Select Page

Belgium – ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ ช็อกโกเลต กับ วัฟเฟิล

ความเดิมจากตอนที่แล้ว (เปิดทริป … ท้าลมหนาวที่เนเธอร์แลนด์) … เราขับรถออกจาก Amsterdam หลังจากใช้เวลา 3 วันในการเที่ยวไปยังเมืองสำคัญต่าง ๆ ของ Netherlands … ระยะทางจาก Amsterdam ไปยังเมือง Ghent (Gent ในภาษา Dutch) นั้นราว 250 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ซึ่งต้องขับรถผ่านเมือง Antwerp ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศนี้ แต่เราก็ไม่ได้แวะเพราะเกรงว่าจะถึงที่พักค่ำเกินไป (อันที่จริงแอบกลัวสาว ๆ จะช็อปปิ้งเพิ่มแล้วไม่มีที่จะนั่ง อิอิ)

GPS นำเรามาถึงยังที่พักช่วงเย็นยังพอมีแสงให้ถ่ายภาพได้ เราจึงจอดรถไว้ในโรงรถของบ้านพักที่จองผ่าน Airbnb.com ชื่อว่า Design Breakfast เป็นห้องที่ศิลปินเจ้าของบ้านแบ่งเช่าบนชั้น 3 ของตึก (ที่โน่นเขาจะเรียกว่าชั้น 2 เพราะชั้นล่างถือเป็น basement ไม่นับชั้นลอยอีกต่ะหาก) … แน่นอนว่าห้องพักโดยเฉพาะผนัง Design ได้น่ารักสมกับเป็นบ้านศิลปิน แต่ละห้องจะมี Theme เป็นของตัวเองน่ารักดี เสียก็ตรงที่ห้องน้ำมีเพียงห้องเดียวต้องใช้ร่วมกันทำให้อาจเสียเวลานิดหน่อยในช่วงเช้า … หลังจากขนสัมภาระขึ้นห้องแล้ว ผมจึงชวนเพื่อน ๆ เดินเท้าเข้าไปในย่านเมืองเก่าซึ่งห่างออกไปราว 15 นาที … วันนี้เรามีสมาชิกมาสมทบเพิ่มอีกหนึ่งคนทำหน้าที่เดินนำไปยังจุดท่องเที่ยวในเมืองเก่าเพราะได้เดินทางมารอพวกเราหนึ่งวันล่วงหน้าทำให้มีเวลาเข้าไปสำรวจเมืองก่อนแล้ว 1 รอบ

อากาศที่ Ghent หนาวเย็นไม่แพ้ Netherlands และดูเหมือนฟ้าจะไม่ค่อยเป็นใจนักในการถ่ายภาพเย็นวันนี้เนื่องจากมีเมฆเต็มไปหมด … เมื่อเข้าย่านใจกลางเมืองเก่าจะเห็นโบสถ์วิหารสูงใหญ่อลังการมีลวดลายปูนปั้นซับซ้อนตามแบบศิลปแบบโกธิค รวมถึงหอคอยประจำเมือง ( The Belfry Tower ) … และจุด Highlight ของที่นี่ก็อยู่บริวเณนี้ตรงสะพาน St. Michael ซึ่งสามารถมองเห็น St. Nicholas และ St. Michael รวมถึงตึกเก่า Graslei and Korenlei อันโด่งดังด้วย

ระหว่างรอแสงให้เหมาะกับการถ่ายภาพช่วงค่ำและรอให้อาคารต่าง ๆ เปิดไฟ ผมเดินเลยจุดนี้ไปยังปราสาท Gravensteen เพื่อเก็บภาพก่อนเพราะอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งนี้ปราสาทนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ริมคลอง ในย่านเมืองเก่า นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องแวะ หากต้องการเข้าชมภายในก็สามารถทำได้แต่มีค่าใช้จ่ายตามธรรมเนียม หุหุ

เก็บบรรยากาศทั่วไปก่อนถ่ายภาพที่มุมมหาชน

ผมเดินเก็บภาพหลายๆ มุมของตึกเก่า ๆ บริเวณนั้นจนแสงสีน้ำเงินช่วง Twilight เริ่มปรากฏจึงเดินกลับมาเก็บภาพริมน้ำตรงบริเวณสะพาน St. Michael ซึ่งหมายตาทำเลไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาแล้ว … แสงสีเหลือง ๆ ของตึกเก่า ๆ สะท้อนลงบนผิวน้ำกับบรรยากาศยามค่ำที่ค่อนข้างเงียบของ Ghent ในวันนี้ยิ่งทำให้เมืองนี้ดูมีเสน่ห์และขลังมากยิ่งขึ้น ตึกเก่าสไตล์คลาสสิคที่อยู่รายล้อมทำให้ผมถ่ายภาพเพลินสมใจเลยทีเดียว

