ออกเดินทางไปเก็บฝัน
การเดินทางราว 12 ชม. โดย EVA air สู่เวียนนาเป็นไปด้วยความราบรื่น เราถึงกันราว 9:40 ในช่วงเช้าของวันที่อากาศค่อนข้างเย็น (คิดในใจ กรรมซะแระบอกลูกทัวร์ว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปมากหรอก เพราะกำลังเข้าช่วง summer อากาศกำลังสบาย ^ ^) …
ออกจากอาคารขาเข้า ก็มาเจอกับบูธขาย sim มือถือพร้อม internet แต่ดูแล้วมีแบบ 3 GB ซึ่งคิดแล้วว่าน้อยไปสำหรับการแชร์กันหลายคนและต้องดูกล้องวงจรปิดด้วย ก็เลยไม่ซื้อ (คิดผิดถนัด)
ที่สนามบินเวียนนาการใช้ Wheel chair ไม่ได้เป็นอุปสรรคเพราะมีลิฟท์ให้ และบางจุดก็เป็นทางลาดควบคู่กับบันได
สำหรับการติดต่อรับรถเช่าที่สนามบินเวียนนาอาจจะต้องเดินไกลสักหน่อย และเคาท์เตอร์ของแต่ละบริษัทก็อยู่หลบมุมเข้าไปในตึก แต่ก็ไม่ได้หายากจนเกินไป … ทั้งนี้ผมติดต่อรับกุญแจรถและ GPS จากบริษัท Buchbinder ตามที่ได้จองไว้แล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะบอกหมายเลข block ของรถที่เราเช่าไว้พร้อมกับบัตรสำหรับออกจากที่จอดรถ
เราช่วยกันขนสัมภาระไปยังที่จอดรถแบบทุลักทุเลพอสมควรเพราะมีกระเป๋าเดินทางขนาดกลางคนละใบ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าใส่สัมภาระส่วนกลางด้วย ส่วนผมอาสาเป็นมือใหม่หัดเข็น Wheel chair ให้พ่อและต้องใจหายใจคว่ำเพราะทำรถเข็นตกร่องจนภทำให้พ่อล้มหน้าคะมำ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ทำให้รู้ว่าต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้
รถที่เราได้สำหรับทริปนี้เป็นแบบ 9 ที่นั่งตามที่จองไว้ แต่เป็น Volkswagen Caravelle ซึ่งมีที่นั่ง 3แถว (3+3+3) และด้านหลังเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ที่เพียงพอสำหรับกระเป๋าของพวกทั้ง 8 คนและ Wheel chair แบบไม่ต้องอัดแน่นนัก … ผมทำการถ่ายภาพสภาพรอบรถอย่างละเอียด แม้ว่าจะทำประกันแบบ full insurance ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง .. จากนั้นใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์เล็กน้อย กำหนดพิกัด GPS เป็นจุดหมายแรกของเราวันนี้ นั่นคือเมือง Hallstatt ที่อยู่ห่างออกไปราว 3 ชม.
รถ Volkswagen Caravelle เป็นรถ Mini Van แต่ก็ขับไม่ยากนัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผมขับในยุโรปเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไม่ชินรถพวงมาลัยซ้ายมากนัก (สงสัยรอบหน้าคงต้องลองเกียร์ manual ดูซักที)
รถสำหรับทริปนี้ของเราครับ
เส้นทางสู่ Hallstatt มีเมฆครึ้มตลอดทาง อุณหภูมิเย็นกว่าที่ผมคิดไว้พอสมควร (ไม่ถึง 20 องศา) ทั้งนี้ตลอดทางผมแวะ super market และร้าน IT ตามเมืองต่าง ๆ ที่ผ่าน เพื่อหาซื้อ Sim internet ตามที่หาข้อมูลไว้ แต่การแวะกว่า 10 ร้านกลับหาซื้อไม่ได้เลย ดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ เจอบริการ sim internet ในสนามบินผมแนะนำให้ซื้อเลยครับ อย่าหวังซื้อระหว่างทาง เว้นเสียแต่ว่าเพื่อน ๆ จะเที่ยวในเมืองใหญ่ ๆ อาทิ Vienna, Innsbruck, Salzburg
นอกจากแวะหาซื้อ sim card แล้วผมก็แวะถ่ายภาพ landscape ริมทางเป็นระยะ น่าเสียดายที่ทุ่งดอกหญ้าสีทองแทบจะไม่หลงเหลือแล้วสำหรับปลายเดือน มิ.ย. แต่มีดอกหญ้าหลากสีขึ้นมาแซม แต่ไม่หนาแน่นสวยงามเหมือนทุ่งดอกหญ้าสีเหลืองที่มักพบเห็นได้ราวเดือนพ.ค.
