ความเดิมจากตอนที่ผ่านมา เราเปลี่ยนจากการเช่ารถขับเอง มาเป็นการเดินทางด้วยรถไฟ โดยรถขบวนแรกเป็นรถไฟระหว่างประเทศจาก Salzburg ประเทศ Austria มุ่งสู่ Zurich ประเทศ Swiss ซึ่งใช้เวลาราว 5 ชั่วโมงเศษ โดยเราถึง Zurich ในช่วงเย็นและต้องเดินทางต่อไป Luzern ทันที เพราะเป็นต้นทาง Golden Pass Line รถไฟสายสีทองอันโด่งดังของ Swiss จุดเริ่มต้นของการรับน้องใน Swiss เริ่มขึ้นที่นี่เอง
ทันทีที่แต่ละคนหอบกระเป๋าลงจากรถไฟสายระหว่างประเทศ ผมก็มุ่งตรงไปยังเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติเพื่อซื้อตั๋วจาก Zurich ไปยัง Luzern เพราะ Swiss Pass ที่เราซื้อมานั้นเป็นแบบ 4 วัน ในขณะที่เราอยู่ใน Swiss 6 วัน จึงต้องซื้อตั๋วในวันหัวท้ายนั่นเอง แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมคำนวณมาแล้วอย่างดีว่าแบบนี้แหละประหยัดที่สุดแล้ว หุหุ (รายละเอียดคอยติดตามในบทสรุปการเดินทางนะครับ)
เป็นที่รู้กันว่ารถไฟใน Swiss นั้นตรงเวลามาก ทันทีที่ซื้อตั๋วเสร็จพวกเราทุกคนก็ต้องรีบลากกระเป๋าพะรุงพะรังไปยังชานชลาของรถสาย Luzern ที่กำลังจะออกในสองสามนาทีข้างหน้า แถมพอขึ้นรถก็ไม่มีที่นั่งแม้จะเป็นรถไฟแบบสองชั้น เพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานรถจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่กลับบ้านนั่นเอง การยืนถือกระเป๋าตลอดเส้นทางประมาณ 1 ชั่วโมงจึงเป็นการเรียกน้ำย่อยในการรับน้องของเรา หุหุ
เราถึง Luzern ราว 6 โมง ผมรีบเดินหาสถานที่แจกแผนที่เมือง Luzern ทันที เพื่อประกอบกับแผนที่อย่างย่อที่เตรียมมา ช่วยในการหาตำแหน่งโรงแรม แต่ดูเหมือนทั้ง Austria และ Swiss จะไม่มีการแจกแผนที่พร่ำเพรื่อเหมือนบ้านเรา ที่เดียวที่จะเอาแผนที่ได้ต้องเป็น information center เท่านั้น ผมไม่รีรอรีบเดินตามป้ายไป แต่ทว่าขณะนี้เลยเวลาเปิดทำการแล้ว แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ภายใน แต่ผมก็ไม่ได้รับความเห็นใจให้เข้าไปหยิบแผนที่แม้แต่น้อย … คนที่นี่ช่างตรงเวลาเสียนี่กะไร เห้อ .. กว่าผมจะได้ข้อมูลที่พักโรงแรมก็ต้องใช้ความพยายามพอสมควร และได้รับการแจ้งว่าที่พักอยู่ในระยะที่เดินไปได้ ผมจึงนำเพื่อน ๆ ลากกระเป๋าไปตามเส้นทางที่ได้รับการแนะนำ แต่ดูเหมือนระยะทางนี้หนักหนาเอาการทีเดียวสำหรับการหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ในขณะที่อากาศหนาวขนาดนี้ ผมนึกตำหนิตัวเองที่ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องระยะทางให้แน่ชัด มัวแต่ไว้ใจแผนที่ที่ถือมาซึ่งดูเหมือนระยะทางจะไม่ไกลจากสถานีมากนัก กว่าจะถึงโรงแรมก็เล่นเอาเพลียพอสมควร
