หมายเหตุ รายละเอียดการเดินทาง, การเตรียมตัว และค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ในรีวิวภาคปฐมบททั้งหมดนะครับ อ่านได้ที่นี่เลย https://www.9mot.com/f20Xa เอาล่ะ สำหรับท่านที่รีวิวภาค 1 ผ่านตามาแล้ว จนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำเพราะมันนานเกิ้น (<- เสียงสูงมาก) … งั้นเรามาทบทวนกันหน่อยก่อนไปเที่ยวต่อนะ
ระลึกฝัน
ทริปยุโรปปีนี้เป็นปีพิเศษมาก ๆ สำหรับผม เพราะได้ทำอีกฝันที่อยู่ในใจมานานแล้ว นั่นคือการได้พาพ่อกับแม่ไปเที่ยวด้วยกัน ไปดูวิวสวย ๆ ชมเมืองเก๋ ๆ กินอาหารแปลก ๆ เหมือนกับที่ผมเคยได้สัมผัสมา … แต่เนื่องจากคุณพ่อเดินไม่ค่อยสะดวก จึงต้องใช้ Wheel chair ช่วยระหว่างท่องเที่ยว การตระเตรียมแผนการเดินทางจึงต้องรัดกุมและต่างจากทริปก่อน ๆ ของผมพอสมควร … แต่เมื่อฝันแล้วก็ต้องทำตามฝันครับ ซึ่งในตอนที่แล้วเราค้างกันอยู่ที่เทือกเขา Dolomites สวยสุดบรรยายของอิตาลี … วันนี้เราจะเริ่มเดินทางต่อโดยขับรถกลับเข้าประเทศออสเตรียอีกครั้ง … ตามมาเลยครัช
เช้าวันนี้เราออกจากเขต Dolomites เพื่อข้ามแดนกลับไปยัง Austria อีกครั้ง แต่มีโปรแกรมแวะซื้อของกันที่ Outlet ตรงชายแดนระหว่างสองประเทศที่ชื่อว่า Outlet Center Brenner ซึ่งเป็น Outlet ที่ไม่ใหญ่นัก เดินแบบเล่น ๆ ไม่แวะร้านไหนนานมากน่าจะใช้เวลาราว 2-3 ชม.ก็เพียงพอแล้ว
ออกจาก Outlet เราแวะทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ริมลำธารตรงชายแดน ก่อนที่จะใช้ทางด่วนเพื่อเดินทางไปยังบ้านพักของเราในเมือง Neustift im Stubaital ใกล้ Innsbruck … ที่เลือกพักที่นี่เพราะที่โรงแรมใน Innsbruck ราคาค่อนข้างสูงและหาที่จอดรถยาก อีกทั้งการที่พ่อเดินไม่สะดวกผมจึงคิดว่าเราออกมาพักชานเมือง แล้วค่อยขับรถเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองดีกว่า นอกจากนี้ในช่วง summer จะมีบัตรที่เรียกว่า Stubai Super Card แจกให้กับแขกผู้มาพักในแถบนี้ใช้สำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆในบริเวณนั้นซึ่งนับว่าคุ้มค่ามาก ๆ
Apartment ที่เราพักอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาราว 10 กม.เศษ ทำเลเงียบสงบติดลำธารขนาดใหญ่ทำให้ได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดเวลา … ลักษณะที่พักเป็นบ้านที่แบ่งชั้น 2 ทั้งชั้นให้เราเช่า มี 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นพร้อมครัว ทำให้เราสามารถทำอาหารทานเองได้สบาย ๆ ขณะพัก 2 คืนที่นี่
น้ำในลำธารที่ไหลข้าง ๆ บ้านพักใสมาก ๆ สีออกฟ้า … นั่งอยู่ในบ้านจะได้ยินเสียงน้ำตลอด
เราทำการเก็บสัมภาระและพักพอหายเหนื่อยก็เดินทางเข้าเมือง Innsbruck ทั้งนี้ระยะทางไม่ได้ไกลมากนักแต่ใช้เวลาพอสมควรเพราะต้องเดินทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาที่ค่อนข้างคดเคี้ยว … ผมขับรถไปยังที่จอดรถริมแม่น้ำ Inn ที่ได้ตั้งพิกัดไว้ล่วงหน้าแล้ว (พิกัด 47.267490, 11.390383) … ที่จอดรถจุดนี้ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอาทิ จุดชมวิวริมแม่น้ำ Inn, หลังคาทอง และย่าน shopping ทำให้การเข็นรถเข็นให้พ่อสะดวกพอสมควร