ผมขับโดยใช้เส้นทางด่วนเพราะทางบริษัทรถมี sticker ทางด่วนให้แล้วจึงช่วยให้ประหยัดเวลาได้อย่างดี (หากไม่มีสติกเกอร์แล้วไปใช้ทางด่วน ถ้าเจอตำรวจจะถูกปรับเยอะมาก) … ก่อนถึง Hallstatt เราจะเริ่มเห็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเยอะขึ้น และช่วงท้ายเป็นช่วงที่ต้องขับรถไต่เขาเพื่อเข้าไปยังเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ (บางเส้นทางอาจใช้อุโมงค์แทน) …
แวะถ่ายภาพสวย ๆ ริมทางระหว่างเดินทางไป Hallstatt เป็นระยะ
เราแวะซื้อของสดสำหรับทานเป็นมื้อเย็นที่หมู่บ้าน Obertraun ก่อนถึง Hallstatt ซึ่งผมก็ถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศน่ารักของบ้านเรือนแถบนี้ … สิ่งที่จะได้เห็นแทนที่ทุ่งดอกหญ้าหากมาในช่วงปลายเดือน มิย. ก็คือดอกกุหลาบครับ เพราะช่วงนี้จะแข่งกันบานเต็มที่สวยงามสดชื่นมาก ๆ
ผมขับรถต่อไปอีกเล็กน้อยก็ถึง Haus Lidy (link) ที่พักประจำของผมเมื่อมาเยือน Hallstatt … ข้อดีของที่นี่คือบ้านอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองและทะเลสาบ สามารถจอดรถที่บ้านแล้วเดินมาเที่ยวได้ อีกทั้งบ้านใกล้เรือนเคียงแถบนั้นตกแต่งสวยงามน่ารักมาก ๆ ผมจึงติดอกติดใจที่นี่และมาพักเป็นครั้งที่ 3 แล้ว … ข้อเสียมีนิดเดียวคือไม่มี amenities ในห้องน้ำให้ และห้องที่พัก 5 คนอาจจะคับแคบไปสักนิด แต่โดยรวมผมยังคงชอบอยู่โดยเฉพาะเมื่อได้คุยกับคุณป้า Lidy ที่จะคอยดูแลเราระหว่างอาหารเช้า ทำให้ได้อรรธรสของความเป็นท้องถิ่นจริง ๆ
บ้านคุณป้า Lidy ที่พักประจำของผม
วิวจากช่องลมในห้องนอนของเราครับ
เย็นวันแรกที่ออสเตรีย ผมต้องล้มเลิกแผนเดินเที่ยวริมทะเลสาบ เพราะฝนตกปรอย ๆ ทำให้อากาศหนาวมาก อาจทำให้ไม่สบายกันได้ มีผมเพียงคนเดียวที่ออกเดินไปถ่ายภาพเล็กน้อยแต่แล้วก็ต้องยอมแพ้กับสายฝนที่โปรยปรายลงมา
เดินเก็บภาพช่วงเย็น ได้ภาพมานิดหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าออกมาดูอากาศที่ระเบียงหลังห้อง โชคดีมากที่ได้เห็นกวางป่าออกมาเดินกลางทุ่งหญ้าข้างบ้าน เสียดายที่หยิบกล้องออกมาบันทึกภาพไว้ไม่ทัน
หลังมื้อเช้าที่บ้านพักอันอบอุ่นแล้ว เราก็ออกเดินไปเที่ยวส่วนที่เป็นตัวเมืองริมทะเลสาบ ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษเพราะได้เห็นพ่อกับแม่และครอบครัวได้สัมผัสกับบรรยากาศอันสดชื่นของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่ผมอยากให้พ่อกับแม่มาเห็นกับตา … นาทีนั้นมันแอบตื้นตันยังไงบอกไม่ถูก
เราเดินเที่ยวเมือง Hallstatt ไปจนถึงจุดชมวิวมหาชน (ช่วงนี้ต้องเข็น Wheel chair ขึ้นเนินใช้พลังมากพอสมควร) และเป็นจุดแรกที่เราได้ถ่ายภาพหมู่ด้วยกันครบทุกคน
