริปผมจะเช่ารถขับกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ซึ่งแต่ละปีก็เปลี่ยนจุดหมายไปเรื่อย โดยยังคงวนเวียนอยู่ในโซนยุโรปนี่เอง
กลับมาจากทริปแต่ละครั้ง นอกจากจะเขียนรีวิวใน pantip, blog และลงภาพบน facebook page ของตัวเองแล้ว ผมก็มักนำภาพถ่ายมาเปิดผ่าน TV ให้พ่อกับแม่ได้ดู ซึ่งคิดว่าท่านคงมีความสุขไม่น้อยที่ได้เห็นบรรยากาศแปลกใหม่ต่างบ้านต่างเมืองที่เราไปสัมผัสมา .. จนกระทั่งหลังทริปล่าสุดเมื่อปี 57 ที่ผ่านมา ผมเริ่มรู้สึกว่าจะดีกว่าไหม หากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวด้วยกัน เหมือนที่เราเคยไปขับรถต่างจังหวัดด้วยกันสมัยผมเด็ก ๆ แต่คราวนี้ผมเป็นคนพาพ่อกับแม่เที่ยวบ้าง เพื่อให้ท่านได้สัมผัสกับบรรยากาศจริง ได้เห็นวิวสวย ๆ ด้วยตาตัวเองแบบที่เราเห็นบ้าง ผมเปรย เรื่องนี้กับน้องชายและก็เห็นตรงกันว่าจะพาพ่อกับแม่และครอบครัวของน้องซึ่งมีหลานสาววัย 5 ขวบกับน้าไปขับรถเที่ยวยุโรปด้วยกัน โดยช่วยกันออกค่าใช้จ่าย … ตั้งแต่วันนั้น ภารกิจในการออมเงินของผมสำหรับทริปเก็บฝันก็เริ่มขึ้น ผมแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากรายได้พิเศษนอกเหนือจากเงินเดือนมาเข้าบัญชีไว้ ที่เหลือก็นำไปลงทุนตามปกติ และโชคดีที่ช่วงปลายปี 2014 ผมมีรายได้พิเศษเข้ามาพอสมควร ทำให้ก้าวแรกของความฝันเริ่มต้นด้วยดี ทีนี้ก็ได้เวลาเลือกจุดหมายกันซะที
จุดหมายในฝัน
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว 12 วันเต็มในทริปนี้ ผมเลือกให้พ่อกับแม่สัมผัสกับความสวยงามของออสเตรียเป็นหลัก และนั่งรถชมความสวยงามของเทือกเขา Dolomites ทางตอนบนของอิตาลี นอกจากนี้ก็มีโฉบเข้าไปในสโลเวเนียกับเยอรมนีนิดหน่อย โดยเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวในเมืองเล็ก ๆ ที่ต้องไม่ต้องเดินเท้าไกล ๆ หรือไม่ก็สามารถนั่งชมวิวจากในรถได้เลย … แน่นอนว่ายังคงแวะเมืองหลักสำคัญ ๆ ของออสเตรีย เพียงแต่ให้นำหนักกับแถบนอกเมืองมากกว่า … และนี่เป็น list ของจุดหมายของทริปนี้ครับ
Hallstatt
Hallstatt เป็นเมืองที่ทำให้ผมอยากจะไปเที่ยวออสเตรียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมจึงอยากให้พ่อกับแม่ได้ไปสัมผัสความน่ารักของเมืองริมทะเลสาบท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขาแห่งนี้ การเยือน Hallstatt ครั้งนี้ ดอกไม้ในทุ่งหญ้าเกือบไม่มีแล้วเพราะเลยช่วง Spring และกำลังเข้าสู่ Summer แต่ดอกไม้ที่ประดับประดาตามบ้านสวยเหลือเกิน และจุดชมวิวที่เมืองนี้ก็ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายแม้ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจนัก
และนี่เป็นภาพหมู่ภาพแรกของทริปที่มีครบทุกคน … ส่วนใหญ่หลังจากนี้ผมจะเป็นคนถ่ายเลยไม่ได้อยู่ในภาพ สำหรับภาพนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนถ่ายให้ครับ
Bled
