ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปเที่ยวภาคอีสานเลย ส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนอยู่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันใกล้ภูเก็ตบ้านตัวเอง หรือไม่ก็หนี(อากาศ)ร้อนไปพึ่งเย็นที่เชียงใหม่โน่นเลย … เวลาเห็นคนอื่นโพสต์รูปเก๋ๆ สวยๆ ของเชียงคานบ้างล่ะ ภูทับเบิกบ้างล่ะ โดยเฉพาะที่เป็นทะหมอกมากองตรงหน้ายังกะหลุดไปอยู่บนสวรรค์ โอ๊ยมันกระตุ้นต่อมเที่ยวของผมซะเหลือเกิน … พอได้รับการเชื้อเชิญจากทาง Thai Smile ให้ทดลองใช้บริการของ Thai Smile Plus ผมนี่รีบตอบรับเลย เพราะจะได้ถือโอกาสไปเปิดประสบการณ์ใหม่ที่อีสานด้วยในตัว อิอิ
ปกติแล้วทุกทริปท่องเที่ยว ผมจะวางแผนล่วงหน้าค่อนข้างนาน แถมกำหนดตารางการเดินทางไว้ชัดเจน เรื่องที่พักนี่จองเรียบร้อยก่อนเดินทางทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหน เพราะเวลา 3 วัน 2 คืนของทริปนี้ ผมตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะไปไหนดีระหว่างจังหวัดเลย, บึงกาฬ, หนองคาย, หนองบัวลำภู, เพชรบูรณ์หรือจะข้ามไปลาวซะเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินไปลงอุดรฯ เพราะอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวที่เล็งไว้นัก สามารถขับรถไปใช้เวลาไม่เกิน 3-4 ชม. ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่เหนื่อยเกินไป โดยรถยนต์นั้นผมได้ติดต่อขอการสนับสนุนรถจากทาง AVIS ไว้แล้ว … นี่จึงเป็นที่มาของทริปวันต่อวันครั้งแรกของผม … ไปดูกันครับว่าจะรอดไหม อิอิ
– ช่อง check in พิเศษสะดวกรวดเร็วกว่าเพราะคิวไม่ยาว – มีการเว้นที่นั่งกลางของแต่ละฝั่งเพื่อให้นั่งสบายขึ้น และพนักแขนสามารถปรับให้กว้างขึ้นได้ แต่ถ้าจะนั่งจับมือกับคนรู้ใจหรือซบไหล่อันนี้ชุดวางของตรงกลางอาจจะเกะกะหน่อยนะ อิอิ … สำหรับคนร่างใหญ่ ขายาว ถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำที่นั่งแถวหน้าสุดเลยครับเพราะมีพื้นที่วางเท้ามากกว่าที่นั่งอื่น ๆ – สามารถขึ้นเครื่องและรับกระเป๋าได้ก่อนผู้โดยสารปกติ และที่นั่งสำหรับ Thai Smile Plus ก็อยู่บริเวณตอนหน้าของเครื่องด้วย – สามารถใช้ lounge ของการบินไทยได้ หรือได้รับคูปองสำหรับใช้บริการศูนย์อาหารในสนามบิน กรณีที่สนามบินนั้นไม่มี lounge – ได้น้ำหนักกระเป๋าสำหรับโหลดใต้ท้องเครื่อง 30 Kg. ซึ่งเรื่องนี้ตอบโจทย์มากสำหรับการต่อ Flight ของทริปต่างประเทศแบบที่เดินทางหลายวันและมีสัมภาระเยอะ ถ้าบิน low cost อาจต้องเสียค่าสัมภาระเพิ่มบานเลย – มี Welcome drink ระหว่างช่วงเตรียมเครื่องขึ้น และมีอาหารเมนูพิเศษบนเครื่องให้เลือกอีกด้วย ทั้งนี้เมนูพิเศษจะมีตัวเลือก 2 อย่างครับ – บัตรโดยสารมีความยืนหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงวันและเวลาเดินทางได้ภายใต้เงื่อนไขที่ทางสายการบินกำหนด
เห็นภาพนี้คงทราบแล้วนะครับว่าพร้อมออกเดินทางแล้ววว .. ชุดยูนิฟอร์มใหม่ สีสันสดใสของ Thai Smile