เพลิดเพลินกับวิวที่จุดชมวิวมหาชนสักพัก ผมให้คนอื่น ๆ เดินกลับไปทางเดิม ส่วนผมขึ้นเนินไปยังโบสถ์ที่อยู่ด้านบนเพื่อเก็บภาพมุมสูงอีกหน่อย
ฝนเริ่มตกปรอยๆ เมื่อเราเดินกลับมาถึงที่จอดรถพอดี … เราจึงโบกมือลา Hallstatt เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือเมือง Bled ในประเทศ Slovenia
ระหว่างทางผมกำหนดให้ GPS โฉบเข้าไปที่ Wörthersee ซึ่งเป็นทะเลสาบที่อยู่ในเมือง Velden … เมืองนี้หาที่จอดรถฟรีค่อนข้างยาก ทำให้เราได้เก็บภาพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ดูหลานสาวของผมจะสนุกกับการได้เห็นนกเป็ดน้ำมากเป็นพิเศษ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตื่นตาตื่นใจกับน้ำสีเขียวมรกตในทะเลสาบที่ใสจนมองเห็นปลาตัวใหญ่เบื้องล่าง
บรรยากาศที่นี่เป็นเมืองตากอากาศมาก ๆ
เราใช้เวลาที่นี่กันราวครึ่งชั่วโมงก็ออกเดินทางต่อ สู่สโลเวเนีย
เส้นทางสู่สโลเวเนีย
แต่ดูเหมือน GPS ที่ติดมากับรถเช่าจะไม่มีข้อมูล update ของถนนใน Slovenia ทำให้มันนำทางผมเข้ารกเข้าพงไปไกลจนผมคิดว่าต้องผิดทางแน่ ๆ เพราะเข้าป่าลึกไปทุกที (บางครั้ง GPS จะเลือกเส้นทางสายรองหากพบว่าใกล้กว่า ทำให้ผมไม่เอะใจในช่วงแรก) … สุดท้ายผมต้องนำ GPS ที่ติดตัวมาจากเมืองไทยเพื่อให้นำทางแทน และพบว่าจุดหมายอยู่กันคนละฝั่งของภูเขาเลย นับเป็นโชคดีมาก ๆ ที่เตรียมแผนสำรองไว้
ที่พักคืนนี้เป็นแบบ apartment (บ้านแบ่งชั้นบนให้เช่าทั้งชั้น) มี 3 ห้องนอนกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และครัว อยู่ในทำเลชานเมืองห่างจากทะเลสาบ Bled ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวราว 10 กม. ที่สำคัญราคาที่พักถูกมาก ๆ
วิวจากที่พัก
มื้อค่ำวันนั้นเราทำอาหารทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หลายอย่าง และมีไวน์แดงช่วยเพิ่มความอบอุ่นนิดหน่อย … และเนื่องจากช่วงนี้พระอาทิตย์จะตกราว 3 ทุ่มเศษผมจึงขอออกไปถ่ายภาพที่ริมทะเลสาบและจะได้ถือโอกาส survey สถานที่ไปด้วยในตัว … ทั้งนี้ใช้เวลาขับรถราว 15 นาทีก็ถือทะเลสาบในจุดที่ผมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว .. แสงเย็นวันนี้กำลังสวยพอดีจึงถือโอกาสบันทึกภาพไว้หน่อย
บรรยากาศยามเย็นริมทะเลสาบ
เช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าทานกันเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังปราสาท Bled ที่อยู่ริมทะเลสาบ การมาในช่วงเช้าทำให้นักท่องเที่ยวแทบไม่มี เสียดายมากที่ทางเดินไปยังประตูทางเข้าเป็นเนินค่อนข้างชันและพื้นไม่เรียบทำให้ไมสามารถเข็น Wheel chair ขึ้นไปได้ คุณพ่อจึงขอนั่งอยู่บริเวณทางขึ้น โดยมีคุณแม่อาสานั่งเป็นเพื่อนเพราะเกรงว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะพาลไม่สนุกกันทุกคน … ผมรู้สึกเสียดายมากที่พ่อจะไม่ได้เห็นวิวสวย ๆ ด้านบนปราสาท แต่เมื่อคิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักผมจึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน
ปราสาท Bled นั้นไม่ใหญ่โตมากนัก ภายในจัดแสดงประวัติต่างและโบราณวัตถุที่สำคัญ แต่ที่ทำให้ทุกคนต้องมาเยือนคือวิวจากปราสาทที่สวยสะกดใจมาก ๆ เพราะสามารถมองเห็นทะเลสาบที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขา Alpe ได้อย่างเต็มตา โดยมีเกาะเล็ก ๆ ที่มีโบสถ์ด้านบนเป็นภาพประจำของที่นี่
เราใช้เวลาเดินเที่ยวและถ่ายภาพอยู่พอสมควรก็เดินทางไปยังริมทะเลสาบ ในจุดที่ผม survey ไว้ล่วงหน้าแล้ว ได้เห็นคนท้องที่มาทำกิจกรรมฤดูร้อนกันแล้วสนุกดี ส่วนพวกเราก็นั่งจิบกาแฟริมทะเลสาบได้ฟิลมาก ๆ … เสียดายที่การถ่ายภาพจุดนี้ควรทำในช่วงบ่าย ๆ เพราะในช่วงเช้าจะเป็นการถ่ายย้อนแสง ผมก็เลยได้ภาพมาไม่มากนัก
วันนี้เราต้องเดินทางข้ามประเทศอีกครั้ง โดยต้องขับกลับเข้าไปในออสเตรียแล้วขับลัดเลาะชายแดนเพื่อต่อไปยังเขต South Tyrol ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยขาออกจาก Slovenia เราใช้เวลาสั้นกว่าขาเข้ามากเพราะใช้ทางด่วนที่เป็นอุงโมงค์ยาวหลายกม. ไม่ต้องขึ้นเขาวกวนเหมือนตอนขามา
ตลอดเส้นทางจาก Slovenia ผ่าน Austria ไปยัง Italy ผมขับผ่านภูเขาหลายลูก ถ้านับโค้งคงไม่แพ้ขับจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนเป็นแน่ แต่ตลอดทางได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ ของทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวบนยอดเขาที่กำลังเขียวขจีต้อนรับฤดูร้อน …
เมื่อเริ่มเข้าใกล้ชายแดนอิตาลี เราเริ่มมองเห็นยอดเขาหินปูนทรงเรียวสีขาว ๆ เทา ๆ สูงตระหง่าน และนี่คืออีกหนึ่งจุดหมายในฝันสำหรับทริปนี้ … “Dolomites”
“Dolomites” เป็นกลุ่มเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ที่ผมเคยสัมผัสมาแล้วเมื่อปีก่อนหน้า (2557) แต่รอบที่แล้วยังเที่ยวไม่ทั่ว คราวนี้นอกจากได้พาพ่อกับแม่มาสัมผัสดินแดนแห่งนี้แล้ว ผมก็ถือโอกาสมาเก็บตกหลาย ๆ จุดที่พลาดไปเมื่อปีที่แล้ว
ที่พักของคืนนี้เป็นโรงแรมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนไหล่เขาชื่อ Rifugio Ospitale บนเส้นทางระหว่าง Lake Misurina กับเมือง Cortina D’Ampezzo ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังของแถบนี้ .. อันที่จริงผมอยากได้ที่พักในบริเวณ Lake Misurina เลยเพื่อจะได้ถ่ายภาพแสงเช้าและแสงเย็นได้สะดวก แต่ว่าโรงแรมแถบนั้นมักกำหนดการพักขั้นต่ำหลายคืน ลูกค้าที่พักคืนเดียวแบบผมจึงต้องพักที่โรงแรมห่างออกไปราว 13 กม. แทน