Bled เป็นเพียงเมืองเดียวของประเทศสโลเวเนียที่ผมไปเยือนในทริปนี้ ผมเองก็เพิ่งเคยเที่ยวประเทศนี้เป็นครั้งแรก และยอมรับว่าตกหลุมรักในทันที เพราะนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ดูเหมือนค่าครองชีพจะต่ำกว่าประเทศข้างเคียงอีกด้วย
Dolomites-Alpe di Siusi
สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทย ชื่อของ Dolomites ซึ่งเป็นกลุ่มเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีนั้นอาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูนัก แต่เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ไปเยือนดินแดนแห่งหน้าผาหินปูนแห่งนี้แล้วเป็นต้องหลงรักทุกคน … ผมใช้เวลา 4 วัน 3 คืนในแถบนี้ยังรู้สึกเลยว่าให้เวลากับ Dolomites น้อยเกินไป
Innsbruck-Stubaital-Mittenwald
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับเมืองเก่าริมแม่น้ำ Inn แห่งนี้ดี ครั้งนี้ผมแวะเที่ยวในตัวเมือง Innsbruck เพียงช่วงสั้น ๆ แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมใกล้กับที่พักซึ่งตั้งอยู่ในเมืองกลางหุบเขาชื่อ Neustift im Stubaital ที่ห่างจาก Innsbruck ออกมาราว 25 กม. … ผมรู้จักเมืองนี้โดยบังเอิญ แต่ที่นี่ถือเป็นหนึ่งใน highlight ของทริปเลยทีเดียว .. นอกจากนี้ผมยังขับรถข้ามชายแดนไปชมเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Mittenwald ของเยอรมนีด้วย เห็นแล้วคิดถึงปายจริง ๆ
Konigsee & Ramsau
หากเอ่ยชื่อ Berchtesgaden ประเทศเยอรมนี หลาย ๆ คนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าได้เห็นภาพสถานที่ท่องเที่ยว อันเป็นไอคอนประจำเมืองนี้แล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องร้องอ๋อทันที ผมจึงเลือกพาพ่อกับแม่มาล่องเรือชมโบสถ์หัวหอมริมทะเลสาบ Konigsee แล้วไปทานข้าวเที่ยงกันริมธารน้ำใสที่ Ramasau
Salzburg
อีกหนึ่งเมืองที่ต้องแวะของออสเตรีย เพราะนี่คือสถานที่ถ่ายภาพภาพยนตร์ The Sound of Music ที่โด่งดังสมัยพ่อกับแม่ยังรุ่น ๆ เลยต้องพาไปตามรอยกันหน่อย
Vienna
เราปิดท้ายทริปกันที่เวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย เมืองที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะคลาสสิคหลากหลายแขนง เป็นเมืองที่ผมเป็นห่วงเรื่องการเดินทางของพ่อกับแม่มากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า ผมนี่เองที่หลงในเวียนนา
กล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพ
ทุกครั้งที่เขียนรีวิวมักมีเพื่อน ๆ ถามเรื่องอุปกรณ์ถ่ายภาพอยู่เสมอ รอบนี้ขอบอกไว้ก่อนเลยดีกว่า อิอิ …ทริปนี้ขนกล้องพร้อมเลนส์ไปอีก 3 ตัว และนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งหมดเป็นของ Nikon (เข้าสู่โหมดสาวก Nik เต็มตัว) โดย body เป็น Nikon D750 กับ Lens 20 f1.8, 24-70 f2.8 และ 70-200 f4 ตามลำดับ … ก็ถือว่าครอบคลุมความต้องการครบถ้วนและเมื่อรวมกับขาตั้งกล้องแล้วน้ำหนักไม่มากจนเกินไปสำหรับชายฉกรรจ์ตอนปลายอย่างผม 555