สำหรับช่างภาพแล้วการชมบรรยากาศริมแม่น้ำ Inn ในช่วงบ่ายผมว่าไม่เหมาะนัก (เว้นเสียแต่ว่ารอพระอาทิตย์ตกไปเลย) เพราะเวลาถ่ายภาพจะย้อนแสง ดังนั้นถ้าเลือกได้ผมแนะนำให้วางแผนมาชมในช่วงเช้าจะดีกว่า
ปลายเดือนมิย. หิมะบนเทือกเขา Alpe ที่เป็นฉากหลังมีน้อยแล้วไม่เหมือนช่วงเดือนพค. จะยังเห็นหิมะคลุมบนยอดสวยไปอีกแบบ
หลังจากชมวิวริมแม่น้ำกันแล้วเราก็ค่อย ๆ เดินผ่านฝูงชนไปชมหลังคาทอง ตามด้วยพระราชวัง Hofburg และย่าน shopping ที่ Maria-Theresien
จากริมแม่น้ำ เดินข้ามถนนไปนิดเดียวก็เข้าย่านเมืองเก่าแล้วครับ … ภาพนี้ผมตั้งใจถ่ายเมืองเก่าจริง ๆ นะ
ป้ายชื่อร้านค้าต่าง ๆ จะแข่งกันออกแบบอย่างสวยงาม ขนาดอาจไม่ใหญ่ แต่วัสดุและรูปแบบคลาสสิคมาก (อยากให้ร้านค้าตามเมืองเก่าบ้านเราทำแบบนี้แทนที่จะแข่งกันทำป้ายตู้ไฟหรือไวนิลขนาดใหญ่)
มารอบนี้ หอคอยกำลังปรับปรุงพอดีเลย น่าเสียดาย
ตึกเก๋ ๆ เพียบเลย
ฝั่งตรงข้ามชพระราชวัง มีลานนั่งพักผ่อนกับอาคารที่คงจะเป็นโรงละคร
อารมณ์แบบนี้มีให้เห็นในทุกเมืองใหญ่
เดินเที่ยวเมืองกันต่อ
ย่าน shopping
หนึ่งใน highlight ของ Innsburck ก็คือหลังคาทองครับ
ราวทุ่มเศษแม้ท้องฟ้าจะยังสว่างไสว แต่ร้านค้าต่าง ๆ ก็พากันปิดหมด เราจึงเดินทางกลับที่พัก ซึ่งผมลองใช้ทางด่วนดูเพราะมี sticker อยู่แล้วน่าจะไม่ต้องเสียเงิน แต่ที่ไหนได้โดนเก็บเงินตอนขาออกจากทางด่วน ผมจึงได้ข้อสรุปว่าแม้รถที่มี sticker จะสามารถใช้ทางด่วนได้ แต่ในบางเมืองอาทิ Innsbruck จะต้องเสียค่าทางด่วนเพิ่มเติม (ผมเข้าใจว่าเป็นทางพิเศษที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ข้ามภูเขานอกเหนือจากเส้นทางหลักระหว่างเมืองใหญ่)
เส้นทางใน Stubai ก่อนถึงที่พัก แสงสวยจนอดไม่ได้ที่จะจอดรถลงไปถ่ายภาพ
ผมส่งคนอื่น ๆ ที่บ้านส่วนตัวเอง ขับรถเลยบ้านพักเข้าไปในหุบเขาเพื่อสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งวางแผนว่าจะไปในวันรุ่งขึ้น … บรรยากาศรอบตัวทำให้ผมตื่นเต้นมาก ฟ้ากำลังค่อยเปลี่ยนสี ขับรถเลียบลำธารเข้าไปข้างในเจอน้ำตกทั้งแบบที่ไหลลงมาจากหน้าผาและแบบที่ไหลลงในลำธาร สุดยอดแห่งความเป็นธรรมชาติเลย ไม่น่าเชื่อว่าผมไม่เคยเห็นข้อมูลของเมืองนี้ในรีวิวของคนไทยเลย
เนื่องจากมาคนเดียวและค่อนข้างเปลี่ยวผมจึงต้องเบนหัวกลับที่พักเมื่อพบว่าทางเริ่มไต่ระดับสูงขึ้น ตั้งใจว่าเช้าวันรุ่งขึ้นค่อยลุยอีกครั้ง
วันถัดมาหลังจากอาหารเช้าที่ทำกันเองแล้ว เรามีโปรแกรมนั่งกระเช้าที่ Stubaital Glacier ตามด้วยกิจกรรมอื่นที่สามารถใช้ได้ฟรีในแถบนี้ … จากที่พักต้องขับรถต่อไปอีกเกือบ 10 กม. จึงจะถึงสถานีกระเช้า แต่นับเป็นเส้นทาง 10 กม.ที่ตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติรอบตัวจริง ๆ
สถานีกระเช้า Stubai
เรามาค่อนข้างเช้าจึงมีคนไม่แน่นนัก ไม่ต้องต่อคิวนาน … ปกติกระเช้าที่นำคนขึ้นยอดเขาจะทำงานตลอดเวลา ไมว่าจะมีผู้โดยสารหรือไม่ มันจะหมุนวนไปเรื่อย ๆ แต่ในกรณนี้คุณพ่อใช้รถเข็น เจ้าหน้าที่จึงทำการหยุดกระเช้าเพื่อให้คุณพ่อสามารถขึ้นและลงได้อย่างปลอดภัย
วิวบนกระเช้าสวยงามเกินบรรยาย แอบเห็นบางคนเดิน trekking โดยไม่ใช้กระเช้าด้วย น่าจะได้สัมผัสกับอีกบรยากาศที่สนุกสนานมาก ๆ