ก่อนเข้าที่พัก ผมพาทุกคนไปแวะไปชมวิวกันที่ Lake Misurina ก่อน ซึ่งรอบนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มตัวแล้ว เพราะบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบไม่มีหิมะปกคลุมเหมือนที่มาในเดือนพ.ค.ปีก่อน
จาก Lake Misurina ผมขับรถไปยังที่พักโดยเลือกเส้นทางที่ผ่านเมือง Cortina D’Ampezzo เพื่อเก็บภาพที่จุดชมวิวมหาชน
ขับรถออกจาก Lake Misurina ได้ไม่ไกลยังไม่ถึงจุดชมวิวมหาชนเลย ก็ต้องแวะถ่ายภาพริมทางอีกแล้ว
เส้นทางสวย ๆ ระหว่างทางลงเขา
มุมมหาชนของ Cortina
จาก Cortina ต้องขับรถขึ้นเขาไปอีกเกือบ 10 กม. จึงถึงที่พักของเรา ที่นี่เป็นโรงแรมที่ค่าห้องสูงที่สุดของทริป แต่ต้องยอมรับว่าทั้งบรรยากาศภายในห้องและทำเลที่ตั้งสวยงามมากจริง ๆ …
ที่พักท่ามกลางหุบเขาของพวกเรา
หลังจากเราติดต่อเรื่องห้องพักและนำของขึ้นไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถลงมาที่ Cortina อีกครั้งเพื่อทานอาหารมื้อเย็น
เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์และค่ำแล้ว (แต่ยังไม่มืด) ร้านรวงต่าง ๆ ในเมืองปิดกันหมด ยังโชคดีที่พอหาร้านทานอาหารได้ แต่ก็เป็นร้านในโรงแรมที่ราคาสูงพอสมควร
หลังจากมื้อเย็นผมนำทุกคนมาส่งที่โรงแรม ส่วนผมขับรถกลับไปเก็บแสงสวย ๆ ที่ Lake Misurina อีกครั้ง
มุมเดิมแต่แสงเย็นสวยมาก
อากาศที่ทะเลสาบหนาวเย็นมาก แต่ก็แลกด้วยแสงสุดท้ายของวันที่สวยงามจับใจจริง ๆ
ขับเลยขึ้นไปบนเขาอีกหน่อย มีทะเลสาบเล็ก ๆ อีกแห่งที่พลาดไม่ได้
ผมพยายามทำเวลาให้เร็วที่สุดในการถ่ายภาพ Lake Misurina และ Lake Antorno ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เพราะเกรงว่าที่บ้านจะเป็นห่วง ทำให้ความตั้งใจที่จะเก็บภาพดาวต้องล้มเลิกไปเพราะเวลาราว 3 ทุ่มกว่ายังไม่มืดสนิทเพียงพอที่จะเห็นกลุ่มดาว
เช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าของโรงแรม ที่จัดไว้อย่างเรียบหรูดูดีตามมาตรฐานมิชิลิน (ร้านนี้อยู่ใน list ของมิชิลินด้วย เสียดายที่เสิร์ฟมื้อค่ำตอน 1 ทุ่มครึ่งซึ่งพวกเราเห็นว่าดึกไป คืนก่อนหน้าเราจึงลงไปทานกันในเมืองแทน) … วัตถุดิบของอาหารที่นี่ต้องนับว่าดีมากและมีให้เลือกหลากหลายด้วย
วันนี้เราจะขับรถจากเมือง Cortina ผ่าน pass ซึ่งเป็นเส้นทางคดเคี้ยวบนไหล่เขา ไปพักยังอีกเมืองหนึ่งในแถบ Dolomites เช่นกัน แต่อยู่ใกล้กับ Aple Di Siusi ที่เป็นอีกหนึ่ง Hilight ของทริปนี้ …
เนื่องจากระยะทางวันนี้ไม่ได้ไกลมาก แต่ต้องผ่านเส้นทางสูงชันและคดเคี้ยว ผมขับรถไปก็หยุดถ่ายภาพเป็นระยะ เพื่อให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารได้พัก