ก่อนจะไปเที่ยวกัน เรามาดูรายละเอียดของทริปกันก่อนนะครับ
โปรแกรมเก็บฝัน
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากทราบโปรแกรมการเดินทางก็ตามนี้เลยครับ ของจริงต่างไปเล็กน้อยเนื่องด้วยสภาพดินฟ้าอากาศ
- Fri 19 Jun BKK (03:30) – VIE (09:40) – รับรถที่สนามบินแล้วขับไป Hallstatt พักที่ Hallstatt
- Sat 20 Jun ช่วงเช้าเดินเที่ยว Hallstatt เที่ยงออกเดินทางไป Bled ประเทศ Slovenia
- Sun 21 Jun เที่ยวทะเลสาบและปราสาท Bled ช่วงบ่ายออกเดินทางไป Cortina d’Ampezzo ในเขต South Tyrol ของอิตาลี แวะชม Lake Misurina พัก Cortina
- Mon 22 Jun เดินทางจาก Cortina -ไป Selva di Val Gardena ผ่าน pass ต่าง ๆ อาทิ Pass Pordoi
- Tue 23 Jun ขึ้นขม Aple Di Siusi กลับมาพัก Selva di Val Gardena
- Wed 24 Jun เดินทางจาก Selva di Val Gardena ไป Innsbruck พักที่ Stubai
- Thu 25 Jun ช่วงเช้าเที่ยวและทำกิจกรรมในเมือง Stubai ช่วงบ่ายขับรถเข้าเยอรมันไปเที่ยวเมือง Mittenwald ในเยอรมนี
- Fri 26 Jun ออกเดินทางไปพัก Zell am see โดยแวะ shopping ที่ Swarovski world และขึ้นชม Grossglockner
- Sat 27 Jun เที่ยว Konigsee และ Ramasu ที่เมือง Berchtesgaden ของเยอรมนี แล้วไปพักที่เมือง Sazlburg
- Sun 28 Jun เที่ยว Salzburg
- Mon 29 Jun Salzburg -> Vienna คืนรถที่สนามบิน Vienna เที่ยวชมเวียนนาช่วงเย็น
- Tue 30 Jun Vienna day trip (พระราชวังเชิญบรุนน์ – VIE – BKK
ก่อร่างสร้างฝัน
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าผมไปยุโรปติดต่อกันมา 4 ปีแล้ว แต่ทริปนี้ไม่ง่ายเหมือนปีก่อน ๆ น่ะสิครับ เพราะที่ผ่านมาเดินทางกับกลุ่มเพื่อน ๆ แต่รอบนี้มีเด็ก 5 ขวบกับหนุ่มน้อยวัย 72 ปีที่เดินเหินไม่คล่องไปด้วย แผนการเดินทางจึงต้องทำอย่างรัดกุมกว่าเดิมมากทีเดียว … ไปดูกันเลยว่าเตรียมตัวยังไงบ้าง
เริ่มจากเที่ยวบิน เลือกจองแบบ direct flight จากกรุงเทพ ฯ ไปลงกรุงเวียนนาของออสเตรียด้วยสายการบิน EVA air (รายละเอียดอยู่ช่วงถัดไป) … และเนื่องจากพ่อของผมเดินไม่คล่องเพราะเหนื่อยง่ายและเดินขึ้นลงบันไดไม่สะดวกนัก ผมจึงตัดสินใจว่าจะนำ wheel chair ไปให้คุณพ่อใช้ระหว่างการท่องเที่ยว เริ่มจากพยายามหาซื้อรุ่นที่น้ำหนักไม่มากเกินไป ได้เป็นของยี่ห้อ Soma แบบพับได้น้ำหนัก 10 กก. ต้น ๆ … ใช้เวลาพอสมควรในการศึกษาเรื่องการนำ Wheel chair ขึ้นเครื่อง ซึ่งของผมยุ่งยากนิดนึงเพราะมาจากภูเก็ต จึงต้องมีการ load และ off load ระหว่างเปลี่ยนเครื่องที่สุวรรณภูมิ ทั้งนี้เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตอน check in ได้เลยครับว่าประสงค์จะใช้ wheel chair ของเราเอง หลังจากมาส่งที่ประตูขึ้นเครื่องแล้วเขาจะนำไปเก็บใต้ท้องเครื่องจากนั้นจะนำมารอรับที่ประตูเครื่องอีกครั้งหลังจากเครื่องลงแล้วทั้งที่สุวรรณภูมิและเวียนนา ส่วนเราจะเป็นคนเข็น Wheel chair หรือให้เจ้าหน้าที่ของสายการบินเข็นให้อันนี้ก็แล้วแต่สะดวกครับ