ที่นั่งสำหรับชั้น Thai Smile Plus จะเป็นที่นั่งโซนด้านหน้าเครื่องครับ ขึ้น-ลงสะดวก
อาหารบนเครื่องจะเป็น set ใหญ่กว่าที่นั่งปกติ รสชาติอร่อยถึงรสครับ (ภาพด้านล่างนี่จาก 2 flight ครับ)
จากการได้ลองสัมผัสด้วยตัวเองก็ต้องบอกว่าประทับใจครับ … ยอมรับว่าที่นั่งสบายกว่าจริง ๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมค่อนข้างสูง พอได้ที่นั่งที่สามารถเหยียดขาได้เต็มที่ก็จะรู้สึกสบายกว่าที่นั่งปกติ ซึ่งจะเห็นได้ชัดหากเป็นที่นั่งแถวหน้าสุด ยิ่งถ้าเป็นคนเจ้าเนื้อหน่อยจะรู้สึกได้เลยว่าสบายกว่าที่นั่งปกติมาก … สำหรับอาหารที่เสิร์ฟรสชาติดีทุกรายการ (ผมลองหลายอย่างจากการบินทั้งหมด 4 เที่ยว โดยแลกกันชิมกับแฟนที่เดินทางด้วยกัน) มีเพียง sandwich tuna ที่ผมรู้สึกว่าธรรมดาไปหน่อย (อร่อยนะ แต่ไม่รู้สึกพิเศษ) นอกนั้นอร่อยถึงรสเลยล่ะ ทั้งนี้พวกน้ำจิ้มต่างๆ จะทำออกมาแบบไม่เผ็ดนะครับ คงเพราะต้องการให้ลูกค้าต่างชาติสามารถทานได้ง่ายขึ้น
ส่วนการบริการทั่วไป น้อง ๆ แอร์ฯ ก็ดูสดชื่นแจ่มใสเต็มใจให้บริการดี เรื่องนี้อาจจะไม่ได้น่าแปลกใจมาก เพราะสายการบินสัญชาติไทยเกือบทุกบริษัท ฯ ทำในจุดนี้ได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพียงแต่น้อง ๆ ในชุด uniform ใหม่ของ Thai Smile ทำให้โลกดูสดใสขึ้นอีกเยอะเลย
ระหว่างนั่งบนเครื่องไปยังอุดรฯ ซึ่งใช้เวลาราว 1 ชม. ผมตัดสินใจว่าจะไปเชียงคานก่อนวันแรกเนื่องจากใช้เวลาขับรถราว 3 ชม.เศษไม่เหนื่อยจนเกินไป ส่วนอีกวันค่อยว่ากัน …
ถึงสนามบินอุดร ฯ เรียบร้อยตรงเวลา จากนั้นจึงเดินออกมาติดต่อรับรถจากทาง AVIS … เคาท์เตอร์หาง่ายครับเพราะอยู่ในตัวอาคารสนามบินเลย มองจากประตูผู้โดยสารขาออกก็เห็นสีแดงเด่นชัดเลยครับ
รถของผมสำหรับทริปนี้เป็น CIVIC ครับ หลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ และถ่ายภาพรถไว้รอบคันเหมือนที่ปฏิบัติทุกครั้ง ก็เริ่มออกเดินทางกันเลย …
จากอุดรฯ ผมใช้เส้นทางผ่านจังหวัดหนองบัวลำภู ผ่านเขตอำเภอเมืองของเลย จากนั้นมุ่งขึ้นทิศเหนือไปยังอำเภอเชียงคานซึ่งเป็นชายแดนไทย-ลาว … ถนนบางช่วงบนเส้นทางนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง ทำให้ทำเวลาไม่ค่อยได้ ระหว่างขับรถก็หาข้อมูลว่าจะพักที่ไหนดี สุดท้ายก็เลือกเชียงคาน Gallery Resort ครับ โทรไปถามดูกับที่รีสอร์ทโดยตรงได้ราคาต่ำกว่าใน website agent นิดหน่อย และถ้าไม่เอาอาหารเช้าก็ลดราคาลงไปอีก อีกอย่างรีสอร์ทนี้อยู่บนเส้นทางที่จะขึ้นไปชมทะเลหมอกภูทอกพอดี นับว่าสะดวกเลยครับ
ทุ่งนาสวย ๆ ริมทาง
บ่ายแก่ ๆ google ในมือถือก็นำผมก็มาถึงรีสอร์ทซึ่งต้องขับจากถนนใหญ่เข้าซอยไปราว 5 นาที บนเส้นทางที่ลาดยางแต่มีหลุมบ่อพอสมควร … สำหรับ เชียงคาน แกเลอร์รี่ รีสอร์ทก็มีสีสันสดใส สะอาดตา ดูเหมือนช่วงนี้จะมีลูกค้าน้อยจึงไม่แปลกที่ตอนจองไม่ร้องขอให้โอนเงินมัดจำอะไรเลย (ตอนนั้นนอยด์นิดๆ ว่าเฮ้ยนี่ตกลงเขารับจองหรือยังหว่า ชื่อยังไม่ถามเลย 555)