วิวจากกระเช้าสวยสุด ๆ … เห็นลำธารที่เกิดจากการละลายของหิมะแล้วสดชื่นสุด ๆ
โชคดีมากที่บนยอดเขายังมีหิมะอยู่พอสมควร โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเล่นสกีกัน มีแต่พวกเราที่สนุกสนานกับการเล่นกับหิมะโดยไม่สนใจสกี 555 … งานนี้ดูพ่อกับแม่จะชอบเป็นพิเศษจนเอ่ยปากว่าคุ้มแล้วสำหรับทริปนี้
ขากลับ เพิ่งสังเกตว่าหน้าต่างของกระเช้าเปิดออกได้ ทำให้ไม่ต้องถ่ายภาพผ่านกระจก ได้ภายชัดขึ้นเยอะเลย
ลงจากยอดเขา เราเดินทางไปยังจุดขึ้นกระเช้าอีกแห่ง แต่คราวนี้เราขึ้นไปเพื่อที่จะเล่น roller coaster ลงมาจากยอดเขา ซึ่งกิจกรรมนี้รวมอยู่ในบัตร Stubai Sper Card แล้ว
ระหว่างทางที่ขับย้อนลงมา ก็แวะจอดรถเก็บภาพธรรมชาติสวย ๆ ริมทางเป็นระยะ
นั่งกระเช้าขึ้นไปก็จะเห็นรางคดเคี้ยวไปมาอยู่ด้านล่าง
เดิมทีผมตั้งใจจะให้พ่อกับแม่และน้าขึ้นไปแล้วลงมาด้วยกระเช้า ส่วนผมกับน้อง ๆ ก็นั่ง roller coaster ลงมาเพราะมันดูหวาดเสียวคิดว่าผู้ใหญ่คงไม่กล้าเล่นแน่ ๆ แต่ที่ไหนได้ทุกคนสวมวิญญาณเด็กควบ roller coaster ลงมาจากเขาทุกคน แม้จะมาแบบช้า ๆ เรื่อย ๆ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่กลายเป็นความประทับใจให้พูดกันจนถึงทุกวันนี้ (ปกติใช้เวลาราว 5 นาที แต่กลุ่มผู้ใหญ่ใช้เวลาราว 20 นาทีเศษ ๆ )
เสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพและ VDO ก็เลยไม่สามารถเก็บบรรยากาศมาฝากได้ครับ แต่บอกได้เลยว่ามันสสสส์มาาาาาก
เที่ยงวันนี้เราเลือกทำเลใต้ต้นไม้ใกล้โบสถ์แห่งหนึ่งเป็นที่ทานอาหารเที่ยง นับเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศพิเศษที่หาได้เฉพาะจากการขับรถท่องเที่ยว ☺ …
ดูสิครับว่าบรรยากาศการทานอาหารเที่ยวของเราแจ่มแมวขนาดไหน
ช่วงบ่ายวันนี้เรามีเวลาเหลือพอสมควร ผมจึงตัดสินใจที่จะขับรถข้ามไปยังชายแดนประเทศเยอรมันเพื่อเที่ยวเมือง Mittenwald และทะเลสาบ Eibsee
ผมใช้เวลาราวชั่วโมงนิด ๆ ในการขับรถราว 60 กม.จากเมืองที่พักไปยัง Mittendwald ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองน่ารักในเขต Bavaria … จุดเด่นของที่นี่คือภาพบนฝาผนังของบ้านเรือนกับดอกไม้ที่ประดับประดาอย่างสวยงามโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ … แหล่งท่องเที่ยวถูกทำให้เป็นถนนคนเดิน มีร้านค้าขายของตลอดสองข้างทาง จะนั่งจิบกาแฟร้อน ๆ กับ Gelato หรือจะเดินเล่นชิล ๆ ก็ได้ …
ย่านการค้าหรือถนนคนเดินของเมืองนี้ … น่ารักน่าเดินจริง ๆ
ผมใช้เวลาราวชั่วโมงนิด ๆ ในการขับรถราว 60 กม.จากเมืองที่พักไปยัง Mittendwald ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองน่ารักในเขต Bavaria … จุดเด่นของที่นี่คือภาพบนฝาผนังของบ้านเรือนกับดอกไม้ที่ประดับประดาอย่างสวยงามโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ … แหล่งท่องเที่ยวถูกทำให้เป็นถนนคนเดิน มีร้านค้าขายของตลอดสองข้างทาง จะนั่งจิบกาแฟร้อน ๆ กับ Gelato หรือจะเดินเล่นชิล ๆ ก็ได้ …
จุดเด่นของที่นี่คือภาพเขียนบนฝาผนังครับ
เราใช้เวลาเดินชมเมือง Mittenwald ในจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่นานนักเพราะพื้นที่ไม่เยอะ จะว่าไปก็พอ ๆ กับปายบ้านเรานี่แหละ
