ไปบาหลีครั้งนี้จะเรียกเป็นอุบัติทริปก็ได้ เพราะเป็นทริปที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดล่วงหน้า หุหุ … เรื่องของเรื่องคือคืนหนึ่งขณะนั่งทำงานเครียด ๆ ก็ได้ e-mail ของ Air Asia เปิดไปดูเจอตั๋วบินตรงจากภูเก็ตไปบาหลีในราคาไม่ถึงสี่พันก็เลยตัดสินใจจองเดี๋ยวนั้นเลย โดยยังไม่ได้ดูข้อมูลอื่นประกอบและยังไม่ได้ลางานด้วยซ้ำ โชคดีที่นายใจลอยยอมเซ็นต์ใบลาให้แต่โดยดี อิอิ ส่วนเรื่องที่พักและแผนการเดินทางมาจัดการเอาภายหลัง โดย search เอาจากข้อมูลที่เพื่อน ๆ เคย review ไว้ใน pantip.com เป็นหลัก
ทริปนี้ใช้เวลา 4 วัน 3 คืนด้วยกัน (ที่จริงอยากไป 5 วัน 4 คืนแต่ flight ไม่มี) โดยแผนการเดินทางของผมค่อนข้างเหมือนกับ standard ทริปบาหลีโดยทั่วไปของคนไทย ไม่กล้าแหวกแนววางแผนเองเหมือนทริปอื่น ๆ เพราะคราวนี้มีเวลาเตรียมข้อมูลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเที่ยวชมวัดและโบราณสถานสำคัญบนเกาะบาหลี รวมถึงนาขั้นบันได ทะเลสาบ และภูเขาไฟ โดยพักสองคืนแรกที่เมือง Ubud ซึ่งอยู่ ณ ศูนย์กลางของเกาะบาหลี และคืนสุดท้ายพักที่หาด Kuta เนื่องจากอยู่ใกล้สนามบินเพื่อให้สะดวกในการเดินทางกลับในวันสุดท้าย โดยตลอดทริปใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดการเดินทางผมจะสรุปไว้ตอนท้ายเพื่อเป็นข้อมูลให้กับเพื่อน ๆ ที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวนะครับ เอาล่ะเกริ่นมายาวแล้ว ได้เวลาเดินทางแล้วคร้าบ …
ตุ๊ดๆๆๆ ไม่ได้แซวใครนะครับ แต่เป็นเสียงนาฬิกาปลุกผมเอง … มันดังขึ้นตอนตีสามครึ่งของเช้าตรู่วันศุกร์ ใช่แล้วครับตีสามครึ่งไม่ใช่บ่ายสาม … 🙁 ทำไงได้ก็ flight ผมมันออกตอน 6:30 นี่นา ก็เลยต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปสนามบินให้ทันเวลา … ผมมาถึงสนามบินราวตี 4 ครึ่ง ใช้เวลา check in และผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองไม่นานก็ได้มานอนรอเวลาที่หน้า gate แล้ว (รู้งี้นอนต่ออีกสักครึ่งชั่วโมง หุหุ) … ได้เวลาขึ้นเครื่องก็ฟ้าเริ่มสว่างพอดี ภาพกลางเป็นภาพแรกของทริปนี้ขณะเดินไปขึ้นเครื่อง ภาพไหวๆ หน่อยเพราะนอนยังไม่เต็มอิ่ม อิอิ ส่วนอีกภาพด้านซ้ายก็ตอนถึงบาหลีครับ เครื่องบินที่เห็นในภาพเป็นอีกลำน่าจะมาจากกรุงเทพ ฯ … จะเห็นได้ว่าสนามบินอยู่ใกล้ทะเลเหมือนที่ภูเก็ตเลยครับ .. ส่วนภาพขวาสุด ประตูสไตล์บาหลีที่สนามบินเป็นสิ่งที่บอกว่าเราได้เปิดประตูเ้ข้าสู่บาหลีแล้วครับ