วิวของเมือง Cortina จากมุมสูง
ตลอดระยะทางได้ชมวิวภูเขากันจนอิ่มเลย
เราแวะทานอารเที่ยงของวันกันที่ร้านอาหารบน Pass pordoi ซึ่งเป็นอีกจุดที่สวยงามมากและได้ใกล้ชิดกับหน้าหาหินปูน แต่โชคไม่ดีนักที่อากาศไม่ค่อยจะเป็นใจสำหรับการถ่ายภาพสักเท่าไหร่
จาก Pass pordoi เรายังต้องขับรถขึ้นและลงเขาอีกหลายโค้ง ผ่านอีก Pass สวยที่ชื่อ Pass Gardena ก่อนจะถึงหมู่บ้านที่พักชื่อ Calfosch
เส้นทางจาก Pass pordoi สู่เมืองที่พัก
สำหรับที่พักที่นี่ GPS ของบริษัทรถเช่าหาไม่เจอ ผมจึงลองใช้ Google map จากมือถือช่วยซึ่งก็ได้ผล สามารถพาเราไปยังจุดหมายได้
ที่พักคืนนี้ชื่อ Garni Settsass เป็นโรงแรมสไตล์ท้องถิ่น ห้องไม่กว้างนักและไม่มีลิฟท์ทำให้คุณพ่อลำบากพอสมควรในการเดินขึ้นลง (พลาดมากที่ไม่ได้เช็คให้ดีก่อน)
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมลุ้นมาก เพราะได้จองทัวร์นั่งรถม้าขึ้นชมยอด Alpe Di Siusi (เอลป์ ดีซิอุซิ) ที่ผมหมายมั่นปั้นมือมาก ๆ ว่าจะต้องไปถ่ายภาพให้ได้ อันที่จริงการขึ้นสู่ยอด Alpe Di Siusi นั้นนิยมนั่งกระเช้าขึ้นไป แล้วไปทำกิจกรรมต่อด้านบน … ภูมิประเทศของยอด Alpe Di Siusi นั้นจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะมีดอกหญ้าผลิบานสวยงามมาก ทั้งนี้สามารถขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้ได้หลายทาง แต่ที่นิยมกันคือขึ้นจากเมือง Ortisei หรือเมือง Seiser Alm และการท่องเที่ยวด้านบนสามารถเช่าจักรยานที่มีทั้งแบบธรรมดาและแบบไฟฟ้า หรือจะนั่งรถม้าเที่ยวชมก็ได้ …
ผมพยายามหาข้อมูลว่าถ้าต้องขึ้นไปแล้วเราทั้งกลุ่มซึ่งมีเด็กและผู้สูงอายุรวมอยู่ด้วย จะเที่ยวกันอย่างไรดี สุดท้ายมาเจอบริการทัวร์รถม้า (horse carriage ride) ที่จะออกเดินทางจากเมือง Monte pana ขึ้นไปยัง Alpe Di Siusi โดยรวมอาหารมื้อเที่ยงไว้ในบริการด้วย ทั้งนี้จะออกเดินทาง 10 โมงเช้าและกลับมาถึงเมือง Mote Pana ราวบ่าย 3 โมง … ผมเห็นว่าวิธีนี้ทำให้เราทั้งหมดได้เที่ยวไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่นั่งรอเหมือนกรณีไปเช่าจักรยาน ผมจึงจองทัวร์นี้ไปในราคา 500 Euro สำหรับ 7 ผู้ใหญ่ 1 เด็ก ซึ่งนับว่าไม่ถูกแต่จะว่าไปก็พอ ๆ กับ one day trip จากภูเก็ตไปเกาะสิมิลันนั่นแหละ ทั้งนี้ผมขอแถมให้หลานผมได้นั่งม้า (ตัวเล็ก) และเล่นในสวนสนุกของฟาร์มหลังจากทัวร์จบแล้ว