เนื่องจากยังพอมีเวลาผมจึงเดินทางต่อไปยัง Eibsee ซึ่งเป็นทะเลสาบใกล้กับ Zugspitze ที่เป็นเทือกเขาสูงสุดในเยอรมัน แม้เราจะไม่ได้ขึ้นยอดเขา แต่ได้นั่งเรือเล่นในทะเลสาบแล้วมองยอดเขาแทนก็เป็นสุขแล้ว
วันถัดมาผมจัดโปรแกรมเอาใจสาว ๆ ให้ Shopping กันที่ Swarovski world ใกล้เมือง Innsbruck ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจได้ของติดไม้ติดมือกันพอหอมปากหอมคอ
จาก Swarovski world ผมเดินทางต่อไปยังที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งเป็น apartment ริม Zell am see … ผมตั้งใจพักที่นี่เพราะอยู่ใกล้ Berchtesgaden ที่จะเที่ยวในวันรุ่งขึ้น แต่เนื่องจากรายงานสภาพอากาศที่จะมีฝนตกเกือบทั้งวัน หากไปล่องทะเลสาบที่ Berchtesgaden เห็นทีจะไม่เหมาะ ผมจึงต้องปรับแผนใหม่หมด โดยขับรถฝ่าฝนตกปรอย ๆ ขึ้นไปเที่ยวชมวิวบน Grossglockner แทน
บรรยากาศของ Grossglockner ในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝน
ที่พัก 2 คืนถัดไปของพวกเราเป็น Apartment ที่ตั้งอยู่ในฟาร์มห่างจาก Salzburg ออกมาราว 10 กม. สำหรับเหตุผลที่เลือกที่พักชานเมืองก็เหมือนตอนที่พัก Innsbruck ครับ … เราจะได้ห้องกว้างกว่าและมีครัวให้ทำอาหารในราคาที่ประหยัดกว่า รวมถึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดรถ
เย็นวันนี้ผมพาสมาชิกทุกคนเข้าไปเที่ยวในเมือง Salzburg กัน โดยจอดรถในที่จอดรถใต้เนินเขาใกล้กับย่านเมืองเก่าเพราะสามารถเดินมาเที่ยวจุดสำคัญ ๆ ได้ไม่ยากเกินไป (พิกัดที่จอดรถ 47.797670, 13.038183) อ้อ ถ้า shopping ร้านต่าง ๆ ในเมือง Salzburg สามารถให้ทางร้าน stamp ที่บัตรจอดรถซึงจะทำให้ค่าจอดประหยัดลงอย่างมากครับ (รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.contipark.at/find-parking/salzburg-tiefgarage-altstadtgarage-a/)
ที่จอดรถมีบริการลิฟท์และทางเดินที่ค่อนข้างสะดวกมายังแหล่งท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า ทำให้การเข็นรถให้พ่อไม่เป็นอุปสรรคมากนัก เราใช้เวลาราว 15 นาทีก็มาถึงใจกลางเมืองเก่าที่บรรยากาศคราคร่ำด้วยนักท่องเที่ยวที่มาชมความสวยคลาสสิคของสถาปัตยกรรม บางคนก็นั่งรถม้าชมเมือง บางส่วนก็ล้อมวงชมการแสดงดนตรีหรือศิลปะแขนงอื่นของเหล่าศิลปินอิสระ
ไปเดินชมเมืองเก่ากันครับ
จริง ๆ แล้วถ้ามาเที่ยว Salzburg น่าจะหาโอกาสขึ้นไปชมวิวมุมสูง 2 จุด คือที่ Hohensalzburg ซึ่งเป็นปราสาที่อยู่ในย่านเมืองเก่านั่นเอง อีกจุดหนึ่งชื่อว่า Monchberg อยู่ถัดออกมาจากย่านเมืองเก่าเล็กน้อย ซึ่งจุดนี้สามารถมองเห็นตัวปราสาท,และแม่น้ำ Salzach ที่แบ่งเขตย่านเมืองเก่ากับเมืองใหม่ของ Salzburg
เมื่อไม่ขึ้นไปจุดชมวิวก็เลยถือโอกาสให้สาว ๆ ได้เข้าร้าน shopping ในเมืองกันอีกครั้ง ผมก็ถือโอกาสเดินเก็บภาพรอบ ๆ บริเวณ
แม้จะไม่ได้ขึ้นไปยังจุดชมวิวแต่ผมอยากให้พ่อได้ไปชมสวนดอกไม้ที่ Mirabell garden ซึ่งเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง The sound of music ที่โด่งดังสมัยคุณพ่อยังเป็นหนุ่ม … การเดินจากย่านเมืองเก่าไป Mirabell garden นั้นจะว่าไปก็ไม่เป็นอุปสรรคนักสำหรับคนทั่วไปเพราะระยะทางก็ราว ๆ 1 กม.เศษ ๆ เห็นจะได้ แต่เนื่องจากคุณพ่อต้องใช้รถเข็น และถนนบางส่วนใน Salburg กำลังซ่อมแซมทำให้การเดินทางไปต้องใช้กำลังมากมายพอสมควร