คืนนี้เราพักกันที่ ETAP ซึ่งเป็นโรงแรมราคาประหยัดที่สุดสำหรับการพักใน Swiss ของพวกเรา และดูเหมือนบรรยากาศจะแตกต่างจากการพักแบบ Bed & Breakfast ที่เราเจอมาที่ Austria โดยสิ้นเชิง เพราะห้องพักที่นี่แม้จะดูสะอาดทันสมัย แต่ก็เล็กพอสมควร เตียงเสริมสำหรับคนที่ 3 ติดกับผนังอยู่เหนือศีรษะของเตียงหลัก กระจกห้องน้ำก็เกือบ ๆ จะ See Through ดีที่ผมอ่าน Review ใน TripAdvisor มาก่อนก็เลยมีการเตรียมหนังสือพิมพ์มาติดด้วย จะว่าไปแล้วมันไม่ค่อยเหมาะหากไม่ได้มาเป็นคู่น่ะครับ เพราะแม้แต่ลูกบิดเข้าห้องน้ำหรือห้องส้วมก็ไม่มีแต่เจาะเป็นรูให้นิ้วเกี่ยวแทน โอ้ว.. ไม่รู้จะประหยัดไปถึงไหน อย่างไรก็ตามที่นี่ก็มีข้อดูตรงที่เป็นโรงแรมราคาประหยัด (สำหรับ Luzern) และอยู่ในทำเลที่ดีพอใช้ และมีบริการเครื่องทำน้ำร้อนที่ข้าง ๆ lobby ทำให้มือเย็นของเราวันนี้ได้อิ่มหนำกับมาม่าอีกครั้งหลังจากต้องหยุดไปสองวันใน Salzburg อิอิ
แม้ว่า Luzern จะเป็นเพียงที่พักเพื่อใช้ต่อรถไฟสาย Golden Pass Line เท่านั้น แต่ไหน ๆ มาถึงเมืองดังขนาดนี้แล้ว และฤดู Summer แบบนี้กว่าฟ้าจะมืดก็ราว 3 ทุ่ม ผมจึงไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเฉย ๆ ชวนเพื่อนออกเดินไปยังสะพานไม้อันโด่งดังของเมือง Luzern … เราเดินผ่านร้านค้ามากมายอันเรียงรายสองข้างทางแต่บัดนี้ปิดทำการหมดแล้ว ตรงไปยังสะพานไม้อันโด่งดัง แต่ละคนหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพอย่างสนุกสนาน เดี่ยวบ้าง หมู่บ้าง คู่กับสัญลักษณ์ของเมือง Luzern แห่งนี้ …
บรรยากาศของ Luzern ยามค่ำคืน
ทริปเมือง Luzern สำหรับเรามีสั้น ๆ แค่นี้ เราเดินกลับโรงแรมเพื่อเก็บแรง เพราะพรุ่งนี้เราต้องขึ้นรถไฟสาย Golden Pass Line รอบ 7.55 เนื่องจากเรามีโปรแกรมพรุ่งนี้ยาวเหยียดตั้งแต่เช้าจรดค่ำทีเดียว หุหุ
ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว … 7 โมงตรงเราออกจากโรงแรม ซึ่งวันนี้เราใช้ Swiss Card เบ่งใน Swiss ได้แล้ว มันจึงถูกใช้ครั้งแรกเพื่อนั่งรถบัสจากหน้าโรงแรมไปยังสถานีรถไฟ โดยก่อนขึ้นเรากรอกวันที่เริ่มใช้ใน Swiss Card เพื่อบอกว่าวันแรกจากจำนวน 4 วันได้เริ่มขึ้นแล้ว (ทีแรกก็พยายามหาเครื่องสำหรับ validate ตั๋วที่ป้ายรถแต่หาไม่เจอก็เลยกรอกวันที่เองเลย)
ไปถึงสถานีรถไฟก่อนเวลารถออกพอสมควร เราจึงเริ่มมื้อเช้ากันด้วยร้านขายอาหารเช้าแบบ take away บริเวณสถานีรถไฟ ทำให้ได้รู้ว่าค่าครองชีพที่นี่สูงจริง ๆ เพราะราคานั้นเริ่มต้นที่ 3 CHF ทั้งนั้น แต่ที่พอมีเนื้อหนังหน่อยก็ราว 4-6 CHF … OMG ทำให้รู้เลยว่าอาหารที่เราอุตสาห์แบกมาจากเมืองไทยนั้นล้ำค่าจริง ๆ เพราะจนจบทริป save เงินให้เราทั้งกลุ่มหลายหมื่นทีเดียว
ได้เวลาขึ้นเรา เราก็จับจองที่นั่งกันตามสะดวก เพราะรถรอบนี้มีคนไม่เยอะนัก และหลังจากรถออกได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว ผมจึงยื่น Swiss Pass ด้วยความมั่นใจ แต่กลับโดนเจ้าหน้าที่ต่อว่าเพราะผมแยกส่วนของตั๋วออกมาจากเอกสารประกอบอื่น ๆ แถมตั๋วยังไม่ได้ Validate (ผมนึกว่าการเขียนวันที่บน Swiss Pass ก็เพียงพอแล้ว) ตอนนั้นชักใจไม่ดี เพราะกลัวจะโดนปรับค่าตั๋ว แต่เจ้าหน้าที่หน้าดุคนนั้นก็อลุ้มอล่วยให้กะเหรี่ยงอย่างเราเพราะอย่างน้อยก็แสดงความจริงในกรอกวันที่เริ่มต้นใช้ Swiss Pass แล้ว หุหุ เป็นอันว่าได้ความรู้ใหม่ว่าเอกสารที่ Agent ออกให้มาพร้อมกับ Swiss Pass นั้น ขอให้อ่านให้ละเอียดและปฏิบัติโดยเคร่งครัด และขอให้เก็บเอกสารทุกอย่างไว้ด้วยกันครับ