แผนที่วางไว้เหมือนจะลงตัว แต่ทว่าก่อนเดินทาง ทางฟาร์มที่ให้บริการขอให้ผมเลื่อนวันเพราะพยากรณ์อาการบอกว่าฝนจะตกทั้งวัน (ผมก็เห็นจากมือถือแล้วเหมือนกันแต่กำหนดการคงเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ได้จริงก็ต้องยกเลิกไปเลย) … ผมลองดูรายละเอียดของพยากรณ์แบบเป็นรายชั่วโมงบอกว่าอากาศจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไปและฝนจะตกอีกครั้งบ่าย 3 โมงซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดทัวร์พอดี ผมไม่รอช้าแจ้งไปกับทางฟาร์มว่าผมจะไปเพราะดูเหมือนอากาศจะกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าไปถึงแล้วฝนตกก็ขอ cancel ซึ่งทางฟาร์มก็ยินดีตามนั้น
ระหว่างทางขับรถจากเมืองที่พักไปยัง Monte Pana ต้องข้ามเขา 2-3 ลูก ซึ่งวิวสวยงามมาก ๆ และดูเหมือนอากาศจะดีขึ้นเรื่อย ๆ … ก่อนถึง Monte Pana เล็กน้อยเราต้องไต่เขาผ่านเส้นทางเล็ก ๆ ที่มีโค้งหักศอกจึงมาถึงจุดที่เรียกว่า Monte Pana Sport Center และฟาร์มเลี้ยงม้าซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางก็อยู่ตรงหน้า Sport Center นั่นเอง … โชคดีที่เป็นวันธรรมดาและยังไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวเต็มตัว จึงมีลูกค้าคือเรากลุ่มเดียว แต่ผมแน่ใจเลยว่าในวันหยุดหรือเทศกาลท่องเที่ยวที่นี่น่าจะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ดูได้จากมีร้านอาหารขนาดใหญ่และที่พักรวมถึงกระเช้าขึ้นเขาอยู่ในบริเวณนี้
ทางฟาร์มขอเลื่อนเวลาออกไปเป็นเริ่ม 11 โมงเพื่อรอให้อากาศดีเต็มที่ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง
บรรยากาศที่ฟาร์ม
รถม้าของพวกเราวันนี้ใช้ม้าขนาดใหญ่ 2 ตัวขนสีดำขลับดูแข็งแรงมาก เราทั้งกลุ่ม 9 คนนั่งในรถม้าแบบพอดี โดยผมกับหลานสาวจองที่นั่งด้านหน้า
ม้าเริ่มนำเราออกจากฟาร์มแล้วค่อย ๆ เดินผ่านเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขา ผ่านป่าสน และทุ่งหญ้า โดยเจอกับนักท่องเที่ยวที่เดิน trekking และปั่นจักรยานเที่ยวเป็นระยะ
ระหว่างทางแวะให้ม้าได้พักหนึ่งครั้ง และเป็นอีกจุดที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพ
ยิ่งใกล้ยอดด้านบนก็ยิ่งเห็นยอดเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Dolomites ชัดเจนขึ้น ภาพเบื้องหน้าสวยงามเหมือนภาพวาดจริง ๆ และฟ้าก็เป็นใจให้กับเราอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อถึงบริเวณที่เป็นทุ่งหญ้าด้านบน นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังมีฝูงวัวที่กำลังเพลินกับการกินหญ้าให้เราได้ทักทายตลอดทางด้วย
จุดหมายของทัวร์เป็นกระท่อมบนเขาที่ถูกดัดแปลงให้เป็นร้านอาหารวิวสวย รายรอบด้วยทิวทัศน์อลังการของทุ่งหญ้าและเทือกเขา Dolomites แบบ 360 องศา ใกล้ ๆ กันเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่นอกจากวัวแล้วก็ยังมีม้าและแพะด้วย