ห้องพักที่นี่ก็มีหลากสีครับ มาช่วงคนน้อยแบบนี้ก็เลือกตามใจชอบเลย … ภายในห้องก็ตกแต่งด้วยโทนสีหวาน ๆ คล้ายกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง Free WIFI, ทีวี น้ำอุ่น, ตู้เย็น และ amenities ในห้องน้ำ … ตินิดนึงตรงที่นอนซึ่งมีฝุ่นเล็กน้อย คงเป็นเพราะไม่ค่อยได้มีการใช้ห้องในช่วงนี้ คนที่ sensitive หน่อยอาจรรู้สึกคัดจมูกได้ครับ
หลังจากเก็บสัมภาระเข้าห้องแล้วก็ได้เวลาหาอาหารเย็น ซึ่งก็เปิดหาจากในมือถือนี่แหละครับ เช็คดู 2-3 เวปได้ความเห็นตรงกันว่าควรไปทานข้าวเปียกที่ร้านงอยโขง … จากที่พักขับรถออกจากซอยแล้วเลยไปอีกหน่อยก็ถึงโซนถนนคนเดิน ทำให้ผมรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เลือกรีสอร์ทห่างออกไปหน่อย จะได้บรรยากาศเงียบ ๆ และไม่ต้องวุ่นวายกับการหาที่จอดรถ หลังจากขับรถบนเส้นถนนคนเดินที่ไม่อนุญาตให้จอดรถ สุดท้ายก็เจอจุดสำหรับจอดรถตรงสุดถนนคนเดินครับ (ทั้งสองฝั่งถนนคนเดินจะมีวัดขนาบ สามารถจอดรถด้านในได้ฟรี) … จากที่จอดรถเดินชมบ้านเรือนไม้เก่าๆ ไม่ไกลนักก็ถึงร้านงอยโขง ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งของที่นี่ ซึ่งเมนูที่ลองเย็นนี้คือข้าวเปียก กับ ไข่กระทะ (เป็นอาหารเช้าที่เอามาขายตอนเย็น แปลกดี) สำหรับรสชาติก็กลมกล่อมครับ เนื้อหมูในข้าวเปียกอร่อยดี ถ้าทานตอนฤดูหนาวจะฟินกว่าทานตอนอากาศร้อน ๆ แบบนี้เยอะ อิอิ
เพิ่มพลังแล้วก็ได้เวลาเดินชมบ้านเรือนกันอีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้แม้จะยังไม่เข้าฤดูกาลท่องเที่ยวเต็มตัวแต่ก็มีคนมากพอสมควร บ้านพักริมถนนคนเดิมบางแห่งติดป้ายห้องเต็ม ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับคนท้องถิ่นที่นี่ … สำหรับบรรยากาศโดยรวมของที่นี่ก็ผสมผสานกันไประหว่างของเก่า, ของใหม่และของใหม่ที่ทำให้ดูเก่า ถ้ามองแบบใจกว้างหน่อยก็ต้องบอกว่ายังเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวอยู่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างตามกระแสความต้องการของคนเมือง แต่กลิ่นอายของหมู่บ้านริมน้ำก็ยังไม่จางหายไปจนขาดเสน่ห์ซะทีเดียว
ที่ผมชอบมากคือถนนริมน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงให้เดินสะดวกสบายและปลอดภัย มีดอกดาวกระจายปลูกเป็นระยะและกำลังออกดอกสีเหลืองส้มสะพรั่งเลยทีเดียว
ลองชม VDO time lapse บ้างนครับ (เพื่ออรรถรสในการชมกรุณาเปิดโหมด HD)
เดินช้า ๆ ชมเรือที่แล่นไปมาในแม่น้ำโขงมันทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก … ผมว่าแค่นี้แหละที่คนเมืองแสวงหา และเป็นอาหารจานหลักทางด้านจิตใจ ส่วนอะไรที่มันเก๋ไก๋ ฟรุ้งฟริ้งก็เหมือนผงชูรส ใส่เพื่ออยากให้ติดใจ แต่มากไปหรือนานไปก็ไม่เป็นผลดีทั้งกับผู้ปรุงและผู้เสพ
เดินจนค่ำก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้จะขึ้นไปชมทะเลหมอกบนภูทอก … ท้องฟ้าคืนนี้ค่อนข้างปลอดโปร่งผมเลยเดินขึ้นไปถ่ายภาพดาวบนระเบียงเหนือห้องพัก ที่รีสอร์ททำไว้สำหรับชมวิว แต่คืนนี้ไม่เปิดไฟก็เลยต้องเดินงมๆ หน่อย อิอิ
ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 5 เพื่อตื่นมาดูสภาพแสง แต่ปรากฏว่าตั้งเวลาผิดรู้สึกตัวอีกทีก็สว่างแล้ว รีบกระโจนไปเปิดม่านหน้าต่าง เห็นสายหมอกจาง ๆ ก็รีบกุลีกุจอล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมขึ้นไปบนภูทอก ดีใจมากที่มาในฤดูนี้แล้วยังมีโอกาสได้เจอหมอก (ถึงไม่เป็นทะเลได้เห็นเป็นสายก็ยังดีฟระ ผมคิดในใจ) ก้าวที่กระโดดออกจากห้องพักนี่ผมยื่นหน้าออกมาสัมผัสลมเย็น ๆ ยามเช้าก่อนเลย แต่แม่เจ้าเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ อากาศนอกห้องมันร้อนกว่าในห้องแอร์ซะอีก …
จากที่พักผมรีบขับรถตามป้ายไปเรื่อย ๆ … ใช้เวลาราว 10 นาทีก็ถึงลานจอดรถซึ่งต้องเสียค่าฝากรถ 20 บาท จากนั้นซื้อตั๋วขึ้นรถสองแถวเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนโดยเสียค่าโดยสารสำหรับขึ้นลงคนละ 25 บาท … ผมแอบลุ้นให้รถเต็มเร็วๆ เพราะผมเป็นคนแรกที่ขึ้นรถ กลัวว่าหมอกจะหมดเสียก่อน … คนขับรถเหมือนรู้ใจยอมออกรถทั้ง ๆ ที่ในรถมีเพียงผมกับแฟนแค่ 2 คน … รถค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปตามถนนลาดยางที่คดเคี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ชันมากนัก
ขึ้นไปได้สูงระดับหนึ่งก็เริ่มเห็นหมอกหนาขึ้นและอีกเพียงอึดใจก่อนถึงยอด ภาพของทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏตรงหน้าผม … โอ้ยโคตรโชคดีเลย ผมคิดในใจ เพราะจะว่าไปอากาศปีนี้ยังไม่เย็นเลย ได้เจอทะเลหมอกหนาขนาดนี้ถือว่าสุดยอดมาก
ถึงยอดภูทอกผมก็รีบตรงไปยังจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวยืนออชมบรรยากาศกันเกือบเต็มพื้นที่แล้ว นี่ถ้าผมมาถึงตั้งแต่ตี 5 คงได้มีโอกาสเก็บแสงสวยๆ แน่ๆ แต่นี่มาถึงตอนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็เลยพลาดบรรยากาศนั้นไป …
ดูความอลังการของสายหมอกกันชัด ๆ ครับ (เพื่ออรรถรสในการชมกรุณาเปิดโหมด HD)
ทะเลหมอกบนภูทอกแห่งนี้สวยงามไม่แพ้หลาย ๆ แห่งที่ผมเคยชมมา แถมเดินชมวิวได้รอบ 360 องศาด้วย แต่ทิศที่วิวสวยสุดก็เห็นจะเป็นฝั่งตะวันออกนี่แหละครับ
ผมใช้เวลาด้านบนเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำกับภาพสวย ๆ อยู่พักใหญ่จึงนั่งรถกลับลงมา ระหว่างลงจากยอดภูทอกก็คิดทบทวนหลายรอบว่าจะอยู่ต่ออีกคืนเพื่อแก้มือดีหรือไม่ แต่คิดอีกทีค่อยหาโอกาสมาใหม่ดีกว่า เพราะบนเส้นทางเลียบน้ำโขงยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง
ออกจากภูทอกผมมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดินอีกครั้งเพื่อหามื้อเช้าทาน และชมบรรยากาศของเชียงคานอีกแบบในช่วงเช้า … มื้อนี้เราทานกันที่ร้านโจ๊กร้านแรกที่ต้นถนนคนเดิน รสชาติใช้ได้แต่เนื้อหมูของร้านงอยโขงอร่อยกว่า … บรรยากาศยามสายค่อนข้างจะเงียบกว่าตอนค่ำ หลายร้านยังปิดอยู่ ถ้าอากาศเย็น ๆ การได้เดินรับแสงแดดยามเช้าแบบนี้คงรู้สึกดีมาก แต่ช่วงนี้อากาศยังไม่หนาวจึงรู้สึกร้อนอบอ้าว ผมจึงเดินได้เพียง 1 ใน 3 ก็สินใจกลับที่พักเพื่อเดินทางต่อไป