วิวสวย ๆ บริเวณมุมมหาชนที่ St. Michael

ระหว่างที่ผมเก็บบรรยากาศอยู่ เพื่อน ๆ ก็เลือกร้านอาหารตรงบริเวณนั้นฝากท้องมื้อค่ำของเราวันนี้ … นับเป็นอีกหนึ่งมื้อหรูของเราที่เลือกใช้บริการห้องอาหารในย่านนักท่องเที่ยว แน่นอนว่าสนนราคาแต่ละจานก็สูงหน่อยแต่รสชาติก็สมน้ำสมเนื้อ โดยเมนูเด็ดที่เราไม่พลาดก็คือหอยแมลงภู่อบนั่นเอง ยืนยันว่าของเขาอร่อยสมคำล่ำลือจริง ๆ หุหุ

หลังจากอิ่มหนำจากมื้อแรกใน Belgium กันแบบ hi-so แล้วก็เดินฝ่าลมหนาวกลับไปยังที่พัก ในใจผมก็แอบลุ้นว่าอากาศพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรหนอ เพราะเมืองต่อไป “Bruges” ถือเป็น hi-light ของ Belgium เลยก็ว่าได้ ถ้าอากาศเป็นแบบนี้ล่ะก็เสียดายแย่ …

ตี 5 ครึ่งผมตื่นขึ้นมาเปิดม่านดูสภาพอากาศ กะไว้ว่าถ้าฟ้าเปิดจะยอมเดินฝ่าลมหนาวไปถ่ายภาพในย่านเมืองเก่าอีกครั้ง แต่เมฆที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ทำให้ผมต้องกลับมาล้มตัวนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ต่อ … (ถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าที่เปิดม่านหน้าต่างนั่นมันฝันไปเพราะตื่นไม่ไหว หรือตื่นขึ้นมาจริง ๆ อิอิ)

อาหารเข้าที่ Design Breakfast ถูกจัดเตรียมแบบง่าย ๆ ณ ห้องครัวชั้นล่างของตึก … หากเป็นฤดูร้อนพวกเราคงได้ออกไปนั่งรับแดดอุ่น ๆ กันที่สวนหลังบ้าน แต่อากาศช่วงนี้หากออกไปนั่งคงขากรรไกรแข็งเคี้ยวอะไรไม่ได้แน่ เพราะมันหนาวเหลือเกิน ยิ่งวันนี้ฟ้าปิดไม่มีแดด เทอร์โมมิเตอร์ในร่างกายผมบอกว่าอุณหภูมิภายนอกคงไม่เกิน 4 องศาเป็นแน่แท้

Bruges จุดหมายของ day trip วันนี้ห่างจาก Ghent ไปเพียง 50 กม. โดยประมาณ เราจึงใช้เวลาราว 1 ชม. ก็มาถึงจุดหมาย .. เดิมทีผมตั้งใจจะจอดรถไว้ที่ P+R นอกเมืองแล้วนั่งรถบัสฟรีเข้าไปย่านเมืองเก่า เพราะดูแล้วประหยัดกว่าจอดรถใจกลางยานเมืองเก่ามาก แต่เจ้า GPS ที่ติดรถซึ่งผมใช้ในการเดินทางใน Netherlands, Belgium และ Luxembourg กลับไม่ยอมรับพิกัดที่ผมเตรียมมาจากเมืองไทย ก็เลยต้องเดาชื่อของที่จอดรถใส่ลงไปทำให้ท้ายที่สุดมันนำเราผ่านถนนเส้นเล็ก ๆ ที่พื้นถนนเป็นหินตามสไตล์เมืองเก่ายุโรปเข้าไปจอดใกล้กับใจกลางเมืองเก่า และแน่นอนว่าต้องเสียค่าที่จอดรถ 8.7 Euro (แบบเหมา 24 hrs) แพงกว่าด้านนอนที่คิดราคา 3.5 Euro แต่เมื่อหารกัน 5 คนก็ถือว่า ok ครับ