การเดินทางจากภูเก็ตไปบาหลี ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง 40 นาที ถึงบาหลีราว 11 โมงเศษ (เวลาที่โน่นเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง) ใช้เวลาตรวจคนเข้าเมืองสักพัก กว่าจะออกมาเจอคนขับรถก็ราวเที่ยงพอดี โดยรถที่มารับเป็นรถของ Kamandalu Resort & Spa ซึ่งเป็นที่พักสองคืนแรกของผม … ระหว่างทางคนขับรถก็ชวนคุยตลอด แถมด้วยข่าวดีที่ว่าบาหลีช่วงนี้ฝนตกทุกวัน ..ขนาดทำใจมาแล้วยังรับไม่ค่อยได้เลยเพราะอยากถ่ายภาพสวย ๆ หากฝนตกทุกวันอย่างนี้แย่เลย 🙁
ระหว่างเดินทาง ผมสังเกตุเห็นรถยนต์ที่บาหลีส่วนมากเป็นแบบ mini MPV อย่าง Toyota Inova หรือ Suzuki และขับเลนขวาเหมือนบ้านเรา ทำให้สามารถเช่าขับได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องพวงมาลัย แต่เอาเวลาไปเครียดเรื่องเส้นทางแทน อิอิ แล้วจะเล่าให้ฟังภายหลังนะครับว่าทำไม
เส้นทางที่ไป Ubud ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Kamandalu Resort & Spa จะต้องผ่านส่วนที่เป็นตัวเมืองซึ่งมีรถพลุกพล่าน จากนั้นถนนจะค่อย ๆ แคบลงเมื่อเข้าใกล้เมือง Ubud ซึ่งตลอดทางผมสัมผัสถึงความเป็นบาหลีตลอดเส้นทาง ทั้งสิ่งปลูกสร้างและผู้คนล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์บาหลีทั้งสิ้น ยืนยันได้ว่าผมได้เปิดประตูเข้ามาสู่บาหลีแล้วจริง ๆ ทั้งนี้เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาที่นี่ราว 1 ชั่วโมง 15 นาที .. หลังจาก check in แล้วผมก็ทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารริมสระว่ายน้ำของโรงแรม เพื่อรอเวลารถที่เช่าที่นัดรับตอนบ่าย 3 โมง … ทั้งนี้ผมขอทำรีวิวของที่พักแยกจากโปรแกรมท่องเที่ยวนะครับเพื่อให้ได้รายละเอียดที่มากขึ้น
ความจริงสถานที่ท่องเที่ยวที่วางแผนไว้สำหรับวันนี้อยู่ใกล้ ๆ สนามบิน แต่ที่ผมต้องยอมนั่งรถย้อนไปอีกครั้งก็เพราะผมตั้งใจว่าผมจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Uluwatu ต่อด้วยอาหารมื้อค่ำที่หาด Jimbaran ซึ่งถ้าไม่เข้าที่พักก่อนก็จะทำให้เวลาไม่ลงตัวนั่นเอง …
สำหรับการเช่ารถ เดิมทีผมได้คำแนะนำจาก web board ใน pantip ว่าควรเลือกใช้บริการจาก Teddy แต่เนื่องจากเขารับงานอื่นไว้แล้ว เขาจึงติดต่อเพื่อนให้โดยเขาเป็นผู้ประสานงานทั้งหมด เพื่อนของเขาคนนี้ชื่อ Leong ครับ … ได้เวลานัด Leong ก็มารอรับเราอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่สุภาพแต่ไม่ค่อยพูดครับ ถ้าไม่ถามส่วนใหญ่เขาก็จะตั้งอกตั้งใจขับรถไปเรื่อย ๆ ถ้าเพื่อน ๆ เตรียมข้อมูลมาดีใช้บริการของ Leong ก็ดีครับ แต่ถ้าต้องการข้อมูลเยอะ ๆ และไม่ค่อยแม่นเรื่องข้อมูลผมว่าใช้บริการของ Teddy ดีกว่า เพราะตลอดการเดินทาง Leong ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผมมากนัก โดยเฉพาะเรื่องการเลือกใช้บริการร้านค้าต่าง ๆ
