ในบรรดาจังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน “ตรัง” เป็นจังหวัดที่ผมไปมาหลายครั้ง แต่มีเพียงครั้งเดียวที่ได้เที่ยวทะเล แถมไม่จบทริปอีกต่างหาก เพราะเพื่อนในกลุ่มโดนแมงกะพรุนไฟโจมตีจนต้องหามส่งโรงพยาบาล (สงสัยบาปกรรมที่ชอบกินแมงกะพรุนหม้อไฟ อิอิ) … ผมก็เลยยังรู้สึกค้าง ๆ คา ๆ กับทะเลตรังจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นเมื่อได้รับการเชิญชวนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้ร่วมทริปไปสำรวจเมืองตรัง ผมจึงตกปากรับคำใน 0.021 วินาที โดยหารู้ตัวไม่ว่าวันลาพักร้อนประจำปีใกล้หมดเต็มทีแล้ว 555
อีกอย่างในโปรแกรมนั้นจะได้พักบน “เกาะเหลาเหลียง” … ชื่อที่เคยถูกอ้างประกอบภาพใน forward mail ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว unseen ของไทย แต่แท้จริงภาพที่ใช้เป็นน้ำตกแห่งหนึ่งในโครเอเชีย (ลอง search ชื่อ “เกาะเหลาเหลียง” ใน google จะยังพบภาพน้ำตกแห่งหนึ่งที่มีแอ่งน้ำสีเขียวมรกตอยู่จนถึงทุกวันนี้) … งานนี้จะได้เอาภาพแท้ ๆ มาลงให้ google ได้รู้จัก “เกาะเหลาเหลียง” ตัวจริงเสียที ฮึ่ม! …
เพื่อน ๆ ร่วมทริปเกือบทั้งหมดเดินทางจากกรุงเทพ ฯ และนั่งเครื่องลงมา .. ส่วนผมอยู่ภูเก็ตได้รับสิทธิ์พิเศษให้ขับรถไปเจอกับคนอื่น ๆ ที่ตรัง T T (ไม่อยากได้สิทธิ์นี้เลยให้ตายเต๊อะ)…เช้าตรู่วันศุกร์ผมออกเดินทางจากภูเก็ตมุ่งหน้าสู่ตร้งบนเส้นทางราว 300 กม.เศษ ๆ ใช้เวลา 4 ชั่วโมงก็ถึง “ร้านเลตรัง 2” ซึ่งเป็นที่นัดเจอกับเพื่อนกลุ่มที่มาจากกรุงเทพฯ … เมื่อทุกคนพร้อมหน้า ติ่มซำ ซาลาเปา หมูย่างตรัง บะกูดเต๋ หอยจ้อ กับอีกสารพัดเมนูอร่อยของร้านก็ถูกนำมาวางเต็มโต๊ะ … แต่ละคนเมามันกับการลองโน่น ชิมนี่ จนเรียกได้ว่าเต็มพื้นที่กระเพาะกันเลยทีเดียว และติ่มซำแบบนึ่งสดที่นี่ก็อร่อยถูกปากเหลือเกิน นอกจากนี้เมนูที่หลายคนติดใจนั้นเป็นบะกูดเต๋ที่รสชาติกลมกล่อม กับหอยจ้อที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อปูเต็มปากเต็มคำ … มีเมนูที่ผมไม่ค่อยถูกปากนักก็คือหมูย่างที่ติดหวานไปหน่อย และก๋วยเตี๋ยวหลอดที่รสชาติยังไม่โดน (ผมชิมใส้กุ้ง ไม่ทราบใส้อื่น ok ไหม)
ออกจากร้านแล้ว เราเดินทางไปยังอำเภอกันตัง เพื่อชมสถานีรถไฟแห่งสุดท้ายของเส้นทางสายอันดามัน “สถานที่กันตัง”… ที่นี่ได้รับการตกแต่งให้ดูสวยเก๋ เพื่อเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวต้อนรับนักเดินทาง … ใกล้ ๆ กันเป็นห้องสมุดที่สร้างขึ้นจากขบวนรถไฟเก่า เสียดายที่วันนั้นปิดทำการจึงไม่ได้เข้าไปดูภายใน …
ชมสถานีแล้วอย่าลืมแวะไปร้านกาแฟน่ารักประจำสถานีที่ชื่อ “Love Station – สถานีรัก” ด้วยนะครับ สำหรับเมนูที่จะแนะนำไม่ใช่กาแฟแต่เป็นน้ำมะม่วงเบาปั่น รสชาติหอมหวานอมเปรี้ยวดื่มแล้วสดชื่นขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว และสำหรับคนชอบถ่ายภาพ …ร้านกาแฟแห่งนี้ตกแต่งได้อย่างน่ารักมาก ๆ รับรองว่าถูกใจแน่ ๆ