หมายเหตุ
ต้องนำ Wheel Chair มาติด tag ที่ counter check in ด้วยนะครับ ทั้งนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าผู้โดยสารที่นั่ง Wheel chair จะได้รับการดูแลเอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ตลอดการเดินทาง
สายการบิน
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผมที่ได้ใช้บริการสายการบิน EVA air สัญชาติใต้หวัน … รอบที่แล้วไปลง Amsterdam เมื่อปี 56 … ในครั้งนั้นด้วยความมึนที่ต้องจองตั๋วให้เพื่อนร่วมทริปหลายคน ดันทะลึ่งไปกรอกชื่อกับนามสกุลสลับช่องกัน โทรไปขอเปลี่ยนกับ call center พยายามทำน้ำเสียงอ้อนวอนสุดฤทธิ์ แต่ไม่เป็นผล ต้องจ่ายค่าเปลี่ยนชื่อคนละเท่าไหร่ไม่รู้ลืมไปแล้ว (ไม่อยากจำ แต่หลักพันต่อคน) … มาปีนี้นอยด์มาก ก่อนกดปุ่มตกลงก็ดูแล้วดูอีกว่าชื่อและนามสกุลตรงกับ passport … แต่ทว่า เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง นามสกุลของคุณพ่อ (เออหรือพูดอีกอย่างก็นามสกุลผมนั่นแหละ) ที่ปรากฏใน passport เล่มใหม่สะกดไม่เหมือนเล่มเก่าตรงคำว่าแก้ว เล่มเก่าสะกด Kaew เล่มใหม่สะกด Keaw ส่วนของผมสะกด Kaeo หุหุ (ตอนจองตั๋วยังไม่ได้ต่ออายุ passport จึงใช้ข้อมูลจากเล่มเก่า) เอาแล้วไง ผมก็ทำเหมือนเดิมครับ โทรเข้า call center ทำน้ำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุดในชีวิตเพื่อขอแก้ไข แต่คำตอบเหมือนเดิม “ไม่ได้ค่ะ” … รอบนี้จำแม่นเลยครับ เสียไปพันนึง 555 อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นความผิดสายการบินหรอกนะครับ แต่ถ้าผมต้องเลือกบินรอบต่อไปอาจแขยง ๆ EVA หน่อยก็เท่านั้นเอง
สำหรับเรื่องเวลาการเดินทางนั้นออกจากกรุงเทพฯ ตี 3 ครึ่ง ซึ่งทรมานร่างกายไปหน่อย แต่ขากลับราวทุ่มครึ่งถือว่า ok ครับ เพราะยังได้เที่ยวเวียนนาอีกค่อนวันเลยทีเดียว … อีกเหตุผลที่จองก็เพราะเป็น flight ตรง ทำให้หลานและผู้สูงอายุไม่เหนื่อยเกินไปครับ
สำหรับการบริการบนเครื่องผมว่า ok นะครับ แม้ที่นั่งจะแคบไปสักนิด ทั้งนี้ มีน้อง ๆ พนักงานคนไทยให้บริการใน flight นั้น 2-3 คน ทำให้การสื่อสารกับผู้โดยสารที่ไม่ช่ำชองภาษาอังกฤษสะดวกมากขึ้น
รถเช่า
การเช่ารถขับในยุโรปจะเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับผมทุกครั้ง เพราะแต่ละทริปจะมีผู้ร่วมทริปราว 6-8 คนซึ่งต้องใช้รถ minivan 7-9 ที่นั่งและต้องเป็นแบบเกียร์ออโต้ด้วยเพื่อลดปัญหาความไม่คุ้นชินของการขับรถด้วยพวงมาลัยฝั่งซ้าย … ทั้งนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนที่โน่นจึงไม่นิยมใช้รถเกียร์ออโต้สักเท่าไหร่ ยิ่งในกลุ่มรถ 7-9 ที่นั่งยิ่งมีตัวเลือกน้อยและราคาสูง … ปีนี้เป็นอีกปีที่ผมเปรียบเทียบราคาผ่านเวปนายหน้ารวมถึงเวปเจ้าของบริษัทรถเองอยู่พักใหญ่ ในที่สุดลองติดต่อไปทาง facebook ของ Buchbinder (https://www.facebook.com/buchbinder.autovermietung) ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นของที่โน่น ได้ราคาพอ ๆ กับในเวปอื่น ๆ แต่ว่ารวมประกันแบบคุ้มครองทั้งหมด (Zero exceed แบบรวมความเสียหายของยางและกระจก) ซึ่งผมเห็นว่า ok หากหารจำนวนคน 7+1 ใน group ของผม และไม่ต้องจิตตกกับการตุกติกเรื่องประกันซึ่งเป็นเรื่องขึ้นชื่อสำหรับการเช่ารถขับในยุโรป (ผมเองก็เคยเจอปัญหามาแล้วเมื่อปี 55)
สำหรับรุ่นที่เช่าระบุเป็น Mercedes Vito 9 ที่นั่งหรือเทียบเคียง ซึ่งผมก็ ok เพราะเคยขับแล้วค่อนข้างชอบในสมรรถนะและพื้นที่ใช้สอย แต่ในวันรับรถจริงได้เป็น Volkswagen Caravelle 9 ที่นั่ง ซึ่งผมประทับใจมากเช่นกันเพราะมีพื้นที่ท้ายรถมากกว่า Vito ซะอีก ทำให้ความกังวลเรื่องที่เก็บสัมภาระรวมถึง Wheel chair หมดไป
GPS
การขับรถเที่ยวในยุโรปนั้น GPS เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะช่วยลดอัตราการหลงได้เยอะเลย (ก็ยังหลงนั่นแหละ แต่น้อยลง อิอิ) … ทริปนี้ผมซื้อ option GPS เสริมจากบริษัทรถเช่าวันละ 5 Euro แค่นั้นไม่พอยังยืม GPS garmin ของเพื่อนแล้วโหลด map ประเทศออสเตรียที่ครอบคลุมไปถึง Slovenia, Italy, Germany ในส่วนที่ผมเดินทางไปด้วย (เอาไว้สำรอง) นอกจากนี้ก็ยังมีแผน 3 คือ Google map บนมือถือที่ download offline map ของแหล่งท่องเที่ยวไว้แล้ว
ฟังดูอาจเหมือนโรคจิตหน่อย ๆ ที่เตรียมการแบบนี้ แต่ผมเลือกใช้ GPS จากบริษัทรถเช่าเพราะส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวก เช่นบอกตำแหน่งกล้องจับความเร็ว เป็นต้น (อันนี้ช่วยได้จริงเพราะบางทีเหยียบเพลิน และ GPS ของเพื่อนที่ยืมไปเป็นรุ่น basic ไม่มีฟังก์ชันนี้) แต่ที่ต้องเตรียมของตัวเองไปด้วยเพราะเคยมีประสบการณ์ว่า GPS ของบริษัทรถเช่าไม่ได้ update มาหลายปีทำให้หาที่พักไม่เจอทำให้เสียเวลามาก ๆ
ที่อยากบอกเพื่อน ๆ คือผมคิดถูกครับ ผมได้ใช้ครบทุกอย่างที่เตรียมไปจริง ๆ ดังนั้นหากเพื่อน ๆ จะเช่ารถขับก็ต้องแน่ใจว่า GPS ที่ใช้งานนั้นไว้ใจได้นะครับ … ส่วนสาเหตุที่ผมต้องใช้ทั้ง 3 อย่าง ติดตามอ่านได้ในรีวิวครับ
Internet
เป็นอีกหนึ่งโจทย์ยากของการขับรถเที่ยวหลายๆ ประเทศ เพราะหากใช้บริการ roaming จากเมืองไทยก็ต้องคอยปรับเปลี่ยน network วุ่นวายพอสมควรตอนข้ามประเทศ และไม่รู้ว่าช่วงอยู่ชายแดนมือถือจะเกิดไปจับสัญญาผิดตัวทำให้เสียค่าใช้จ่ายเยอะหรือไม่ (ถ้าให้ดีคงต้องตั้ง Network เป็น manual) ส่วนบริการ pocket wifi ก็ดูเหมือนจะมีให้เลือกน้อยและอ่านจากรีวิวแล้วไม่ค่อยเสถียรนัก … ผมจึงตัดสินใจว่า เอาวะ ไปซื้อที่โน่นก็ได้เพราะเช็คข้อมูลและราคาแล้วถูกกว่า roaming มาก ๆ โดยอาจจะเลือกซื้อเฉพาะของ Austria ที่เหลือในประเทศอื่น ๆ ก็ค่อยใช้ wifi ที่โรงแรมหรือร้านอาหาร