จากที่จอดรถเดินไปไม่นานก็ถึงจัตุรัสใจกลางเมือง ซึ่งอากาศหมอง ๆ ของเช้าวันนี้ไม่ค่อยกระตุ้นต่อมถ่ายภาพของผมสักเท่าไหร่ ผมเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ แบบเนิบ ๆ สายตามองหาร้านวัฟเฟิลมาทานให้หายหนาว และก็ได้ลองวัฟเฟิลราดช็อกโกเลตของ Belgium ตรงร้านใกล้ ๆ จัตุรัสนั่นเอง … ถ้าว่ากันตรง ๆ ผมชอบแบบกรอบนอกนุ่มในของบ้านเรามากกว่าเพราะที่โน่นด้านในมันเหนียว ๆ หนุบ ๆ ยังไงพิกล แต่ก็เห็นคนอื่นเขาทานกันอร่อยดี สงสัยผมผิดปกติหรือไม่ก็เป็นพวกรสนิยมไม่ถึง อิอิ

บรรยากาศเมือง Bruges ครึกครื้นกว่าเมือง Ghent มากทีเดียว อาจเป็นเพราะส่วนของเมืองเก่ามีพื้นที่ใหญ่และหลากหลายกว่า รวมถึงเป็นเมืองมรดกโลกด้วยจึงทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาที่นี่มากเหลือเกิน … ผมใช้แผนที่ซึ่ง print มาจากเมืองไทยเดินนำเพื่อน ๆ ไปยังจุดขึ้นเรือชมเมืองกัน แต่เนื่องจากฟ้ายังปิดมาก ๆ ก็เลยตัดสินใจทานมื้อเที่ยงกันเร็วหน่อยเพื่อดึงเวลาโดยหวังว่าอากาศจะดีขึ้น … เราเลือกร้านอาหารจานด่วนแถว ๆ ท่าเรือทานกัน ระหว่างทานก็แอบอธิษฐาน (เป็นภาษาอังกฤษ) ให้อากาศดี เพราะเมื่อคืนสวดมนต์เป็นภาษาบาลี พระที่นี่อาจไม่เข้าใจ อิอิ …นี่ถ้าใช้ภาษาดัชหรือภาษาฝรั่งเศสได้ด้วยจะเอาให้ครบทุกภาษาเลยทีเดียว ฮึ่ม

ได้ทานเฟรนไฟรด์ร้อน ๆ ที่หลายคนบอกว่ามีต้นกำเนิดมาจากเบลเยี่ยมนี่เอง (ไม่ใช่ฝรั่งเศส) ช่วยบรรเทาความหนาวได้หน่อย ก็จำใจต้องลงเรือชมเมืองกันทั้ง ๆ ที่ฟ้ายังคงปกคลุมไปด้วยเมฆ … เรือนำคณะของเรา (พูดเหมือนเรือส่วนตัวแต่อันที่จริงรวมถึงนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ด้วย ไม่ได้ VIP ขนาดเหมาลำ อิอิ) ล่องไปตามลำคลองที่ไหลคดเคี้ยวรอบตัวเมือง มุมมองจากเรือทำให้ได้เห็นความสวยงามของ Bruges ไปอีกแบบ ซึ่งยอมรับเลยว่าเมืองแห่งนี้สวยงามกว่าที่ผมคาดหวังไว้มาก Bruges ยังคงรักษาตึกรามบ้านเรือนไว้ได้อย่างดี ไม่รู้สึกว่าร้านค้าสมัยใหม่ที่มาอาศัยตึกเก่า ๆ ขายของทำให้บรรยากาศสูญเสียไป … คนขับเรือมีหน้าที่บรรยายเรื่องราวเมื่อผ่านตึกต่าง ๆ ให้ฟังแต่ผมแทบไม่มีสมาธิกับเนื้อหาเพราะมัวแต่หันกล้องไปมาถ่ายความงดงามของเมืองที่อยู่รายรอบ (จะบอกว่าฟังไม่ค่อยออกลัวเสียฟอร์ม 555) … ยิ่งเรือแล่นออกไปฟ้าก็เริ่มเปิดมากขึ้น ดูเหมือนพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองจะได้ยินคำอธิษฐานจากกะเหรี่ยงอย่างพวกเรา … บรรยากาศเหงา ๆ ทึม ๆ เมื่อช่วงเช้าค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นความอบอุ่นจากแสงแดดยามบ่ายที่ฉาบลงบนผนังอิฐที่บ้างก็เป็นสีแดงเข้ม, บ้างก็เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือไม่ก็วางสลับสีกันเป็นจุดเด่นของบ้านเรือนแถบนี้