Golden Pass Line เป็นเส้นทางหนึ่งที่ผมรอคอย เพราะจะเป็นการนั่งรถไฟผ่านเส้นทางที่ได้เห็นบ้านเรือนของชาวสวิสตามชนบทหรือเมืองริมภูเขา ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีทองที่พร้อมใจกันออกดอกในช่วง Summer แบบนี้ … แต่เนื่องจากการขับรถใน Austria ที่ผ่านมาของเรา ก็ได้เห็นบรรยากาศคล้าย ๆ กันแบบนี้มาแล้ว แถมได้ลงไปสัมผัสแบบเต็ม ๆ ด้วย การนั่งรถชมวิวริมหน้าต่างรถไฟในช่วง Luzern – Interlaken OST ซึ่งถือเป็นช่วงแรกของ Golden Pass Line และยังไม่ใช่ Highlight จึงเป็นการชมแบบเพลิน ๆ ไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่ก็สร้างความสุขได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
วิวระหว่างทาง Golden Pass ช่วง Luzern – Interlaken ที่วันนี้ไม่สดใสนักเพราะอากาศไม่อำนวย
เรามาถึงสถานี Interlaken OST ในอีกราวสองชั่วโมงถัดมา ซึ่งผมรู้สึกหลงรักเมืองนี้ตั้งแต่แรกพบ เพราะถูกขนาบด้วยทะเลสาบสวย ๆ ทั้งสองด้าน มี Background เป็นเทือกเขาใหญ่ที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะ แถมบ้านเมืองยังดูน่ารักน่าอยู่มาก ๆ อีกด้วย … จะว่าไปผมพลาดอีกแล้วเรื่องคือ แผนที่เมือง Interlaken ที่ผมได้มาจาก website ที่พัก ดูเหมือนจะเป็นเมืองเล็กมาก ๆ แต่เอาเข้าจริง กว่าจะเดินจากสถานี Interlaken OST ไปยังที่พักก็เล่นเอาลากกระเป๋าเหนื่อยพอดี ยังดีที่อากาศตอนเช้า กับบรรยากาศสวนสวย ๆ และสวนดอกไม้สวย ๆ ตลอดทางทำให้การลากกระเป๋าของเราเต็มไปด้วยความสดชื่น
แรกพบ Interlaken ฟ้าเริ่มเปิดขึ้นแล้ว เย้ ๆ
Backpackers Villa Sonnenhof ที่พักของเราคืนนี้อยู่ระหว่างกลางสถานีรถไฟ Interlaken OST และ Interlaken West ซึ่งใช้ระยะเวลาเดินแบบสบาย ๆ จากสถานีรถไฟไปที่พักก็ราว ๆ 15 นาที … ที่ Backpackers Villas Sonnenhof มี locker ขนาดใหญ่ไว้ให้เก็บสัมภาระเพื่อรอเวลาที่จะ check in ในภายหลัง ทำให้เราไม่ต้องแบกสัมภาระไปกับการ daytrip ของเราในวันนี้ ซึ่งโปรแกรมต่อไปคือการล่องเรือในทะเลสาบ Thun โดยขึ้นจากท่าเรือติดกับสถานี Interlaken west แต่ด้วยความที่ยังไม่คุ้นกับระบบขนส่งในเมือง Interlaken (มัวแต่รอรถบัส แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่วิ่งถี่เหมือนในเมืองใหญ่ ๆ) อีกทั้งสถานี West ก็ห่างออกไปราว ๆ 15 นาทีด้วยการเดินทาง ทำให้เรือที่ออกตรงเวลายกสะพานลำเลียงคนเรียบร้อยแล้วตอนที่ผมวิ่งไปจนถึงท่าเรือ แต่ด้วยความที่ผมแสดงความตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะต้องไปให้ได้ ด้วยการวิ่งแบบที่ลืมตัวไปว่าไม่ได้ออกกำลังมาเป็นปี ๆ แล้ว เจ้าหน้าที่จึงนำสะพานลงมาอีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเต็มใจและรอให้พวกเราที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นเรือกันจนครบทุกคน