วันที่ไปถึงสนามบินมีบูธค่ายมือถือมาจัดแคมเปญแนะนำบริการพอดี แต่เป็น package แบบ 3 GB และราคาสูงกว่าที่ผมหาข้อมูลไว้ ผมจึงตัดสินใจไปหาซื้อเอาตาม super market ระหว่างทาง แต่แล้วมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก เพราะร้านรวงที่โน่นเขาไม่ค่อยมี sim พร้อม package internet ขาย มีแต่แบบเติม credit สำหรับใช้ service เฉพาะอย่างเช่น facebook, amazon หรือ itune ผมผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยและแวะร้านต่าง ๆ กว่า 10 ร้าน ที่ใกล้เคียงที่สุดก็เจอร้านที่ขาย package แบบที่ต้องการ แต่ sim card ไม่มีแบบ nano sim สำหรับใช้กับ iphone หรือ HTC one M8 ของผม … โอ้วพระเจ้า ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าประเทศนี้เขาไม่ใช้ iphone กันหรือไร หรือผมเข้าใจอะไรผิด … สรุปแล้วผมได้ข้อสรุปว่า หากหวังจะซื้อ sim ที่โน่นต้องซื้อที่เมืองใหญ่เท่านั้น เช่น Vienna, Innsbruck, Salzburg เป็นต้น ถ้าเป็นพวกหมู่บ้านหรือเมืองทางผ่านเล็ก ๆ เลิกคิดเลย
สรุปแล้วทริปนี้ผมใช้ internet free ของร้านอาหารและที่พักเป็นหลัก ไอ้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เตรียมไว้บน dropbox หรือ save เป็น favorite ในมือถือสำหรับดูระหว่างทางนั้นแทบจะไม่ได้ใช้เลย L
ที่พัก
ที่พักสำหรับทริปนี้จองผ่าน booking.com ส่วนหนึ่งและ Airbnb อีกส่วนหนึ่ง ยกเว้นที่ Hallstatt จองตรงกับเจ้าของบ้านเพราะไปเป็นครั้งที่ 3 แล้ว … ผมพยายามหาที่พักซึ่งมีครัว เพื่อให้สามารถทำอาหารทานเองได้ และพยายามควบคุมราคาโดยเฉลี่ยไม่เกิน 2,000 บาทต่อคนต่อคืนเหมือนทุก ๆ ปี แต่ปรากฏว่าปีนี้สามารถหาที่พักดี ๆ ได้ในราคาเฉลี่ยแค่คนละ 1100 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเอง … ผมแทบไม่ได้เก็บภาพของที่พักเลยเพราะเหนื่อยจากการขับรถและต้องวางแผนการเดินทาง แต่จะใส่ข้อมูลคร่าว ๆ ไว้ในรีวิวของแต่สถานที่ท่องเที่ยวภายหลังนะครับ
อาหารการกิน
ก็อย่างที่ทราบกันดีนะครับ ว่าอาหารตามร้านที่ยุโรปนั้นราคาค่อนข้างสูง มื้อนึงก็ราว 10 Euro ต่อคนสำหรับอาหารธรรมดา จะให้พ่อกับแม่ทานแต่เบอร์เกอร์ 3-4 Euro ทุกวันก็คงไม่ไหว ดังนั้นทริปนี้ก็เหมือนทริปอื่น ๆ ของผมที่จะประหยัดค่าใช้จ่าย (จำนวนมหาศาล) ด้วยการทำอาหารทานเองเป็นบางมื้อ (ผมตั้งเป้าไว้ประมาณ 1 ใน 3 ของทริป) โดยนำหม้อหุงข้าวใบเล็กไปจากเมืองไทย พร้อมอาหารแห้ง, อาหารกระป๋องและอาหารสำเร็จรูปที่เป็นซอง และขนข้าวสารไปอีก 5 กก. (มาทราบภายหลังว่าข้าวสารที่โน่นไม่ได้หายากอย่างที่คิด มีขายทั่วไปตาม supermarket ถ้าราคาไม่แพงจะเป็นของเวียดนาม ซึ่งราคาไม่ต่างกับบ้านเรา แต่ถ้าอยากได้ข้าวหอมมะลิไทยก็แพงหน่อย) ทั้งนี้ต้องเลือกที่พักประเภทที่เป็น apartment ให้มากที่สุดเพราะจะมีครัวให้ด้วย (ห้องแบ่งเช่าแบบมีที่นั่งเล่นและครัวที่ยุโรปเขาก็มักเรียกว่า apartment นะครับ) ทั้งนี้จะทำให้ช่วยประหยัดค่าอาหารแต่ละมื้อลงไปได้เยอะครับ เพราะทานข้างนอกคนละ 350 บาท/มื้อ ทำกินเองไม่เกิน 50 บาท ไปกัน 8 คนก็ประหยัดไปมื้อละ 2400 บาทเชียวนะ ลองคิดดูว่าทั้งทริปประหยัดได้เท่าไหร่