ระหว่างทางผมแวะแลกเงินที่ศูนย์ใกล้หาด Kuta ได้ Rate 8870 IDR ต่อ 1 USD (ที่สนามบิน 8800 ต่อ 1 USD) จากนั้นก็เดินทางไปยังจุดแรกของการท่องเที่ยวบาหลีของผมก็คือ CWK Cultural Park ซึ่งเสียค่าเข้าชมคนละ 50,000 IDR (ไม่แน่ใจว่าตั๋วมีหลายแบบหรือไม่ เพราะเคยอ่านว่าเสียค่าเข้าน้อยกว่านี้) ทั้งนี้ภายในจะมีรูปปั้นครึ่งตัวของพระศิวะและครุฑขนาดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพกัน นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ใช้บริการ อาทิ ไต่หน้าผา, โหนสลิง ซึ่งผมว่าไม่ค่อยเข้ากับ theme เท่าไหร่ แต่คงต้องมีไว้เพราะลำพังรูปปั้นทั้งสองอาจจะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ .. ประเมินดูแล้วผมคิดว่าที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ และคงเป็นเพียงจุดที่ใช้เรียกเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวเท่านั้น ไม่ค่อยมีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมมากมายนัก แต่อีกประโยชน์คงเป็นสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมและการแสดงด้านวัฒนธรรมด้วย ถ้าเดาไม่ผิดไกด์ที่พานักท่องเที่ยวมาอาจจะได้ส่วนค่าน้ำร้อนน้ำชาแบ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เลยมีเหล่านักท่องเที่ยวประเภททัวร์มาที่นี่เต็มไปหมด (ไม่ยืนยันนะครับ แค่คิดเอาเอง)
บรรยากาศที่ CWK Park ครับ
ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนักก็เดินทางต่อไปยัง Uluwatu วัดที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงริมมหาสมุทร ซึ่งวันนี้มีชาวบาหลีจำนวนมากเดินทางมาทำบุญที่วัดแห่งนี้ ทำให้ต้องจอดรถค่อนข้างไกล แต่ก็โชคดีที่ได้เห็นภาพคนท้องถิ่นแต่งกายอย่างสวยงามตามประเพณี ไม่ว่าจะเป็นคนสูงอายุ, หนุ่มสาวรวมถึงเด็ก ๆ แสดงให้เห็นถึงการรักษาประเพณีอันเหนียวแน่นของชาวบาหลี
ชาวบาหลีที่สวมชุดพื้นเมืองมาทำพิธีที่วัด Uluwatu และเครื่องไหว้ที่เห็นได้ทั่วไปในบาหลี
ที่จุดชมวิวของ Uluwatu จะเต็มไปด้วยฝูงลิงที่คอยป่วนนักท่องเที่ยว ผมเองก็โดนขโมยแว่นตาโดยไม่ทันตั้งตัว กว่าจะได้คืนมาก็ต้องให้คนท้องถิ่นเอาอาหารไปแลก ถ้าใครไปที่นี่ต้องระวังมาก ๆ ครับ ถ้าเกิดมันโยนลงหน้าผาไปละแย่เลย … นี่ขนาดมาช่วงเย็น คิดว่ามันคงจะเหนื่อยแล้วนะ ที่ไหนได้ ยังมีฤทธิ์เดชมากเหลือเกิน…
บรรยากาศ Uluwatu