สวน Mirabell วันนี้ปลูกดอกไม้สวยงามเช่นเคย เสียดายที่ดอกทิวลิปไม่มีให้ชมเหมือนการมาเยือนช่วงเดือนพค. เมื่อ 3 ปีก่อน … แต่ก็ยังมีดอกไม้ประเภทอื่น ๆ หลากสีชูช่อให้ความสดชื่นแทน
ออกจากส่วน Mirabell เราทานอาหารค่ำกันแบบง่าย ๆ ที่ร้าน fastfood แนว seafood ที่ชื่อ Nordsee เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ หลังจากทานอาหารที่ทำเองมาหลายมื้อ
ระหว่างทางเดินกลับมายังย่านเมืองเก่า ต้องผ่านสะพานนี้ด้วย (นึกว่าอยู่เกาหลี)
ทานข้าวค่ำเสร็จระหว่างเดินกลับไปยังที่จอดรถก็มีโอกาสได้เก็บภาพบรรยากาศเมืองเก่าอีกครั้ง
รุ่งขึ้นตามพยากรณ์อากาศจะมีเมฆมากและฝนตกในบริเวณนี้ แต่ผมไม่มีตัวเลือก ต้องลองเสี่ยงเดินทางไปยัง Konigssee ที่เมือง Berchtesgaden ซึ่งห่างออกไปราว 30 กม.
แม้ Berchtesgaden จะอยู่ฝั่งประเทศเยอรมนี แต่การเดินทางข้ามชายแดนนั้นแทบจะไม่รู้สึกเลย เพราะไม่มีด่านขนาดใหญ่ นับเป็นความสะดอกอีกอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มเช็งเก้น
เราโชคดีมากที่ฟ้าเป็นใจไม่มีฝนตก ทำให้เราได้นั่งเรือชมวิวเพลิน ๆ ในทะเลสาบ Konigsee และไปจนถึง St Bartholomew’s Church ซึ่งเป็นที่หมายของเราวันนี้
น้ำในทะเลสาบใสแจ๋ว แต่มองแล้วเป็นสีเขียวๆ … บางทีก็รู้สึกเหมือนเขื่อนบ้านเรา แต่ต่างกันที่ภูเขาสูง ๆ จะมีหิมะปกคลุมด้วย
ใกล้ถึงโบสถ์แล้ว
เนื่องจากเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนเต็มตัว จึงแทบไม่หลงเหลือหิมะบนยอดเขาที่โอบล้อม Bartholomew แล้ว แต่น้ำใส ๆ กับฝูงนกเป็ดน้ำที่ว่ายวนอยู่ริมตลิ่งก็ทำให้ผู้มาเยือนอย่างเราเป็นสุขมากกับทิวทัศน์รอบตัว
ไปถึงได้สักพักฝนก็ตกลงมาทำให้ต้องไปหลบในโบสถ์ … พอแดดออกผมก็ออกมาเก็บภาพอีกครั้ง
ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วครับ
ใช้เวลาเก็บเกี่ยวบรรยากาศพักใหญ่เราก็นั่งเรือกลับมายังท่า เพื่อเดินทางต่อไปยัง Parish Church of St. Sebastian ซึ่งเป็นโบสถ์สวยริมน้ำอันโด่งดังของ Berchtesgaden (คนไทยมักรู้จักในชื่อ Ramsau in Berchtesgaden)
เมื่อมาถึง St. Sebastian อากาศเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่ลำธารน้ำใส ๆ กับวิวเบื้องหน้าทำให้อาหารมื้อเที่ยงที่เป็นข้าวสวยกับปลากระป๋องและน้ำพริกแห้งอร่อยเกินบรรยาย นับเป็นอีกหนึ่งมื้อพิเศษของทริปนี้เลยทีเดียว
เสร็จจากมื้อเที่ยง เราเดินทางกลับไปยังที่พัก แต่เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือในช่วงเย็น ผมจึงชวนทุกคนออกจากบ้านอีกครั้งไปชมทะเลสาบ St. Wolfgang ที่อยู่ห่างไปไม่ถึง 20 กม. …
ที่ St. Woltgang หาที่จอดรถฟรีแทบไม่ได้ ผมใช้เวลาขับรถวนไปตามถนนริมทะเลสาบอยู่พักใหญ่จนในที่สุดก็ได้ทำเลจอดรถที่ชุมชนเล็ก ๆ ริมน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีที่จอดรถสำหรับคนใช้รถเข็นพอดี (จริง ๆ แล้วการใช้ที่จอดรถประเภทนี้ ต้องมีป้ายคนพิการแสดงไว้ที่กระจก ผมไม่ได้ติดต่อทำเรื่องขอสติกเกอร์ดังกล่าวไว้ แต่ก็ลองจอดดูเพราะคิดว่าน่าจะพอคุยได้หากเกิดปัญหาขึ้นเพราะเราก็มีผู้โดยสารที่ใช้รถเข็นจริง ๆ)