เมืองสวย ๆ สองริมคลองขณะล่องเรือ

เรือนำเราผ่านจุดสำคัญต่าง ๆ หลายแห่ง ซึ่งผมหมายตาไว้เรียบร้อยว่าเดี๋ยวจะต้องเดินมาเก็บบรรยากาศจากเส้นทางเดินเท้าอีกรอบ อาคารแต่ละแห่งสวยคลาสสิคมาก เรียกได้ว่าเงิน 8 Euro ที่จ่ายไปสำหรับครึ่งชั่วโมงนั้นคุ้มค่าจริง ๆ

ขึ้นจากเรือเรียบร้อยก็ได้เวลาชมเมืองกันอีกครั้ง แต่รอบนี้วิญญาณช่างภาพเข้าสิงเต็มตัวเพราะแดดอุ่น ๆ แบบนี้มันทำให้อะไรๆ รอบตัวสวยไปหมด อุปสรรคอย่างเดียวเห็นจะเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เยอะจนหามุมถ่ายยากหน่อยเท่านั้นเอง ..

เดินชมเมือง

ผมใช้เวลามากเป็นพิเศษที่ Begijnhof หรือสำนักแม่ชีของเมือง Bruges ที่ภายในมีสวนเล็ก ๆ ดูร่มรื่นแถมด้วยดอกนาซีซัสสีเหลืองอ่อนที่กำลังเริ่มผลิบานสวยงามมาก ๆ และใกล้ ๆ กันก็จะเป็น Minnewaterpark ที่มีหงส์มาเล่นน้ำอยู่เต็มไปหมด ช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นรมย์มากขึ้นไปอีก … นอกจากการเดินและล่องเรือชมเมืองแล้ว ยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกนั่นคือนั่งรถม้าชมเมือง เสียดายที่ผมไม่ได้ลองและไม่ได้ถามราคาด้วย แต่คิดว่าค่าใช้จ่ายคงแพงเอาการอยู่เพราะม้าที่นี่ตัวใหญ่น่าจะกินอาหารจุเลยต้องการค่าแรงเยอะ อิอิ

เดินชมเมืองกันจนหนำใจแล้วก็ได้เวลาปล่อยลูกทัวร์ (โดยเฉพาะสาว ๆ) เข้าร้านช็อปปิ้งที่แอบหมายตากันตั้งแต่ยังไม่ทันจอดรถ แน่นอนว่ามาเบลเยียมทั้งทีก็ต้องไม่พลาด Kiplink ซึ่งก็ไม่เสียเที่ยวครับ สาว ๆ ของเราจัดเต็มซื้อกันไปคนละหลายใบ เพราะราคาถูกกว่าเมืองไทยโขอยู่ นี่ถ้ารถยังมีที่ว่างอีกก็คงซื้อกันมากกว่านี้ 555

กลับมาถ่ายภาพบริเวณจัตุรัสอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้าฟ้ายังไม่เปิด

หลังจากซื้อของกันเสร็จสรรพก็เข้า super market เพื่อจับจ่ายอาหารสดเพิ่มเติม เพราะที่เมือง Ghent ที่พักของเรานั้นไม่มี super market อยู่ใกล้ ๆ เลย … หลังจากนั้นก็ขับรถกลับโดยผมมีโปรแกรมเข้าไปถ่ายภาพในเมือง Ghent อีกครั้งเพราะดูวี่แววแล้วอากาศวันนี้ดีกว่าเมื่อวานมาก … ระหว่างทางฟ้าที่ใสกริ๊ปที่เมือง Bruges เริ่มเปลี่ยนเป็นเมฆมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อขับเข้าใกล้ Ghent แต่โชคดีตรงที่มันไม่ได้เป็นเมฆฝนหมอง ๆ เหมือนเมื่อวานแต่เป็นเมฆแบบขนแกะสลับกับฟ้าใส ๆ … ผมเร่งทำเวลาขับรถเข้าเมืองเพราะกลัวแสงจะหมดเสียก่อน และยอมเข้ามาจอดรถในที่จอดรถสาธารณะแบบหยอดเหรียญในเมือง แต่ก็คุ้มค่ามากเพราะแสงสีทองช่วงเย็นสวยมากจริง ๆ นับเป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสุขมากกับการเดินทางและถ่ายภาพ …