โชคดีที่วันนี้มีการแสดง Kecak Dance ด้วยก็เลยซื้อตั๋วเข้าไปชมเลยในราคาคนละ 70,000 IDR ซึ่งการแสดงก็จะมีส่วนคล้ายคลึงกับ Barong Dance อันโด่งดัง เพียงแต่ Kecak Dance ไม่ใช้เครื่องดนตรี แต่ใช้ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ให้เสียงประกอบการแสดง ได้อารมณ์ชนเผ่าบนเกาะดีเหมือนกัน เนื้อหาของการแสดงก็เป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม ตัวเอกก็เหมือนจะเป็นหนุมานแต่เป็น version ของบาหลี ส่วนนางเอกก็จะร่ายรำคล้ายของไทย แต่หน้าตาจะขึงขัง และการรำไม่อ่อนช้อยเหมือนของไทย
การแสดง Kecak Dance
การแสดงจบตอนแสงกำลังจะหมดพอดี ผมจึงต้องรีบมาถ่ายภาพวัด Uluwatu อีกครั้งเพื่อเก็บแสงสุดท้ายของวันก่อนจะที่จะเดินทางต่อไปยังหาด Jimbaran เพื่อทานอาหารค่ำ
ผมไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าควรทานร้านไหนดี จึงปล่อยให้ Leong นำไป โดยเขาเลือกพาไปที่ร้าน Dewata .. พอเห็นราคาในเมนูก็รู้แล้วล่ะครับว่าบวกเผื่อไว้มากมาย แต่ทำไงได้ มาแล้วก็ต้องทานแล้วล่ะเพราะหิวเหลือเกิน โดยผมเลือกปู 2 ตัว ตัวละ 1 กิโลและกุ้งอีกครึ่งกิโล รสชาติอาหารก็ไม่ได้โดดเด่นมากมาย แถมปูยังมีเนื้อน้อยมาก 🙁 ร้านแถบนี้จะอยู่ริมหาด มีการจัดโต๊ะและบรรยากาศไว้ดีพอสมควร เหมาะสำหรับคู่รักมานั่งทานกันท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก ระหว่างทานก็จะมีการแสดงการรำสไตล์บาหลี แต่ที่ผมชอบมากคือมีกลุ่มนักร้องมาเล่นกีต้าร์ ตีกลองร้องเพลงรายล้อมโต๊ะที่เรานั่งอยู่ ทำให้ลืมเรื่องราคาอาหารไปชั่วคราว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนเช็คบิลโน่นแหละว่ามื้อนี้เสียเงินไปเกือบ 7 แสน (IDR) สำหรับคนขับรถไม่ต้องห่วงเขาครับเพราะทางร้านจัดอาหารไว้ให้อยู่แล้วเพราะพาลูกค้ามาให้เชือด เอ้ย! มาใช้บริการนั่นเอง
บรรยากาศร้านอาหารริมหาด Jimbaran และ Dinner คืนแรกที่ Bali
ทานอาหารเสร็จ จ่ายเงินจนตัวเบาแล้วก็เดินทางกลับรีสอร์ทครับ โดยแวะซื้อของขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเล็กน้อยที่ Circle K – minimart ของชาวบาหลี เพราะที่นี่ไม่มี 7 eleven หุหุ
คืนแรกนี้ผมนอนหลับเป็นตายเลยครับ เพราะตื่นเช้ามากและเพลียจากการเดินทาง … โปรแกรมวันรุ่งขึ้นเป็นอย่างไร ติดตามตอนต่อไปนะครับ .. คืนนี้ส่งท้ายด้วยภาพของ Lobby ของ Kamandalu ยามค่ำคืนนะครับ
นี่เขาเรียกว่าถ่ายภาพเป็นใช่มั้ย
วิวที่เห็นตรงหน้า อาจจะไม่สวยเท่าภาพที่ถ่ายก็ได้ ใช่ไหม
9MOT : “ถือว่าเป็นคำชมนะครับ 555”
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมคร้าาาบ
ตามมาอ่านจากพันทิปค่ะ พอดีจะไปเหมือนกัน เลยขอมาศึกษาข้อมูลนะค่ะ ของเรานอนคูต้าสองคืน รออ่านตอนต่อ ๆ ไปนะค่ะ