ถัดจากสถานีรถไฟกันตังไปไม่ไกล เราแวะชม “บ้านพระยารัษฎานุประดิษฐ์” อดีตเจ้าเมืองตรัง ผู้มีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างความเจริญให้กับเมืองตรัง รวมถึงอีกหลายจังหวัดทางภาคใต้ของไทย … ภายในจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของท่านและข้าวของเครื่องใช้และห้องต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้กับอนุชนรุ่นหลัง
หลังจากนั้นเราเดินทางไปทานอาหารเที่ยงกันที่ “ร้านลำพู” อีกหนึ่งร้านดังของตรัง …เมนูวันนี้ส่วนใหญ่เป็น seafood สด ๆ enjoy eating กันถ้วนหน้า เพราะนอกจากจะอาหารทะเลจะสดแล้ว รสชาติยังจัดจ้านตามสไตล์อาหารใต้อีกด้วย
เมนูแนะนำนั้นบอกไม่ถูกจริง ๆ เพราะชอบหมดเลยทั้งหลนปู, กุ้งแม่น้ำเผาตัวโต ๆ และแกงส้มปูยอดมะพร้าว ที่ผมเองก็เพิ่งเคยทานเป็นครั้งแรก (ปกติทานแต่ปลาแกงส้ม)
เราปิดท้ายโปรแกรมเยี่ยมชมอำเภอ “กันตัง” กันที่ศูนย์ฝึกอาชีพตำบลวังวน ที่กลุ่มแม่บ้านนำก้านใบจากที่เหลือใช้มาทำเป็นเครื่องจักสาน ระหว่างทำต้องใช้ทั้งปากและเท้าร่วมกัน จนได้รับการเรียกขานแบบเก๋ ๆ ว่า “ปากกัดตีนถีบ”
งานนี้สาว ๆ อดไม่ได้ที่จะ shopping กัน เพราะราคาถูกเหลือเกินเมื่อเทียบกับความพยามที่ต้องใช้ในการทำงานแต่ละชิ้น
ออกจากกันตัง เรากลับเข้าสู่เมือง เพื่อ check in ที่ “โรงแรมเรือรัษฎา” หนึ่งในโรงแรมชั้นนำใจกลางเมืองตรัง … ทั้งนี้ถือโอกาสพักผ่อนและอาบน้ำล้างตัวกันด้วยเพราะอากาศร้อนเหลือเกิน
เก็บบรรยากาศห้องพักมาฝากครับ … ห้องยังดูใหม่ ตกแต่งเรียบร้อยสวยงาม
โปรแกรมเย็นวันนี้ เราจะนั่งรถ “ตุ๊ก ๆ หัวกบ” เที่ยวไปต่างแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองตรังกัน ซึ่งดูแต่ละคนจะตื่นตัวเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตุ๊ก ๆ คันเล็กเหล่านี้น่ารักเหลือเกิน … เมื่อได้เวลานัด ตุ๊ก ๆ หัวกบก็มารับที่โรงแรม ออกเดินทางนำเราเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในตัวเมืองตรัง
เริ่มที่ “สวนสาธารณพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง)” สถานที่พักผ่อนและทำกิจกรรมสันทนาการของชาวเมืองตรัง และเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ที่คนตรังเคารพนับถือและสร้างไว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณของท่าน
จากนั้นเราแวะถ่ายภาพกันที่ “วงเวียนปลาพะยูน” หรือวงเวียน 8 ล้าน (เรียกชื่อออกแนวประชดประชัน งบประมาณก่อสร้าง อิอิ)
เราเดินทางต่อกันด้วยรถตุ๊ก ๆ หัวกบ แสงช่วงเย็นกำลังสวยทีเดียวตอนเรามาถึงจุดหมายถัดมา ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่อายุร่วมร้อยปี (สร้างในปี ค.ศ.1915)
แสงทองของแดดยามเย็นช่วยขับให้อาคารที่ทาสีเหลืองแห่งนี้ดูเด่นเด่นจากฟ้าสีน้ำเงินเข้มด้านหลังสวยงามมาก ๆ
จากนั้นตุ๊กๆ หัวกบนำเราไปยังอาคารเก่าแบบชิโนโปรตุกีส ซึ่งเหลือแบบที่เป็นโครงสร้างดั้งเดิมจริง ๆ ไม่กี่หลังเท่านั้น น่าเสียดายที่อาคารเหล่านี้ไม่ได้รับการทำนุบำรุงและจัดระเบียบพื้นที่ให้เหมาะกับการเป็นแหล่งท่องเที่ยวนัก … แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ได้เห็นภาพดิบ ๆ ของอาคารที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี
สุดท้ายของโปรแกรมนั่งรถตุ๊ก ๆ หัวกบชมเมือง เราถูกนำมาส่งที่ย่านการค้าหน้าสถานีรถไฟตรัง ให้พวกเราได้เดินเล่นกันชิล ๆ … คนที่หิวก็ได้โอกาสหาของอร่อยรองท้องไปด้วยในตัว
ค่ำคืนนี้เราปิดท้ายด้วยมือค่ำกันที่ร้านอาหาร “บ้านสวนสุดาพร” … ร้านอาหารบรรยากาศดีอีกแห่งในเมืองตรัง
จานแรก ๆ เป็นเมนูเบา ๆ พื้นบ้าน อาทิ ผัดผัก, แกงส้ม, แกงพริกรสเข้มข้น (ทานกับสาหร่ายทะเลของโปรด) .. . ทานจนเกือบอิ่มเพราะนึกว่าหมดแล้ว ปรากฏว่าขาหมูจานเบ้อเริ่มถูกยกมาภายหลัง ทำเอาสายแข็งทั้งหลายแทบเอาตัวไม่รอดกันเลยทีเดียว อิอิ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผมทานอาหารเช้าของโรงแรมเรือรัษฎา ซึ่งไลน์บุฟเฟ่ต์มีความหลากหลายพอประมาณ มีของหวานเป็นขนมท้องถิ่นด้วย
จากนั้นเราเดินทางไปขึ้นเรือหางยาวเพื่อมุ่งสู่ “เกาะเหลาเหลียง” อีกหนึ่งเกาะที่ผมหาโอกาสไปสัมผัสมานานแล้ว และเกาะนี้นี่แหละที่เคยมี forward mail อ้างว่าเป็น unseen ของเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน พร้อมทั้งนำภาพน้ำตกแห่งหนึ่งของโครเอเชียมาสวมแทน จนทำให้คนเข้าใจผิดทั้งบ้านทั้งเมือง … คราวนี้จะได้เห็นของจริงซะที อิอิ
บรรยากาศริมฝั่งทะเลตรัง ระหว่างนั่งเรือหางยาว
ใกล้ถึงแล้วครับ เห็นเกาะเหลาเหลียงอยู่ไม่ไกลแล้ว ด้านซ้ายมือคือเกาะเหลาเหลียงพี่ และขวามือคือเกาะเหลาเหลียงน้องซึ่งเป็นที่พักของเรา
เรือหางยาวใช้เวลาวิ่งแบบเรื่อย ๆ บนท้องทะเลที่ราบเรียบราว 1 ชั่วโมงก็ถึงเกาะเหลาเหลียง โดยเรือนำเราขึ้นฝั่งที่เกาะเหลาเหลียงน้อง ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะเหลาเหลียงพี่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันนั้น เป็นเกาะที่มีการให้สัมปทานรังนกจึงไม่มีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว
เรามาถึงเกือบเที่ยงซึ่งน้ำกำลังขึ้นสูงพอดี ทำให้เหลือชายหาดแคบ ๆ แล้วก็เป็นน้ำทะเลใส ๆ สีเขียวมรกตเลย จนอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพไว้สักหน่อยก่อนที่จะลำเลียงของเข้าที่พัก
ที่พักคืนนี้เป็นเต้นท์ริมหาด… แต่อยากจะบอกว่านี่เป็นเต้นท์ที่ดูดีมีสกุลที่สุดตั้งแต่ผมเคยนอนเต้นท์มา … ตอนไปนอนเกาะสุรินทร์ก็รู้สึกว่า ok แล้วนะ แต่พอมาเจอที่นี่ของหมู่เกาะสุรินทร์ชิดซ้ายเลย 555 … เต้นท์แต่ละหลังนอกจากมีส่วนที่กั้นไว้เป็นห้องนอน (มีฟูกและเครื่องนอนเรียบร้อย) ยังมีส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น มีโคมไฟและที่สำคัญมีพัดลมให้ด้วย สุดยอดเลยจริง ๆ ที่สำคัญผมได้หลังทำเลทองอยู่แถวหน้าสุดใกล้ทะเล ดีใจผุด ๆ เลยที่คืนนี้จะได้นอนฟังเสียงคลื่นชัด ๆ อีกครั้ง หลังจากที่ร้างราไปหลายเดือน (หรือพวกเพื่อน ๆ น้อง ๆ เค้ากลัวสึนามิกันหว่า เลยให้เราอยู่แถวหน้าเลย 555่) … อันที่จริงไม่ต้องกลัวครับที่นี่มีเสาสัญญาณเตือนภัยสึนามิอันเบ้อเริ่มเลย (ผมแอบเซ็งเล็ก ๆ ต้องคอยหลบเวลาถ่ายภาพเพราะมันดูเป็นส่วนเกิ้นส่วนเกินจริง ๆ)
เท่าที่ลองสอบถามดู ที่นี่จะคิดค่าบริการ 1,500 บาทต่อคนรวมอาหาร 3 มื้อ ทั้งนี้ไม่รวมค่าเรือไป-กลับเที่ยวละ 500 บาท หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก facebook ของผู้ให้บริการที่ https://www.facebook.com/laoliangbeach