นับเป็นโชคดีมาก ๆ ที่วันนี้มีกิจกรรมเล่นดนตรีคลาสสิคที่ริมท่าน้ำพอดี เราจึงได้ฟังเพลงคลาสสิคเคล้าคลอไปกับบรรยากาศอันสวยงามของพระอาทิตย์ตกริมทะเลสาบ St. Wolfgang
วันรุ่งขึ้นเรา check out ออกจากที่พัก เพื่อเดินทางต่อไปยัง Vienna … เดิมทีผมตั้งใจจะไปคืนรถในเมือง Vienna แต่คิดทบทวนหลายครั้งแล้วกังวลเพราะเมื่อไม่มีรถแล้วการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ในขณะที่มีสัมภาระด้วยจะลำบากมาก ๆ หรือจะแยกตัวมาคืนรถหลังจากนำทุกคนไปส่งที่พักแล้วก็กังวลเรื่องการขับรถในเมืองหลวงอีก … สุดท้ายเลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังสนามบินเพื่อคืนรถแทน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แถมได้ลดค่าคืนรถต่างสถานทีไป 30 Euro .. อย่างไรก็ตามต้องเสียค่ารถไฟสำหรับเข้าเมืองเพิ่มเติมคนละ 2.1 Euro ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่า … อีกอย่างเมื่อมาถึงสนามบินแล้ว เราก็เลยถือโอกาสฝากกระเป๋าบางส่วนไว้ที่นี่เลย โดยเสียค่าฝากวันละ 8 Euro ต่อใบ (เศษของ 24 ชม. นับเป็นอีกวัน) ซึ่งช่วยให้การเดินทางของพวกเราคล่องตัวขึ้นเยอะพอสมควร
ที่พักของเราในเวียนนาเป็น apartment แบ่งเช่า พื้นที่ไม่กว้างขวางนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับพวกเรา ที่สำคัญคือสามารถเดินมายังบริการรถสาธารณทั้งรถไฟและรถใต้ดินได้ในระยะทางไม่ไกลนัก
เย็นวันนี้ผมพาทุกคนตรงเข้าไปย่านกลางเมือง โดยใช้รถไฟใต้ดิน ซึ่งนั่งเพียง 2 สถานีก็ถึงแล้ว ..โดยการเที่ยวภายในเมือง Vienna นั้นผมซื้อตั๋วแบบ 24 ชม.ซึ่งใช้บริการรถสาธารณในโซนเดียวกันได้ไม่จำกัดในช่วงเวลาดังกล่าว (โซนนี้ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมือง Vienna ทั้งหมดอยู่แล้ว)
ระหว่างการเดินทางในสถานีช่วงแรกมีเรื่องให้ตื่นเต้นพอสมควรเมื่อคุณพ่อเสียหลักบนบันไดเลื่อนครั้งนึงและบนรถไฟอีกครั้ง โชคดีมากที่ทั้งสองครั้งมีคนข้าง ๆ ช่วยประคองไว้ได้ทัน … จากนั้นผมก็เลยต้องประกบคุณพ่ออย่างใกล้ชิดและเปลี่ยนจากการใช้บันไดเลื่อนเป็นลิฟต์แทน ทั้งนี้ทุกสถานีจะมีให้บริการอยู่แล้วแต่บางแห่งอาจหายากหน่อยเพราะอยู่หลบมุมบันได …
มาถึงจุดนี้เห็นได้ชัดว่าพ่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เป็นภาระกับคนส่วนใหญ่ แต่บางครั้งสุขภาพและสังขารที่โรยราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมจึงอยากฝากว่าการท่องเที่ยวเพราะหาประสบการณ์ชีวิตหากพอจะมีโอกาสก็ควรทำตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรงกายที่แข็งแรง อย่ารอให้ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมเพราะอาจเป็นวันที่ร่างกายเราไม่พร้อมแล้วก็เป็นได้ …
ผมพาทุกคนมาลงที่สถานี Stephansplatz ซึ่งเป็นใจกลางย่านใจกลางเมืองของ Vienna ที่เป็นทั้งแหล่ง shopping และที่ตั้งของ St. Stephan มหาวิหารประจำกรุง Vienna … เนื่องจากพ่อคงไม่อยากให้เป็นห่วงก็เลยเข้าชมเพียงภายในของมหาวิหาร จากนั้นก็อาสานั่งรอใน Mc ในขณะที่สาว ๆ ได้เดิน shopping กันในบริเวณนั้น