หลังจาก check out ออกจากที่พักแล้ว ผมเลือกเดินทางเลียบริมแม่น้ำโขงเพื่อต่อไปยังหนองคาย โดยมีเป้าหมายในใจเป็นอำเภอสังคมซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง
ออกจากเชียงคานมาไม่ไกล ก็เห็นป้ายแก่งคุดคู้ จึงขับรถเข้าไปดูหน่อย เคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ระหว่างทางเห็นร้านขายมะพร้าวแก้วเยอะเลย ราคาถูกกว่าที่ถนนคนเดินพอสมควร แอบเซ็งนิดๆ เพราะซื้อไปแล้วหลายถุง 555
เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูฝน น้ำยังคงเยอะอยู่ทำให้แก่งคุดคู้มีหินโผล่มาไม่เยอะนัก ภาพที่เห็นแทนที่จะเป็นแก่งก็เลยเหลือแค่ยอดหินโผล่พ้นน้ำนิดหน่อย ผมก็เลยชมแค่ผ่าน ๆ เท่านั้น
ผมขับรถมาเรื่อย ๆ บนเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง รู้สึกสบายกว่าตอนขับจากอุดรฯ มาเชียงคานผ่านทางเส้นด้านในเยอะเลย เพราะเส้นนี้รถน้อย ถนนส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสภาพดี แถวทิวทัศน์ก็ดีกว่าด้วย
ผมมาถึงอำเภอสังคมช่วงเที่ยง แวะถามแม่ค้าขายผลไม้ริมทางว่าทานอาหารเที่ยงที่ไหนดี ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปทานที่ร้านครัวเจ้นงค์ซึ่งอยู่ติดริมโขง … บรรยากาศที่ร้านดีทีเดียวครับ เสียแต่ว่าวันนี้อากาศร้อนจัดก็เลยทำให้ไม่สบายตัวนัก อาหารมื้อเที่ยงวันนี้เป็นเมนูสิ้นคิด กระเพราะไก่ไข่ดาว แต่สั่งปลาน้ำโขงนึ่งเพิ่มมาจานนึง … เนื้อปลานุ่มดีแต่ไม่ค่อยหวาน เทียบกับราคาผมว่าไม่ค่อยคุ้มครับ (แต่กระเพราะไก่อร่อยนะ อิอิ)
ผมตัดสินใจเลือกอำเภอสังคมเป็นจุดพักสำหรับคืนนี้เพราะเจอข้อมูลว่าที่นี่มีจุดชมทะเลหมอกสวยอีกแห่งชื่อ “ภูห้วยอีสัน” ซึ่งผู้ที่ทำให้เนินเขาริมแม่น้ำโขงแห่งนี้เป็นที่รู้จักขึ้นมาก็คือปลัดอบต. บ้านม่วง ที่นอกจากพยายามทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยแล้ว ยังได้รวบรวมข้อมูลของต.บ้านม่วงและสถานที่ท่องเที่ยวในตำบลนี้และอำเภอสังคมลงในเวปไซต์ของอบต. แค่นี้ไม่พอยังให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวไว้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วย ผมเองก็โทรหาท่านนายกอบต. เพื่อขอข้อมูลว่าสามารถขึ้นไปชมทะเลหมอกช่วงนี้ได้หรือไม่ เพราะที่หาข้อมูลมายังไม่ใช่ช่วงที่มีหมอกและรถที่จะพาขึ้นไปด้านบนก็ยังไม่มีบริการ … ท่านก็ได้ให้ข้อมูลว่าสามารถขึ้นไปชมได้ โดยติดต่อผ่านทางเจ้าของที่พักได้เลย เขาจะจัดการให้เอง ทั้งนี้ได้รับคำแนะนำให้พักที่ริมโขงริเวอร์วิวรีสอร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นภูห้วยอีสัน ส่วนทะเลหมอกคงไม่มีแต่อาจเจอหมอกเป็นสายถ้ามีฝนตก
เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ผมขับรถย้อนไปหน่อยเพื่อติดต่อห้องพักที่ริมโขงริเวอร์วิวรีสอร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอบต.บ้านม่วง … ห้องพักที่นี่เป็นบังกะโล อยู่ริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีทีเดียว
และดูเหมือนน่าจะเป็นรีสอร์ทเพียงแห่งเดียวของต.บ้านม่วงเลยถ้าผมเข้าใจไม่ผิด (มีอีกแห่งให้บริการเต้นท์) … ที่พักคืนนี้ราคาหลักร้อยครับ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากที่พักคืนก่อน แต่ WIFI ในห้องสัญญาณอ่อนหน่อยต้องมาใช้ด้านหน้า
เมื่อได้ห้องและจัดเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ผมก็โทรติดต่อเจ้าของรีสอร์ท (มีเบอร์ติดไว้ใกล้ประตูห้องพัก) เพื่อจองรถอีแต๊กขึ้นไปบนภูห้วยอีสันเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น … ซึ่งทางเจ้าของบอกว่าจะนัดให้รถมารับที่รีสอร์ทตี 5 โดยเป็นราคาเหมาเพราะมีเราแค่ 2 คน
ช่วงบ่ายวันนี้มีเวลาอีกเยอะก่อนพระอาทิตย์จะตก ผมจึงขับรถเข้าไปเที่ยวน้ำตกธารทิพย์ อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอสังคมที่น่าสนใจ …
ระหว่างทางเข้าน้ำตกมีทุ่งนาสวยๆ ให้ถ่ายภาพด้วยครับ
น้ำตกธารทิพย์อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ ขับรถแป๊ปเดียวก็ถึงที่จอดรถแล้ว และตัวน้ำตกชั้นแรกก็ใช้เวลาเดินเพลินๆ ไม่ถึง 5 นาที … ชั้นนี้มีแอ่งน้ำไม่ลึกมากกับน้ำตกความสูงพอประมาณ แต่ที่เป็น highlight เห็นจะเป็นสะพานไม้ที่ทางอบต. มาทำไว้ คงตั้งใจจะให้เหมือนน้ำตกอีกแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นฉากในภาพยนต์เรื่องรักจัง …
จากชั้นนี้เดินขึ้นบันไดแบบชัน ๆ พอเรียกเหงื่อแบบซึม ๆ ก็จะถึงชั้นที่ 2 ซึ่งชั้นนี้เป็นน้ำตกที่สูงกว่าชั้นแรกมากสวยไปอีกแบบ
อันที่จริงมีน้ำตกอีกชั้น แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่นำขึ้นไป ผมจึงไม่ได้เก็บภาพมาฝากครับ
ออกจากน้ำตก ผมขับรถไปทางตัวเภอสังคมอีกครั้ง โดยมีจุดหมายที่วัดผาตากเสื้อ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยมากอีกแห่งหนึ่งของหนองคาย …
ระหว่างทางวิวทุ่งนากับแสงช่วงเย็นสวยจนอดแวะเก็บภาพไม่ได้
ทางเข้าวัดผาตากเสื้ออยู่บริเวณน้ำตกธารทอง (อีกแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอสังคม) จุดสังเกตง่าย ๆ คือจะมีร้านค้าเยอะมาก จากแยกนี้จะต้องขับรถขึ้นเขาไปอีกอีดใจก็จะถึงจุดชมวิวแรกซึ่งสามารถมองเห็นตัวอำเภอสังคมและแม่น้ำโขงรวมถึงภูเขาทางฝั่งลาว
เลยจากจุดชมวิวแรกไปอีกเล็กน้อยก็จะเป็นบริเวณวัดผาตากเสื้อ ซึ่งที่นี่มีจุดชมวิวตรงบริเวณหอระฆังและข้างกุฏิแม่ชี ทั้งนี้การมาถ่ายภาพบริเวณวัดควรแต่งกายให้เรียบร้อยและงดใช้เสียงดังนะครับ
แสงสุดท้ายของวัน
ผมรอเก็บแสงเย็นที่นี่จนมืดจึงขับรถกลับไปยังที่พัก … คืนนี้ฟ้ามีเมฆค่อนข้างเยอะจึงไม่มีโอกาสถ่ายภาพดาว เลยรีบเข้านอนจนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนตี 4 กว่า ๆ