หลังจากแย่งชิง เอ้ยแบ่งสรรที่พักกันเรียบร้อยแล้วว่าใครได้หลังไหน ก็ได้เวลาอาหารเที่ยง ซึ่งจัดให้บริการไม่ไกลจากบริเวณที่พักนั่นเอง … อันที่จริงพื้นที่ใช้สอยบนเกาะแห่งนี้มีน้อยมากครับ ถ้าให้เห็นภาพก็คงราว ๆ 1 สนามฟุตบอลได้กระมัง ดังนั้นที่นี่จึงรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวได้ไม่มากนัก ซึ่งผมมองว่าเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่พลุกพล่านมากจนเกินไป
อาหารเที่ยงวันนี้มีกับข้าวไม่หลากหลายนัก รสชาติปานกลาง เพื่อน ๆ จากกทม. บ่น ๆ ว่ากะเพราะรสชาติติดหวานไปหน่อย ก็ได้ comment ไปกับผู้ที่ดูแลเป็นที่เรียบร้อยจะได้นำไปเป็นข้อมูลเพื่อปรับปรุงต่อไป … นอกจากอาหารเที่ยงแล้วบริเวณเดียวกันจะมีพวกชา-กาแฟพร้อมน้ำร้อนบริการ 24 ชั่วโมงครับ ผมว่าสะดวกดี ส่วนเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยบริการทุกคนน่ารักครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเองทุกคน
อิ่มจากมื้อเที่ยงแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัทธยาศัย โดยมีนัดเพื่อไปดำน้ำดูปะการังอ่อนที่เกาะเหลาเหลียงพี่ในช่วงเย็น ๆ … สำหรับผมก็เดินสำรวจถ่ายภาพไป ซึมซับบรรยากาศไป รู้สึกว่าได้พักผ่อนและใกล้ชิดกับธรรมชาติจริง ๆ … จะว่าไปน้ำทะเลที่นี่จะออกสีโทนเขียว ๆ ไม่ใช่สีฟ้าหรือน้ำเงินเข้มเหมือนแถวสิมิลัน แต่ก็สวยงามถูกใจคนรักทะเลแน่ ๆ ครับ
บริเวณห้องน้ำ ดูเข้ากับธรรมชาติดี และมีจำนวนเพียงพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย
เมื่อได้เวลานัด เราก็นั่งเรือหางยาวไปยังส่วนด้านหลังของเกาะเหลาเหลียงพี่ซึ่งห่างออกไปราว 10 นาที …
เริ่มออกเดินทาง Go pro พร้อม
ฝั่งนี้ไม่มีชายหาด มีเพียงหน้าผาสูงชัน ส่วนบริเวณที่ดำน้ำจุดนี้ คนขับเรือบอกว่าเป็นเพียงไม่กี่จุดที่มีปะการังอ่อนหลากสี … ผมไม่รอช้ารีบนำเจ้า Go pro ลงไปเพื่อจะเก็บภาพ แต่โชคไม่ดีวันนี้น้ำขุ่นมากและเป็นช่วงระดับน้ำสูงด้วย ทำให้มองไม่เห็นปะการังเลยแม้แต่น้อย แถมน้ำทะเลพาลจะพัดพาผมกับเพื่อน ๆ เข้าไปปะทะโขดหินที่เต็มไปด้วยเปลือกหอยคม ๆ ก็เลยต้องยอมแพ้ แล้วส่งน้องคนขับเรือเอากล้องถ่ายภาพใต้น้ำของเพื่อนดำลงไปเก็บภาพให้แทน (ผมได้เห็นภาพในภายหลัง เสียดายมาก ๆ เพราะปะกังรังอ่อนแบบนี้หาดูยากจริง ๆ)
หลังจากขึ้นเรือเรียบร้อย คนขับเรือก็นำเรืออ้อมจากด้านหลังไปยังด้านหน้าของเกาะเหลาเหลียงพี่ เพื่อให้ได้ชมความงามของผาหินด้านหลัง แล้ววนมาถึงส่วนด้านหน้าของเกาะซึ่งมีชายหาด ผมกับเพื่อน ๆ ที่ชอบถ่ายภาพก็รีบบอกให้นำเรือเข้าฝั่งทันทีเพราะชายหาดของเกาะเหลาเหลียงพี่สวยมาก ทรายขาว น้ำใสสุด ๆ ผมไม่รีรอรีบเก็บภาพอย่างเมามัน
อันที่จริงเกาะเหลาเหลียงพี่จะมีสัปทานรังนก ทำให้บนเกาะนี้มีเพียงคนของเจ้าของสัมปทานเท่านั้นที่สามารถพักอาศัยได้ (เพิงที่พักชั่วคราว) ส่วนนักท่องเที่ยวหากจะเข้ามาบนเกาะ ก็สามารถอยู่บริเวณชายหาดได้เท่านั้น และต้องอยู่ในสายตาของคนที่ได้รับสัมปทาน (เพราะราคารังนกมันแพงมากจนมีคนแอบขึ้นมาขโมยบ่อย ๆ นั่นเอง)