เมื่อเริ่มค่ำ ผมจึงพาทุกคนนั่งรถไฟใต้ดินออกไปยังเส้นวงแหวนรอบเมืองเก่า เพื่อนั่งรถรางชมสถานที่สำคัญสวย ๆ อีกหลายแห่งที่รถรางเหล่านี้ผ่าน ทั้งนี้ยังคงใช้ตั๋ว 24 ชม.ได้เช่นเดิม … เนื่องจากผมต้องการเก็บแสงยามค่ำของสถานที่สำคัญ 2-3 แห่งแต่ไม่อยากให้ทุกคนรอจึงให้คนอื่นกลับที่พักไปก่อนในขณะที่ผมนั่งรถรางต่อเพื่อถ่ายภาพตามที่ตั้งใจไว้ …
สถาปัตยกรรมสวย ๆ สามารถนั่งรถรางชมได้อย่างสะดวกสบาย (ถ้าไม่หลง)
ด้วยความที่รีบร้อนไม่ยอมรอรถสายที่หาข้อมูลไว้แล้ว แต่เห็นว่ามีอีกคันมาก่อนและดูเหมือนจะไปเส้นทางเดียวกันเลยนั่งไปแบบมั่ว ๆ (กะว่ายังไงก็กลับทางเดิมได้ถ้าหลง) รถรางคันนั้นพาออกไปเส้นทางอื่นที่ไม่มีตึกสวยๆ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงขึ้นรถกลับจากอีกฝั่ง แต่คงด้วยความรีบ ๆ ผสมงง ๆ ทำให้ตอนมาต่อรถสายที่วิ่งวนรอบย่านเมืองเก่า กลับขึ้นผิดทางจนรถพาออกไปถึงย่านที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว กว่าผมจะรู้ตัวว่าหลงทางก็เหลือตัวคนเดียวบนรถ และเมื่อตัดสินใจลงรถก็ปรากฏว่าเป็นสถานีสุดท้ายพอดี (บังเอิญว่าคันที่ผมนั่งเป็นรุ่นเก่า ไม่มีจอ monitor บอกสถานีต่าง ๆ และสำเนียงที่บอกชื่อสถานีก็ฟังไม่ชัด) กลายเป็นว่าผมต้องมาลงที่สถานีปลายทางที่เปลี่ยวมากกกกกก ใจนึงก็กลัว แต่ที่ยิ่งกว่าความกลัวคือความกังวลว่าคนอื่นเป็นห่วงเพราะค่อนข้างดึกแล้ว ที่สถานีนี้ไม่มีรถคันอื่นอีกแล้ว ต้องรอคันนี้นี่แหละที่จะวิ่งเมื่อถึงเวลาที่กำหนด … ผมดูตารางสถานีแล้วเครียดเลยเพราะสถานีที่อยู่ตอนนี้อยู่คนละฝั่งกับสถานีที่จะต้องต่อรถกลับที่พัก ถ้าวิ่งย้อนกลับไปต้องใช้เวลานานพอสมควรเพราะหลายสถานี
หลังจากรอราว 15 นาทีก็มีวัยรุ่นกลุ่มนึงเดินขึ้นรถมา ทำให้ผมใจชื้นเล็กน้อยไม่รู้สึกวังเวงเกินไป จากนั้นอีกไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออก …. โอ้วผมแทบจะตะโกนออกมา เพราะรถรางขบวนนี้วิ่งวนเป็นวงกลม ไม่ต้องย้อนกลับทาเดิม นั่นแสดงว่าเพียงไม่กี่สถานีผมก็ลงไปต่อรถไฟใต้ดินได้เลย แต่กว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไป 5 ทุ่ม นับเป็นอีกหนึ่งอรรถรสของการหลงทางในต่างประเทศ
มาถึงสถานีรถไฟใต้ดินได้โล่งใจ เลยมีอารมณ์ถ่ายภาพต่อ 555
วันถัดมาเป็นวันสุดท้ายของทริป แต่ flight เราเป็นช่วงค่ำ วันนี้เราจึงมีโปรแกรมเที่ยวพระราชวังเชิญบรุนน์กัน
การไปเชิญบรุนน์รอบนี้ผมเลือกลงสถานีที่ใกล้ประตูฝั่งที่เป็นสวนเพราะครั้งที่แล้วดอกไม้ในสวนบานสวยมาก แต่นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพราเดือนมิย.ไม่มีดอกหญ้าสวย ๆ ให้ชมแล้ว และทางโรยกรวดก็ไม่เหมาะสำหรับรถเข็นเท่าไหร่ ทำให้กว่าจะไปถึงสวนด้านในต้องใช้เวลานานพอสมควรแถมไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจระหว่างทางด้วย
กว่าจะเดินทางมาถึงลานดอกไม้ตรงกลางได้ก็เหนื่อยกันน่าดูทีเดียว
ผมกับน้องชายเดินขึ้นเนินเพื่อขึ้นไปเก็บภาพจากมุมสูงที่สวนด้านหลัง ส่วนคนอื่น ๆ นั่งเก็บเกี่ยวบรรยากาศรอใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ กับลานดอกไม้
ผมใช้เวลาเก็บภาพไม่นานนักก็กลับลงมาสมทบกับคนอื่น จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินที่สถานีเชิญญบรุนน์ไปยังใจกลางเมืองอีกครั้งเพื่อซื้อของฝากและของที่เล็งไว้แต่ยังไม่ได้ซื้อ