มื้อเที่ยงวันนี้รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว ซึ่งเราได้ทานอาหารพื้นเมืองที่รสชาติดีทีเดียว งานนี้คุณพ่อ enjoy eating เพราะสั่งเบียร์ท้องถิ่นให้ลองด้วย 🙂
เราใช้เวลาบนยอด Alpe DI Siusi พักใหญ่ก็ได้เวลากลับ ซึ่งขาลงใช้เวลาราว 1 ชม. โดยม้าไม่ต้องพักเหมือนตอนขาขึ้น
พอมาถึง Monte Pana ฝนก็เริ่มส่อเค้าว่าจะตกตามพยากรณ์เป๊ะ แต่ก็ไม่ลืมที่จะให้หลานสาวได้นั่งม้าแคระเล่น ตามด้วยสนุกกับสนามเด็กเล่นของฟาร์มพักหนึ่งก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังที่พัก นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจมาก ๆ สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจทัวร์นี้ก็ดูข้อมูลได้ที่ http://www.maneggio-montepana.com/eng/ ครับ
คนบังคับม้าของเราวันนี้
ฝนตั้งเค้าตอนเราลงมาถึงพอดี
ไม่ลืมกิจกรรมขี่ม้าของหลาน
สำหรับภาค 1 ก็ขอจบเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วคอยติดตามภาค 2 ต่อเร็ว ๆ นี้ … หากชอบรีวิวนี้ก็ช่วยแชร์เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเพื่อน ๆ ท่านอื่นด้วยนะครับ
สุดท้ายฝากช่องทางติดตามผลงานอีกสักครั้งครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
blog ของ “นายมด” : www.9mot.com
facebook page : 9Mot-Photography
Youtube : 9Mot-Photography channel
instagram : @9mot
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
รีวิวทั้งหมดในทริปนี้
#3 เมื่อฝันมันงอก จึงต้องออกไปเก็บฝัน – ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอ (ทั้ง 2 คน) ตอนจบ
เช้าวันนี้เราออกจากเขต Dolomites เพื่อข้ามแดนกลับไปยัง Austria อีกครั้ง แต่มีโปรแกรมแวะซื้อของกันที่ Outlet ตรงชายแดนระหว่างสองประเทศที่ชื่อว่า Outlet Center Brenner ซึ่งเป็น Outlet ที่ไม่ใหญ่นัก เดินแบบเล่น ๆ ไม่แวะร้านไหนนานมากน่าจะใช้เวลาราว 2-3 ชม.ก็เพียงพอแล้ว
#1 เมื่อฝันมันงอก จึงต้องออกไปเก็บฝัน – ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอ (ทั้ง 2 คน) ปฐมบท
เพื่อน ๆ มีใครเหมือนผมบ้างไหมครับ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ฝันว่าจะทำงานและหารายได้พิเศษเพื่อให้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง … มันไม่ได้เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่หรอกและเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงฝันแบบนี้เช่นกัน สำหรับผมได้ฝันและทำฝันนั้นให้เป็นจริงมาสักพักแล้ว แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป “ความฝันมันงอก” ผมจึงต้องปฏิบัติภารกิจออกไปตามเก็บฝันอีกครั้ง …เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
สวยมากๆ และน่าไปจริงๆ