ช่วงนี้เป็นช่วงที่หมดสัมปทานและยังไม่มีการประมูลรอบใหม่ ดังนั้นการขึ้นมาบนเกาะจะสะดวกกว่า แต่ผมก็เห็นมีคนออกมาดูพวกเราตลอด คิดว่าคนงานที่ทำงานเก็บรังนกคงยังอาศัยอยู่บนเกาะนี้เพื่อรอฤดูสัมปทานรอบใหม่นั่นเอง
ที่สุดหาดด้านหนึ่งของเกาะเหลาเหลียงพี่ มีโพรงหินขนาดใหญ่ ผมว่ามันสวยงามเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ สามารถสร้างเป็น landmark ให้กับเกาะเหลาเหลียงได้เลย แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในช่วงที่มีสัมปทานจะอนุญาตให้เข้าไปเที่ยวชมได้เหมือนช่วงนี้หรือไม่
ผลัดกันเป็นนายแบบนางแบบที่มุมนี้กันพักใหญ่ เราก็กลับมายังเกาะเหลาเหลียงน้อง .. น้ำเริ่มลงแล้ว คนขับเรือบอกว่าสามารถดำน้ำดูปะการังตรงหน้าหาดได้เลย มีดอกไม้ทะเลกับนีโม่อยู่หลายตัวเลย .. รู้สึกคำว่านีโม่จะกระตุ้นต่อมดำน้ำได้เป็นอย่างดี ทุกคนรีบคว้าชูชีพกับสน็อกเกิ้ลออกไปลอยคอหาตัวเจ้านีโม่กันใหญ่ แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ มีดอกไม้ทะเลกับนีโม่อยู่ 3-4 จุด แต่ตัวไม่ใหญ่นัก
หลังจากดูปะการังแล้ว เราเดินไปสุดหาดด้านหนึ่งของเกาะเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่อยากลองกิจกรรมปีนหน้าผา เนื่องจากผมเคยลองปีนที่ไร่เลย์มาแล้วและวันนี้รู้สึกเพลียจากการเล่นน้ำจึงไม่อยากฝืนร่างกายเพราะจำได้ว่ารอบที่แล้วล้ามาก … วันนี้จึงมีเพื่อนในกลุ่มเพียง 2 คนได้ทดลองกิจกรรมปีนหน้าผา โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล (มีหน้าที่ปีนตามคำแนะนำอย่างเดียวครับ ไม่เหมือนตอนไปไร่เลย์ต้องเรียนรู้โน่นนี่มากกว่า) … สำหรับกิจกรรมนี้ต้องเสียค่าบริการเพิ่มคนละ 200 บาทนะครับ (ผมว่าถูกมากเลย ถ้าไม่กลัวความสูงผมแนะนำให้ลองครับ)
เมื่อทุกคนปีนขึ้นและลงมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็นำเราขึ้นไปยังจุดชมวิวที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ต้องมีการปีนป่าย ไต่เชือกนิดหน่อย ใช้เวลาราว 5 นาทีก็ถึงจุดชมวิว (ยังไม่ทันเหนื่อย แต่อาจเจ็บปวดจากมดแดงที่ร่วงลงมาใส่ อิอิ)
จุดชมวิวตรงนี้ผมว่าเหมาะกับชมพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่าเพราะหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออก แต่ถ้าขึ้นตอนเช้าก็อาจจะลำบากหน่อยถ้ายังมืดอยู่ เพราะเป็นเพียงเส้นทางชั่วคราวเท่านั้น
ลงจากจุดชมวิวแล้ว ก็ได้เวลาเก็บภาพแสงเย็น … บรรยากาศที่นี่ดีจริง ๆ
เป็นอันจบกิจกรรมสำหรับวันนี้ มื้อค่ำให้บริการที่เดิม แต่รายการอาหารเยอะและหลากหลากกว่า รสชาติอาหารมื้อค่ำนี้อร่อยทุกอย่างเลย แถมได้ปูสด ๆ ที่เตรียมกันมาเองแถมด้วย ทำให้มื้อนี้ได้บรรยากาศของการพักผ่อนริมทะเลจริง ๆ
ค่ำคืนสบาย ๆ ริมหาดผ่านไปยังรวดเร็ว ผมรู้สึกตัวเมื่อเสียงปลุกของมือถือทำงาน บอกให้ผมออกไปเก็บภาพแสงเช้า
เช้าตรู่ของวัน 3 ค่ำ เป็นช่วงน้ำลง ผมเดินไปยังสุดหาดด้านตะวันออกซึ่งผมมาสำรวจและเล็งมุมถ่ายภาพไว้ตั้งแต่เย็นวันวานแล้ว โดยมีเพื่อน ๆ 2-3 คนเดินมาสมทบ … วันนี้อากาศดี แสงยามเช้ากับ shape ของผาหินทำให้เกิดภาพที่สวยงามมากทีเดียว