บ่ายแก่ๆ เราจึงกลับไปเก็บสัมภาระแล้วนั่งรถไฟไปยังสนามบิน … ผมเผื่อเวลาไว้เยอะพอสมควรแต่ก็ไม่วายมีเรื่องให้ตื่นเต้นเนื่องจากการทำ tax refund ที่สนามบิน Vienna ไม่เหมือนกับที่เคยเจอมา เพราะต้องทำแยกกันระหว่างกระเป๋าที่ check in และ carry on ทั้งนี้ไม่มี instruction ชี้แจงให้ชัดเจนและเจ้าหน้าที่ในส่วนศุลกากรและของบริษัทที่รับดำเนินการ tax refund ก็ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย และกรณีที่ยอดเงิน refund เยอะจะถูกบังคับให้ refund เข้าบัตรเครดิตซึ่งทำให้เราค่อนข้างเสียเปรียบในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย งานนี้เลยทำให้เราต้องขึ้นเครื่องกันแบบจินจวน และดูเหมือนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ก็เจอปัญหาเดียวกับเรา ดังนั้นเพื่อน ๆ ที่จะทำ tax refund ที่สนามบิน Vienna ควรศึกษาข้อมูลให้ดีและเผื่อเวลาไว้ด้วยนะครับ
พอขึ้นเครื่องได้ผมก็รู้สึกโล่งใจที่ทริปนี้สามารถผ่านพ้นไปได้ แม้จะมีอุปสรรคและสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็เชื่อว่าช่วงเวลาดี ๆ กับพ่อและแม่รวมถึงครอบครัวพี่น้องจะอยู่ในความทรงจำพวกเราไปอีกนานแสนนาน
ก็หวังว่ารีวิวนี้อาจช่วยสะกิดฝันของเพื่อน ๆ ให้พองโตขึ้นอีกนิด แล้วออกไปพิชิตฝันที่มันงอกออกมานะครับ ☺
รีวิวทั้งหมดในทริปนี้
#2 เมื่อฝันมันงอก จึงต้องออกไปเก็บฝัน – ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอ (ทั้ง 2 คน) ตอน “ออกเดินทาง”
การเดินทางราว 12 ชม. โดย EVA air สู่เวียนนาเป็นไปด้วยความราบรื่น เราถึงกันราว 9:40 ในช่วงเช้าของวันที่อากาศค่อนข้างเย็น (คิดในใจ กรรมซะแระบอกลูกทัวร์ว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปมากหรอก เพราะกำลังเข้าช่วง summer อากาศกำลังสบาย ^ ^) …
#1 เมื่อฝันมันงอก จึงต้องออกไปเก็บฝัน – ขับรถเที่ยวยุโรป ออสเตรีย-อิตาลี-สโลเวเนีย-เยอรมัน ทริปนี้เพื่อเธอ (ทั้ง 2 คน) ปฐมบท
เพื่อน ๆ มีใครเหมือนผมบ้างไหมครับ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ฝันว่าจะทำงานและหารายได้พิเศษเพื่อให้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง … มันไม่ได้เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่หรอกและเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงฝันแบบนี้เช่นกัน สำหรับผมได้ฝันและทำฝันนั้นให้เป็นจริงมาสักพักแล้ว แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป “ความฝันมันงอก” ผมจึงต้องปฏิบัติภารกิจออกไปตามเก็บฝันอีกครั้ง …เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
นายมด : ขอบคุณคร้าบที่เข้ามาอ่านรีวิว
ขอบคุณมากครับสำหรับรีวิว เขียนได้ดีและข้อมูลละเอียดมากครับ รูปก็สวยมากครับ ตั้งใจกับแม่ว่าจะไปเที่ยวออสเตรีย-สโลวีเนียอยู่แล้ว เลยขออนุญาตยึดทริปพี่เป็นแนวทางเลย เปิดรีวิวของพี่จูงใจแม่ด้วย เค้าเห็นรูปพี่แล้วคล้อยตามทันที
ชอบมากๆค่ะ
คุณรักครอบครัว อ่านแล้วซึ้งมากๆ
ถ่ายภาพสวยมาก ตอนนี้ ตุลา’58 ลูกสาวอยู่ออสเตรียค่ะ
จะให้เค้าเข้ามาอ่านและชมภาพถ่ายของคุณเป็นไอดอล
สวยจริงๆค่ะ
ขอบคุณนะค๊ะ