ผมล้างหน้าล้างตา เดินออกมาดูบรรยากาศภายนอก … อุณหภูมิยังคงเหมือนเช้าเมื่อวานคืออุ่น ๆ แต่ที่แตกต่างคือมองไปทางไหนก็เคลียร์ไม่มีวี่แววของหมอกเลย ผมจึงทำใจแล้วว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสได้พบทะเลหมอกแน่ ๆ
ผมแต่งตัวออกมารอรถหน้าห้องพัก (เหมือนจะไปเดินห้าง เพราะเป็นเสื้อตัวสุดท้ายที่มีเนื่องจากตอนมาไม่ได้คิดว่าจะไปไหนบ้าง อิอิ) .. เลยเวลาไปราว 10 นาที ผมก็ได้ยินเสียแต๊ก ๆ มาแต่ไกล เลยเข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงเรียกรถแบบนี้ว่ารถอีแต๊ก …
คุณพี่ซึ่งเป็นชาวบ้านของ ต.บ้านม่วงค่อย ๆ นำเราสู่ถนนใหญ่ เลี้ยวขึ้นเขา ซึ่งทางทุระกันดารกว่าที่ผมคิดวไว้ นี่ยังดีที่ฝนหยุดไปหลายวัน ถ้ามาหลังวันฝนตก ผมอาจต้องลงเดินลุยโคลนในชุดเที่ยวห้างเป็นแน่ (แค่คิดก็สงสารตัวเองแล้ว) … ซ้ายขวาของเส้นทางเป็นสวนยาง จนเกือบถึงจุดบนสุดจึงเริ่มเห็นไร่ข้าวโพดและมุมเปิดให้มองเห็นวิวเบื้องล่าง
เป็นไปตามที่คาดคิด เช้าวันนี้ไม่มีหมอก แถวเมฆเยอะอีกต่างหาก … มีแสงแดง ๆ ส้ม ๆ เล็ดลอดมาให้เห็นแว๊ปเดียวพอปลอบใจ จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีเทา … ผมถ่ายภาพสลับกับการตบยุงอยู่พักนึงก็ตัดสินใจบอกให้พี่คนขับพาเรากลับ … ทั้งนี้ผมมาก่อนช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว รถจึงไม่สามารถพาขึ้นไปอีกจุดหนึ่งที่อยู่สูงกว่าได้เนื่องจากสภาพเส้นทางค่อนข้างลื่นอาจเกิดอันตรายได้ เพราะทางอบต.ยังไม่ได้ทำการไถปรับปรุงสภาพผิวดิน แต่ณ ตอนนี้ผมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวแล้ว เชื่อว่า ทางอบต.และชาวบ้านคงดำเนินการทุกอย่างเรียบร้อยเพื่อต้อนรับสมาชิกชมรมคนล่าหมอกให้ได้สัมผัสภูห้วยอีสันกันอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ยังไงลองตรวจสอบกับทางอบต. ตามรายละเอียดที่ให้ไว้ข้างต้นก่อนเดินทางไปด้วยนะครับ
ปล. ด้านบนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวมีพื้นที่ให้บริการกางเต้นท์ แต่ห้องน้ำห้องท่าเป็นแบบชั่วคราว และมียุงค่อนข้างเยอะ ยังไงต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะครับ
ผมลงจากภูห้วยอีกสันกลับมายังรีสอร์ท พี่คนขับรถคิดเงินเราสองคนแค่ 300 บาท ผมนี่ตกใจเลยเพราะจะว่าไป แค่เวลานั่งรถไปกลับก็ 40 นาทีแล้ว (ถ้าจำไม่ผิดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวจะคิดเป็นรายหัวประมาณ 60 บาทต่อคน)
ทางขาลง
ถ้าไม่นับเรื่องเสียงของเจ้ารถอีแต๊กที่ดังมาก ๆ จนเป็นการรบกวนบรรยากาศแล้ว ผมว่าไอเดียนี้ดีมากทีเดียว เพราะช่วยกระจายรายได้ให้ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศพื้นบ้านจริง ๆ ที่สำคัญยังสามารถจัดระเบียบเรื่องการเดินทางได้อีกด้วย
โปรแกรมวันสุดท้ายของผมไม่มีอะไรมาก แค่กลับไปสำรวจเมืองอุดร ฯ ซึ่งจากอำเภอสังคม ขับรถบนเส้นทางเลียบน้ำโขงไปทางจังหวัดหนองคาย ก่อนถึงตัวจังหวัดเล็กน้อยก็มีแยกขวาเพื่อไปยังอุดรฯ ซึ่งถนนสภาพดี สามารถทำเวลาได้ ทำให้ผมไปถึงอุดร ฯ ในเวลาอาหารเที่ยงพอดี และแน่นอนว่าผมต้องไปเยือน VT แหนมเนือง ร้านชื่อดังอันดับต้น ๆ ของอุดรฯ เค้าล่ะ