วันนี้เราต้องโบกมือลาเกาะเหลาเหลียง เพื่อมุ่งหน้าสู่อีกจุดหมาย “เกาะสุกร” ซึ่งเรามีโปรแกรมชมวิถีชาวบ้านกันที่นั่น แต่ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเกาะสุกร พวกเราขอแวะไปเก็บภาพแสงเช้าที่เกาะเหลาเหลียงพี่อีกครั้ง และภาพที่เราได้เห็นไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ
ระหว่างทางไปยังเกาะสุกรนั้นโชคดีมาก เราเจอกับปลาโลมาฝูงนึงที่มาโชว์ตัวให้เห็นในระยะไม่ไกลนัก เสียดายที่เจ้าปลาโลมาเหล่านี้ไม่ยอมกระโดดสูง ๆ ให้เห็นตัวชัด ๆ และค่อนข้างขี้อายคอยว่ายน้ำหนีเมื่อเรานำเรือไปหาใกล้ ๆ ก็เลยได้ภาพมาไม่มากนัก แต่นี่ก็ทำให้สุขใจเพียงพอแล้ว
เรือใช้เวลาอีกพักหนึ่งก็นำเรามาถึงเกาะสุกรซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของจังหวัดตรังมาก ๆ … ชายหาดและน้ำทะเลของเกาะแห่งนี้ไม่ขาวสวยเหมือนเกาะด้านนอก แต่ผมต้องแปลกใจที่เห็นมีรีสอร์ทตรงหน้าหาดอย่างน้อย 2 แห่ง แถมมีลูกค้าชาวต่างชาติเยอะด้วย ผมมั่นใจว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้คงมาแสวงหาความสงบและต้องการมาพักผ่อนจริง ๆ เพราะเกาะแห่งนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหลัก มีเพียงหมู่บ้านของคนท้องที่และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ล้วนแล้วแต่เป็นเชิงอนุรักษณ์และส่งเสริมการสัมผัสวิถีชุมชนเป็นหลัก
หลังจากดื่มน้ำ welcome drink ของ “ญาตารีสอร์ท” ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้แล้ว ผมก็ออกออกเดินเก็บภาพบรรยากาศริมหาด … แม้ทะเลจะไม่ใสปิ้ง แต่หาดแห่งนี้หันเข้าหาทิศตะวันตกทำให้บรรยากาศยามเย็นสวยงามไปอีกแบบ … บอกได้เลยว่าผมสนุกกับการถ่ายภาพปูเปี้ยวริมหาดแห่งนี้ไม่แพ้ถ่ายภาพน้ำใส ๆ ของหาดอื่น ๆ เลยทีเดียว
และนี่เป็นห้องพักของผมครับ อยู่ติดสระว่ายน้ำ หันหน้าเข้าหาทะเล … ห้องพักเป็นแบบบังกะโล พื้นที่ห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ มีระเบียงนั่งเล่น ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องถือว่าครบดีครับ ไม่ว่าจะเป็นทีวี, ตู้เย็น, เครื่องทำน้ำอุ่น รวมถึง amenities ในห้องน้ำ
มื้อเที่ยงริมทะเลแบบง่าย ๆ แต่อร่อยถูกปาก
ช่วงบ่ายของวัน เป็นโปรแกรมนั่งรถ 3 ล้อชมเกาะ ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจบนเกาะสุกร
โปรแกรมทัวร์เกาะเริ่มจากด้านหลังรีสอร์ท เรานั่งบนรถสามล้อเลาะริมทะเลไปเรื่อย ๆ ผ่านสวนมะพร้าว .. นาข้าว (อยู่เกือบจะติดริมทะเลเลย) จากนั้นแวะไปชมสวนแตงโมที่จะปลูกสลับกับข้าว (เสียดายช่วงที่ไปผลยังทานไม่ได้) ซึ่งแตงโมของที่นี่จะรสหวานและเป็นสินค้าขึ้นชื่อของเกาะสุกรเลยทีเดียว
เราได้รับการบอกเล่าว่า เกาะสุกรแห่งนี้เป็นชุมชนชาวมุสลิมทั้งเกาะ แต่ที่ชื่อเกาะสุกรเพราะมีตำนานว่าเศรษฐีที่นับถือศาสนาอิสลาม นำเรือสำเภามาริมฝั่ง ลูกชายเกิดไปรักใคร่ลูกสาวของชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธและรับหญิงสาวไปอยู่กินด้วยกัน ภายหลังเรือสำเภากลับมาอีกครั้ง พ่อแม่ของหญิงสาวได้เตรียมหมูปิ้งมาให้ลูกสาว แต่ลูกสาวกลับทำเป็นจำไม่ได้ พ่อแม่หญิงสาวเสียใจจึงโยนหมูปิ้งทิ้งลงทะเลและไม้หมูปิ้งลอยไปจนเกิดเกาะใหญ่ขึ้นมา