งบประมาณโดยรวม
ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยทั้งหมดสำหรับ 8 คน (เป็นเด็ก 1 คน) อยู่ที่คนละราว ๆ 65,xxx บาท สำหรับ 12 วันเต็ม (ถ้านับแบบบริษัททัวร์ซึ่งรวมวันเดินทางด้วยก็ 14 วัน 555) อันนี้รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับภูเก็ต-กรุงเทพฯ ของการบินไทยด้วยนะครับ ส่วนจะกินอยู่กันอย่างลำบากหรือสะดวกสบายขนาดไหนติดตามได้ในรีวิวเลย สำหรับผมก็ถือว่าค่าใช้จ่ายจริงต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้พอสมควรครับ (จ่ายค่าอาหารน้อยกว่าที่ตั้งไว้) … เห็น budget แล้วเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีความหวังขึ้นมานะครับว่าการไปเที่ยวยุโรปนั้น หากวางแผนดี ๆ ก็สามารถไปได้โดยไม่ต้องใช้เงินหลักแสนสำหรับการท่องเที่ยว 10 วัน
โดยสรุปค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนเป็นดังนี้ครับ (เฉลี่ยต่อคนสำหรับการเดินทาง 8 คน ที่อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 37 บาทต่อยูโร)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 31,200
- ค่าวีซ่า 3,750
- ประกันเดินทาง 540
- เช่ารถ 7,100
- ที่พัก 10,500
- ค่าอาหาร 5,000
- ค่าน้ำมัน 1,800
- ซื้อของใช้จิปาถะ 1,000
- ค่าทางด่วนและที่จอดรถ 200
- ค่าทัวร์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ 4,000
แล้วเริ่มออกเดินทางกันได้ในตอนต่อไปนะครับ
รีวิวทั้งหมดในทริปนี้
#3 เมื่อฝันมันงอก จึงต้องออกไปเก็บฝัน – ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอ (ทั้ง 2 คน) ตอนจบ
เช้าวันนี้เราออกจากเขต Dolomites เพื่อข้ามแดนกลับไปยัง Austria อีกครั้ง แต่มีโปรแกรมแวะซื้อของกันที่ Outlet ตรงชายแดนระหว่างสองประเทศที่ชื่อว่า Outlet Center Brenner ซึ่งเป็น Outlet ที่ไม่ใหญ่นัก เดินแบบเล่น ๆ ไม่แวะร้านไหนนานมากน่าจะใช้เวลาราว 2-3 ชม.ก็เพียงพอแล้ว
#2 เมื่อฝันมันงอก จึงต้องออกไปเก็บฝัน – ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอ (ทั้ง 2 คน) ตอน “ออกเดินทาง”
การเดินทางราว 12 ชม. โดย EVA air สู่เวียนนาเป็นไปด้วยความราบรื่น เราถึงกันราว 9:40 ในช่วงเช้าของวันที่อากาศค่อนข้างเย็น (คิดในใจ กรรมซะแระบอกลูกทัวร์ว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปมากหรอก เพราะกำลังเข้าช่วง summer อากาศกำลังสบาย ^ ^) …
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ภาพสวยมาก เขียนได้ละเอียดมากค่ะ
เดี๋ยวจะไปตามรอยนะคะ
ชื่นชอบมากครับ รบกวนขอลิ้งค์ itinerary สำหรับเดินตามรอยพี่มด นะครับ จักเป็นพระคุณอย่างสูง ขอบคุณครับ
ปล.ผมลางานยาวหนึ่งเดือน ถ้าขอเพิ่มของสวิสด้วยจะเป็นพระคุณมากครับพี่