แค่ขับรถเข้าไปก็ต้องทึ่งแล้ว เพราะระบบจัดการเค้าสุดยอดจริง มีบริการ drive through ด้วย ส่วนผมทานที่ร้านก็จอดรถแล้วเดินผ่านเครื่องจักรทำแหนมเหนือง ที่เห็นแล้วต้องบอกว่าอึ้งครับ ตอนนี้เข้าใจเลยว่าตอนมาเปิดสาขาที่ภูเก็ตบ้านผม ทำไมเขาทำสถานที่อลังการจัง
มื้อเที่ยงวันนี้สั่งมาหลายรายการ เป็นความยากลำบากพอสมควรกับการมาทานแค่สองคนแล้วอยากลองหลายสิ่ง เพราะบางเมนูไม่มีชุดเล็ก ทำให้มื้อนี้อิ่มแปร้เลย รสชาติแน่นอนว่าไม่ผิดหวัง ส่วนราคาถูกกว่าที่สาขาภูเก็ตครับ
ผมถือโอกาสซื้อของฝากจากที่นี่ จากนั้นก็เดินทางไปศูนย์วัฒนธรรมไทยจีน ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก … จุดเด่นของศูนย์แห่งนี้คือสวนจีนสวย ๆ และฝูงปลาคาร์ฟหลากสีที่ว่ายไปมาเป็นฝูงสวยงามตรึงตามาก … ยิ่งเอาอาหารไปให้มันด้วยแล้ว มันจะพร้อมใจไปรุมกันเป็นฝูงเลยทีเดียว
มาชมปลาคาร์ฟติดเทอร์โบกันบ้างครับ
ออกจากศูนย์วัฒนธรรม ผมขับรถไปหากาแฟทานที่ community mall ชื่อดังของอุดร ฯ นั่นคือ UD town จากนั้นจึงเดินทางไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับ
การคืนรถยังคงสะดวกสบายเช่นเดิม เพราะผู้เช่ารถของ AVIS สามารถจอดตรงที่จอดรถหน้าประตูทางเข้าสนามบินได้เลย จะมีพนักงานมารับรถคืน ทำให้สะดวกสบายไม่ต้องลากกระเป๋าไกล
เมื่อคืนรถเรียบร้อยแล้ว ผมจึงนำสัมภาระไปเช็คอินน์ที่เคาท์เตอร์ Thai Smile (ใช้เคาท์เตอร์การบินไทย) … สำหรับที่สนามบินอุดรฯ ซึ่งไม่มี lounge ของการบินไทย ทาง Thai Smile จะมีคูปองสำหรับทานอาหารที่ห้องอาหาร ของสนามบินบนชั้น 2 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูผู้โดยสารขาออก … แมัจะยังอิ่ม แต่ด้วยความงกจึงสั่งน้ำมะพร้าวกับขนมจีบซาลาเปามารองท้องแบบเบา ๆ (รองจนเกือบถึงคอ)
โอ้วแม่เจ้า ลืมไปว่าเรานั่ง Thai Smile Plus บนเครื่องยังมีอาหารแบบจัดเต็ม แต่บอกแล้วไงว่างก จากอุดรฯ ไปกรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ ต่อไป ภูเก็ต ผมจึงไม่พลาดทุกรายการอาหาร ทริปนี้จึงเป็นทริปที่อิ่มท้อง อิ่มใจเป็นที่สุด 555 …
การเดินทางครั้งนี้นอกจากผมจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ …. พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดหลายอย่าง สวยเกินคาดบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือรสชาติการเดินทางที่สุดแสนจะคุ้มค่า และผมได้ข้อสรุปว่าการท่องเที่ยวแบบวันต่อวันก็สนุกไม่แพ้แบบวางแผนล่วงหน้าไว้อย่างดีเช่นกัน
สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณทาง Thai Smile และ Avis อีกครั้งที่สนับสนุนเรื่องการเดินทางสำหรับทริปนี้ครับ
เที่ยวบิน Thai Smile สู่อุดร ฯ และรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://www.thaismileair.com/th/thaismile
สำหับรถเช่าของ AVIS สามารถสำรองได้ที่ http://avisthailand.com/