เรานั่งรถชมวิวริมทางไปเรื่อย ๆ ผ่านสวนยางที่ตอนนี้ใบกำลังเปลี่ยนสีก่อนที่จะผลัดใบในไม่ช้า …
จากนั้นแวะชมบ่อน้ำจืดริมทะเล แต่ผมไม่ได้ลองชิมครับว่าจริงไหม 555 … ถ้าจะทำเป็นจุดท่องเที่ยวน่าจะพัฒนาให้ดูดีกว่านี้อีกหน่อย เพราะตอนนี้สภาพแวดล้อมยังดูไม่น่าสนใจนัก
ช่วงท้าย ๆ ผ่านชายฝั่งอีกด้านซึ่งหันเข้าหาแผ่นดินใหญ่ ฝั่งนี้ไม่ค่อยมีหาดแต่จะเป็นป่าโกงกางแทน ขับไปบนเส้นทางเลียบทะเลไปเรื่อ ๆ ก็จะเจอศาลาชมวิว ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางชมเกาะสุกร
ก่อนกลับรีสอร์ทเราแวะทานไก่ย่าง โรตีรองท้องกัน แรก ๆกะว่าแค่พอเรียกน้ำย่อยก่อนมื้อค่ำ แต่ปรากฏว่าทั้งโรตีและไก่ทอดอร่อยจนจัดกันไปเต็มสูบเลย
ช่วงเย็นของวันนั้น ผมเก็บภาพบรรยากาศริมหาดอีกครั้ง วิวที่เกาะสุกรแห่งนี้สวยงามไปอีกแบบ เพราะสามารถเห็นพระอาทิตย์ตกได้เต็มตา โดยมีเรือประมงเป็นฉากหน้าและเกาะเหลาเหลียงทั้งสองรวมถึงเกาะอื่น ๆ ของตรังเป็น background
มื้อค่ำคืนนี้เราทานกันบนโต๊ะที่จัดไว้บนหาด มีทั้งเมนูซีฟู้ดและอาหารพื้นบ้าน จานอร่อยสำหรับผมคือซีฟู้ดเผาและยำสาหร่ายทะเล ทานไปเยอะเลย อิอิ
หลังอิ่มหนำกันแล้ว ก็นั่งพูดคุยกันอย่างออกรสตามประสาคนที่รักการท่องเที่ยวเหมือน ๆ กัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน … ก่อนจะพักผ่อนผมออกมาเก็บภาพดาวที่ริมสระร่วมกับเพื่อน ๆ ครู่นึงเพราะนาน ๆ ทีจะได้เห็นดาวเยอะแบบนี้
วันรุ่งขึ้น เรามีนัดกันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าไปทานอาหารเช้าในเมืองตรัง … แน่นอนว่าผมไม่พลาดเก็บบรรยากาศยามเช้ารอบ ๆ รีสอร์ทอีกครั้ง
ชอบมาก ๆ ก็ตรงทุ่งด้านหลังรีสอร์ท มีฝูงควายกับนกกระยางและแสงแดดยามเช้า มันได้บรรยากาศชนบทสุด ๆ เลย
ระหว่างทางไปท่าเรือ ขอแวะเก็บภาพแสงสวย ๆ ยามเช้ากับต้นยางหน่อย
เรานั่งเรือหางยาวกลับเข้าฝั่ง ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีเพราะเกาะสุกรห่างฝั่งเพียง 3 กม. โดยประมาณ
จากท่าเรือนั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ จนถึง “ร้านเรือนไทย” ที่เป็นเป้าหมายสำหรับมื้อเช้าของพวกเรา … ร้านนี้เป็นร้านติ่มซำเช่นกัน แต่จะดูง่าย ๆ สบาย ๆ กว่าร้านเลตรังที่ทานวันแรก (อันโน้นดูหรู ๆ กว่า) … ด้วยความที่ต้องหิ้วท้องรอกันตั้งแต่เช้า สารพัดสารพันติ่มซำและอาหารเช้าอื่นๆ จึงถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่คณาท้องพวกเรา เพราะทุกอย่างหมดเกลี้ยง สำหรับรสชาติของติ่มซำโดยรวมผมให้คะแนนร้านนี้มากกว่าหน่อยนึง แต่บะกูดเต๋สู้ของร้านเลตรังไม่ได้ครับ
หลังมื้อเช้า เรามีโปรแกรมแวะชมโรงงานขนมเปี๊ยะซอย 9 ร้านขนมชื่อดังของเมืองตรัง แต่เพื่อพักท้อง (เพราะต้องมีการชิมอย่างแน่นอน) เราแวะไหว้พระกันที่ “ศาลเจ้าท่ามกงเยี้ย” หนึ่งในศาลเจ้าคู่เมืองตรัง