งานนี้หอบแฮกน้ำลายเหนียวกันทุกคน แต่พอได้ขึ้นเรือและนั่งพักจนหายเหนื่อย ก็ยิ้มร่ากันทุกคน เพราะเช้าอันอากาศสดใสแบบนี้ วิวทะเลสาบช่างสวยเหลือเกิน ผมถ่ายภาพสลับกับการถ่ายภาพ VDO และสูดหายใจจนชุ่มปอด ให้คุ้มกับที่ยอมวิ่งแบบลืมอายุมาขึ้นเรือ หุหุ
บรรยากาศการล่องเรือในทะเลสาบ Thun
ที่จริงโปรแกรมการล่องเรือแบบเต็ม ๆ จะไปสิ้นสุดที่สถานี Thun ซึ่งเป็นปลายอีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ แต่เราเลือกที่จะลง ณ สถานี Spiez เพื่อขึ้นรถไฟต่อไปยังโปรแกรมถัดไปของวันนี้ เพราะการได้นั่งชมวิวทะเลสาบพร้อม ๆ กับทานอาหารเที่ยงไปด้วยเพียงชั่วโมงเศษก็ทำให้เราดื่มอิ่มเอมกับความงามของทิวทัศน์รอบ ๆ ทะเลสาบมากพอแล้ว
หลังจากลงจากท่าเรือ เราต้องทำเวลาเพื่อไปขึ้นรถไฟให้ทันในเที่ยวที่ผมกำหนดไว้ ซึ่งก็ทำให้พวกเราต้องออกแรงกันอีกแล้ว เพราะเส้นทางจากท่าเรือขึ้นไปบนสถานีก็ค่อนข้างไกลแถมเป็นเนินซะด้วย โชคดีที่เรามีเวลาราว 30 นาที จึงมีเวลาพอที่จะทำให้เรายังมาทันขึ้นรถไฟขบวนที่ต้องการแบบฉิวเฉียดไปไม่กี่นาที
รถไฟออกจากสถานี Speiz นำเราไปสู่สถานี Frutigen เพื่อให้เราต่อรสบัสไปยัง Blausee จุดหมายต่อไปของเราในวันนี้ ซึ่งเรารับรู้ได้เลยว่า ทางการสวิสได้จัดเตรียมระบบขนส่งมวลชนให้ต่อเนื่องกันอย่างมาก เพราะหลังจากเราขึ้นรถบัสเพียงไม่กี่นาทีรถก็ออกเพื่อนำไปยังจุดหมาย … รสบัสแล่นผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง เพียงไม่นานก็ถึงทางเข้า Blausee ทะเลสาบสีเขียวมรกตเป้าหมายของเรา
หลังจากเสียค่าธรรมเนียมค่าเข้าชมคนละ 5 CHF เราใช้เวลาเดินผ่านป่าอันร่มรื่นไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึง Blausee ที่ผมได้รับการแนะนำจากเพื่อน ๆ ใน Webboard Plan4swiss.com ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะแม้จะเป็นทะเลสาบเล็ก ๆ แต่สีของน้ำในทะเลสาบนั้นสวยงามมาก และใสจนเห็นเบื้องล่างรวมถึงฝูงปลาเทร้าส์ที่แหวกว่ายอย่างมีความสุขในทะเลสาบด้วย นอกจากนี้ยังมีเรือลำน้อยสีแดงที่คอยพานักท่องเที่ยวสัมผัสกับน้ำในทะเลสาบอย่างใกล้ชิด หรือถ้าหิวล่ะก็ที่นี่มีร้านอาหารริมทะเลสาบให้นั่งแบบชิล ๆ อีกด้วย
ความงดงามของ Blausee
ผมใช้เวลาเดินถ่ายภาพรอบทะเลสาบถ่ายภาพอยู่พักใหญ่ และไม่ลืมที่จะแวะไปดูบ่อเลี้ยงปลาเทร้าส์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย แต่ละตัวนั้นอ้วนพีน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง อิอิ
