—————————————————————————————————————————————————-
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความ 9 ตอนของทริป เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-เชียงราย
1. อรุณสวัสดิ์เชียงใหม่ – ไหว้พระวัดพระสิงห์
2. จากแม่ริม ถึงห้วยน้ำดัง
3. เส้นทางรับน้องที่ ขุนแม่ยะ กับซากุระที่หายไป
4. เก็บตกเมืองปาย
5. ป่าสนวัดจันทร์ คำปลอบใจจากธรรมชาติ
6. แม่ตะมาน รางวัลสำหรับนักเดินทางที่ไม่ยอมถอยหลัง
7. “แม่สลอง” เมืองบนดอย
8. “ดอยตุง” หุบเขาแห่งดอกไม้
9. ดอกเสี้ยวบานที่ภูชี้ฟ้า กับ ทิวลิปที่ผาหม่น
เมื่อคิดถึงดอยตุง ผมมักจะคิดถึงดอกไม้ทุกครั้ง เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของสวนแม่ฟ้าหลวง สวนดอกไม้ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย พวกเรามาถึงดอยตุงกันเกือบเที่ยงและตัดสินใจเดินชมสวนก่อนที่จะทานข้าวเที่ยง วันนี้มีคณะทัวร์มาเที่ยวชมสวนแม่ฟ้าหลวงจำนวนมาก ผมต้องคอยหามุมที่ไม่มีคนเข้ามาในเฟรมของภาพอยู่เกือบตลอด แต่โชคดีที่สวนดอกไม้ในหุบเขาแห่งนี้กว้างขวางมาก จึงมีมุมให้ผมถ่ายภาพดอกไม้สีสันสวยงาม ทั้งคุ้นและแปลกตาได้อย่างมากมาย ไม้แต่ละต้นได้รับการดูแลอย่างดีจึงออกดอกสีสันสวยงามและมีขนาดของดอกใหญ่กว่าที่เห็นทั่ว ๆ ไปมาก
ดอกไม้นา ๆ พันธุ์ที่ล้วนสวยงามจนเลือกถ่ายภาพแทบไม่ถูก
ผมถ่ายภาพอย่างเพลิดเพลินทั้งไม้ดอกกลางแจ้ง และไม้ในร่มจำพวกกล้วยไม้ต่าง ๆ ที่หาดูได้ยาก จนเลยเวลาเที่ยงมาเล็กน้อยพวกเราจึงตัดสินใจทานอาหารมื้อกลางวันที่ร้านอาหารของโครงการหลวงดอยตุง ลักษณะของร้านอาหารก็คือร้านข้าวแกงติดแอร์ ราคาก็เลยค่อนข้างสูงสักหน่อย สำหรับรสชาติอาหารก็พอใช้ได้ครับ แต่ถ้าไม่หิวมากผมว่าหิ้วท้องลงไปหาข้าวทานบนพื้นราบดีกว่า หุหุ ๆๆ
การมาดอยตุงครั้งนี้พวกเราตัดสินใจไม่เข้าชมพระตำหนักเพราะทุกคนเคยเข้าไปแล้ว ก็เลยตั้งใจว่าจะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปเลย แต่ในระหว่างที่เดินผ่านห้องประชาสัมพันธ์ของโครงการหลวงก็เห็นป้ายโฆษณาดอกป๊อปปี้และกุหลาบพันปีที่กำลังบานซึ่งต้องเดินทางต่อขึ้นดอยไปอีกเล็กน้อย ดูจากภาพแล้วเหมือนกับรูปดอกฝิ่นที่เราเจอกันที่แม่ตะมาน ผมจึงถามเจ้าหน้าที่ว่าเจ้าดอกป๊อปปี้นี่มันคือดอกฝิ่นหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าใช่และตอนนี้กำลังบานด้วย ได้ยินปุ๊ปผมก็เลยเปลี่ยนแผนขึ้นไปดูดอกฝิ่นทันทีเพราะตอนไปถ่ายภาพที่แม่ตะมานยังไม่หนำใจ และท่าทางที่นี่คงมีจำนวนเยอะกว่าแน่ ๆ … หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้าชักจูงสาว ๆ ในทีมจนเห็นดีเห็นงามด้วยแล้วผมก็ขับรถต่อขึ้นไปบนยอดดอยตุง ซึ่งมีป้ายบอกทางเป็นระยะ ๆ … ราว 20 นาทีเราก็ถึงจุดหมายที่เป็นสวนรุกชาติซึ่งเราเห็นดอกป๊อปปี้จำนวนหนึ่งปลูกโชว์ไว้ด้านหน้า ส่วนถ้าจะเข้าไปดูข้างในต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกคนละ 50 บาท พวกเรามองหน้ากันแล้วตกลงกันว่าจะถ่ายภาพกันด้านหน้านี่แหละ เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองงบประมาณอีกและเวลาก็ค่อนข้างจำกัดซะด้วย พอมาดูใกล้ๆ แล้วผมพบว่าดอกป๊อปปี้มันไม่เหมือนกับดอกฝิ่น แม้จะดูคล้ายกันแต่ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วมันคือดอกไม้ชนิดเดียวกันหรือเป็นญาติฝ่ายไหนกันหรือเปล่า เพราะชื่อภาษาอังกฤษของฝิ่นก็ใช้ว่า Popy เหมือนกัน ใครทราบก็ช่วยอนุเคราะห์ความรู้ด้วยนะครับ
ดอกป๊อปปี้ ที่ผมเองไม่แน่ใจว่ามันเป็นญาติฝ่ายไหนของดอกฝิ่นหรือเปล่า
เมื่อถ่ายภาพกันจนไม่มีมุมให้ถ่ายอีกแล้ว ผมก็ขับรถลงดอยเพื่อมุ่งไปยัง “ภูชี้ฟ้า” จุดหมายต่อไปของเรา ซึ่งระหว่างทางก็แวะ BIG C เพื่อซื้อ memory card เพิ่มอีก 2 GB เพราะที่มีอยู่ใกล้จะเต็มมาก ๆ แล้ว ส่วนจะไป copy ลง CD เขาก็คิดแผ่นละ 50 บาท รวม ๆ แล้วต้องใช้เงิน 200 กว่าบาท ผมก็เลยตัดสินใจซื้อตัวใหม่เพิ่มตัวละ 400 กว่าบาทดีกว่าคุ้มกว่าเห็น ๆ อิอิ
ช่วงบ่ายของวันนั้นผมใช้เวลาในการขับรถมุ่งสู่ภูชี้ฟ้า ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วสำหรับการไปเยือนดอยแห่งนี้ เพราะสองครั้งแรกที่ไปยังไม่ได้มีโอกาสชมทะเลหมอกสวย ๆ ที่เคยเห็นในภาพถ่ายเลยเพราะอากาศไม่ดี ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งที่ผมหวังไว้ว่าคงจะได้ชมความงดงามของทะเลหมอกแบบสุดยอดซะที
ดอกไม้สวยๆ มองแล้วสบสยตามากๆเลยค่ะ
อารยธรรมที่ไม่ลืมเลือนที่นี่