ออกจากศาลเจ้าก็แวะซอยเก้าทันที เพื่อเยี่ยมชม “ร้านขนมเปี๊ยซอย 9” … ฝั่งที่เป็นร้านขายของ หรือน่าจะเรียกกว่าโชว์รูมมากกว่า เพราะมีขนมเปี๊ยะหลากรสให้ชิม พร้อมชาเย็นอร่อย ๆ หรือจะเลือกชาจีนก็ได้ ที่นี่ใจปั้มมากครับ ให้ลูกค้าได้ชิมกันเต็มคำกับขนมเปี๊ยะลูกใหญ่ใส้เต็ม ไม่นำมาหั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นเท่ามดลูกแมงสาบให้เสียอรรถรถการชิมเหมือนบางร้าน … ทีแรกผมก็สงสัยว่าให้ชิมแบบนี้เฉพาะคณะของพวกเราที่ดูแลโดย ททท. ไหม แต่สังเกตการณ์อยู่นานก็พบว่าเขาให้ลูกค้าทุกคนชิมได้เต็มที่ครับ … เฉพาะที่ชิมนั้นผมลองทั้งไส้เผือก (ไส้ดังดั้งเดิม) ไส้ทุเรียน และไส้ชาเขียว อร่อยทุกไส้เลย ก็เลยซื้อติดไม้ติดมือมาเป็นของฝากเพียบ … แอบ comment กับคุณพี่เจ้าของไปหน่อยว่านี่ถ้าปรับรูปลักษณ์ของ packaging สักหน่อย จำหน่ายเป็นสินค้า premium ได้เลยจริงๆ เพราะรสชาตินั้น 3 ผ่านเลย
ก่อนกลับเราแวะไปเยี่ยมชมฝั่งผลิตซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน มีพนักงานตั้งหน้าตั้งตาปั้นกันแบบเอาจริงเอาจัง แต่ละคนคล่องแคล่วมาก ถ่ายภาพแทบไม่ทัน 555
ตอนนี้กระเพาะของพวกเราแทบไม่มีพื้นที่เหลือแล้ว เพราะอาหารเช้ายังไม่ทันย่อยดี ก็เติมขนมไปอีก … จึงต้องมีการขอให้คนขับรถช่วยพาไปแวะถ่ายภาพแถว ๆ “หอนาฬิกา” เมืองตรังและสถานีรถไฟเพื่อให้อาหารย่อยก่อนไปทานมื้อเที่ยงกัน
อันที่จริงอาหารก็ยังย่อยได้แค่นิดเดียว แต่เราหามุขอื่นถ่วงเวลาไม่ได้แล้ว จึงต้องจำนนให้กับโปรแกรมมื้อเที่ยงซึ่งเรามาทานกันที่ “ร้านสีฟ้า” อีกหนึ่งร้านดังที่เสิร์ฟเมนูหลายหลากมาก ทั้งอาหารพื้นเมือง อาหารสุขภาพ … หลายเมนูดังถูกสั่งมาให้ลิ้มลองเต็มโต๊ะ อันที่จริงรสชาติอาหารอร่อยเลยทีเดียว แต่เนื่องจากยังอิ่มมากจากมื้อเช้าและมื้อสาย ก็เลยได้แค่เพียงชิมอย่างละนิดอย่างละหน่อยเท่านั้น เกรงใจทางร้านก็เกรงใจกลัวเขาคิดว่าไม่ถูกปาก แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้อาหารมันล้นมาถึงคอแว้วววว
ยังครับ ยังไม่หมด … เพื่อให้สมกับสโลแกนของจังหวัด “ตรัง – ยุทธจักรความอร่อย” โปรแกรมปิดท้ายจึงเป็นการเยี่ยมชมโรงงานผลิตเค้กตรังอันเลื่องชื่อ ร้านนี้ชื่อ “ร้านเค้กกนิษฐา” ซึ่งเป็นร้านขายของฝากริมทางหลวง ในร้านเต็มไปด้วยของฝากจำพวกขนมมากมาย ที่จอดรถสะดวก ห้องน้ำเพียบ เรียกได้ว่าเป็นร้านสำหรับซื้อของฝากจริง ๆ … ทางร้านได้ให้โอกาสเราเข้าไปชมกระบวนการผลิตขนมดัง ๆ หลายอย่างรวมถึงเค้กตรังที่ของแท้ต้องมีรูตรงกลาง พร้อมกันนี้ทางเจ้าของร้านก็ได้บอกเคล็ดลับของขนมอร่อยที่เกิดจากการคัดสรรวัตถุดิบซึ่งใหม่สดและมีคุณภาพ และเพื่อพิสูจน์ความอร่อยเราจึงต้องทานขนมเค้กปิดท้ายกัน (แม้จะอิ่มแสนอ่ิม).. ต้องยอมรับว่าเค้กตรังที่ปกติก็อร่อยอยู่แล้วนั้น อร่อยขึ้นอีกโขเมื่อได้ทานชิ้นที่เพิ่งออกมาจากเตาร้อน ๆ … มั่นนุ่มมาาาากเลย
ออกจากร้าน รถนำผมไปส่งที่โรงแรมเรือรัษฎาซึ่งผมจอดรถทิ้งไว้ .. ผมอำลาเพื่อน ๆ และทีมงานจากททท. ก่อนที่จะอำลาเมืองตรังด้วยความอิ่ม ทั้งอิ่มท้องและอิ่มเอมใจที่ได้สัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ
นับเป็นอีกทริปอันสุดแสนประทับใจ และเป็นอันเสร็จสิ้นการตามหาเกาะปริศนาใน forward mail และได้ตระเวนชิมของอร่อยเมืองตรังจนสมใจอยาก (และคงหายอยากไปอีกพักใหญ่เลย) … แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะคร้าบ