เรามีเวลาอยู่ที่นี่ราวชั่วโมงเศษ ก็ได้เวลานั่งรถบัสกลับไปยังสถานี Frutigen ตามที่ plan ไว้เพื่อต่อรถไฟไปยังเมือง Bern แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีการปิดถนนเพื่อซ่อมถนนหรือเกิดอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง ทำให้รถติดยาวเหยียดและถ้ารอจนรสบัสผ่านไปได้เราต้องตกรถไฟขบวนที่กำหนดไว้เป็นแน่ แต่ดูเหมือนคุณลุงคนขับรถบัสคงเข้าใจเราเป็นอย่างดี และโดยไม่ต้องบอกสักคำ แกเดินไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ที่ปิดถนนอยู่ แล้วให้พวกเราลงจากรสบัสเพื่อขึ้นรถพยาบาล นำพวกเราไปส่งยังสถานีรถไฟได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ตื่นเต้นประจำวันนี้ แต่ก็ได้ทำให้รับรู้ได้ถึงความรับผิดชอบของชาวสวิสที่มีต่อนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา
Bern เป็นโปรแกรมปิดท้ายสำหรับวันนี้ แม้ว่าเวลาในช่วงเย็นเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการเที่ยวเมืองหลวงของ Swiss แห่งนี้ แต่ภายใต้ระยะเวลาอันจำกัดของพวกเรา และจุดประสงค์ของผมที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติมากกว่า เราจึงมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก จะว่าไปแล้วก็สงสารสาว ๆ ในคณะที่ยังไม่ได้ shopping กันแบบเต็มที่เลย แต่ผมก็คิดในแง่บวกล่ะครับว่าช่วยประหยัดเงินให้พวกเธอ หุหุ
เมื่อมาถึงเราก็มุ่งตรงเข้าไปยัง information center เพื่อขอรับแผนที่ และก็ตื่นตาตื่นใจกับเมือง Bern ไม่น้อย เพราะที่นี่ดูพลุกพล่านเหลือเกิน ก่อนที่จะเดินบนถนนสาย old city อันโด่งดัง ผมได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าว่าถ้าจะชมวิวในมุมสูงของเมือง (ตามที่มักเห็นในภาพถ่าย post card ของเมือง bern) ให้ขึ้นไปที่ Gurten Bahn แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด เพราะจุดที่เจ้าหน้าที่แนะนำอยู่ห่างเมืองออกไปค่อนข้างมาก และต้องเสียเงินค่าขึ้นรถรางอีกคนละ 5.5 CHF ที่สำคัญมันอยู่ไกลเกินกว่าจะได้มุมสวยๆ แบบใน post card อีกทั้งกว่าจะกลับมาถึงตัวเมือง Bern อีกครั้ง ร้านค้าต่าง ๆ ก็พากันปิดหมดแล้ว ทำให้พวกเราไม่ได้เสพความเป็น Bern ตามที่คาดหวังไว้สักเท่าไร
จุดชมวิวที่ Gurten Bahn และ บรรยากาศเมือง Bern
ในเมื่อร้านต่าง ๆ พากันปิดตั้งแต่ 1 ทุ่ม เราจึงตัดสินใจว่าจะนั่งรถรอบที่เร็วที่สุดกลับ แต่ต้องหาอะไรทานก่อนเพราะถ้าไปถึง Interlaken ตรงปลายทาง ร้านค้าต่าง ๆ คงปิดหมดแล้ว ก็ได้ Mc Donald และ ร้าน Suisee Grill ในสถานีรถไฟช่วยชีวิตไว้ แต่นั่นก็ทำให้เราต้องวิ่งจ้ำอ้าวขึ้นรถไฟแทบไม่ทันปิดท้ายรายการทัวร์อันแสนทรหดวันนี้
วิวระหว่างทางขณะนั่งรถกลับจาก Bern ไป Interlaken และบรรยากาศของ Interlaken ยามค่ำคืน และปิดท้ายด้วยภาพของห้องพักที่ Backpackers Villa Sonnenhof
แม้จะเหน็ดเหนื่อยจาก 24 ชม. แห่งการรับน้องใน Swiss ที่ทุกนาทีมีความหมายและต้องวิ่งหลายรอบเพื่อให้ทันรถไฟ แต่เมื่อมาถึง Interlaken ร้านค้าของฝากบางร้านยังไม่ปิดทำการ วิญญาณ shopping ของสาว ๆ จึงเข้าสิงอีกครั้งและไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้ เพราะอัดอั้นมาหลายวันแล้ว 555 ผมก็เลยให้สาว ๆ shop กันตามสะดวกในขณะที่ค่อย ๆ เดินกลับที่พักของเราในคืนนี้
ถ่ายรูปได้สวยจังเลยครับ