เก็บภาพฟ้าสวย ๆ ที่เมือง Ghent อีกครั้ง

และนี่เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าเบลเยี่ยมนั้นไม่ได้มีดีแค่ช็อกโกเลต กับ วัฟเฟิล อย่างที่หลายคนเข้าใจ

เช้าวันถัดมาเป็นวันที่เราจะเดินทางต่อไปยังประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับ Belgium ได้แก่ Luxembourg โดยเราจะแวะเที่ยว Brussel เมืองหลวงของ Belgium กัน … ทั้งนี้ผมเลือกจอดรถที่ Atomium ซึ่งมีประติมากรรมรูปโมเลกุลขนาดใหญ่ (ขอใช้ศัพท์แสงให้สมกับที่จบเคมีหน่อย) อยู่ชานเมือง Brussel เพื่อเลี่ยงการขับรถเข้าเมือง และเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับเจ้า Atomium ด้วย

เก็บภาพที่ Atomium เป็นที่ระลึกแล้วแวะัประตูชัยในเมือง Brussel

จากที่จอดรถเดินมาสถานีรถไฟเข้าเมืองก็ไม่ไกล นับเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยว Brussel แบบไม่ต้องพะวงกับการขับรถไปหาที่จอดรถในเมืองใหญ่อย่าง Brussel … เราเลือกลงรถไฟทีป้ายใกล้ประตูชัยของเบลเยี่ยมเพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึก จากนั้นก็ต่อรถไปยัง Royal Palace แล้วเดินต่อไปยังศูนย์กลางสำคัญของเมือง Brussel ซึ่งเรียกว่า Grand Place อันได้ชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป … ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมเมือง รวมถึงเหล่าศิลปินที่มาแสดงความสามารถต่อหน้าสาธารณชน … แต่ละอาคารนอกจากจะใหญ่โตแล้วก็ยังถูกตกแต่งอย่างสวยงามสมคำล่ำลือจริง ๆ

ตึกสวยงามใจกลาง Brussel

จากจัตุรัสเราใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อเดินหา Manneken-Pis เจ้ารูปปั้นเด็กตัวน้อยยืนฉี่ อีกหนึ่ง Signature ของ Brussel …. แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเพียงรูปปั้นเล็ก ๆ มุมตึก แต่พอเจอกับของจริงก็ยังทำใจไม่ได้กับขนาดของมัน ไม่ใช่ขนาดจู๋นะครับอย่าเข้าใจผิด หมายถึงขนาดรูปปั้นมันเล็กจนไม่น่าจะเป็น The must ของเมืองได้ แต่ก็นั่นแหละมันน่ารักแบบทะเล้นหน่อย ๆ นี่เองก็เลยทำให้มีคนมามุงดูกันไม่ขาดสาย รวมถึงกะเหรี่ยง Thailand อย่างพวกเรา

เราใช้เวลากันในเมือง Brussel กันพอสมควรแล้วก็ได้เวลานั่งรถไฟกลับไปที่จดรถเพื่อเดินทางต่อไปยัง Luxembourg … อันที่จริงจะว่าไปก็ไม่เชิงเพราะจุดหมายของเราวันนี้อยู่ที่เมือง Arlon ซึ่งยังอยู่ในเขตประเทศ Belgium แต่ห่างจาก Luxembourg เพียง 30 กม.กว่า ๆ เท่านั้น … ที่ผมเลือกที่นี่เพราะไม่มีแผนถ่ายภาพในเมือง Luxembourg ตอนเช้า จึงเลี่ยงที่จะพักในเมืองซึ่งหาที่พักยากและราคาแพงกว่า.. Arlon ซึ่งอยู่ตรงชายแดน Belgium และ France จึงเป็นคำตอบที่ลงตัว

ที่พักวันนี้เป็นแบบ Bed & Breakfast ที่เจ้าของบ้านแบ่งห้องให้เช่า … บ้านอาจจะไม่กว้างขวางมากนัก แต่เจ้าของบ้านอัธยาศัยดีและบ้านสะอาดเรียบร้อยมาก แถมมีครัวกับห้องนั่งเล่นให้เราได้ใช้อีกด้วย นับว่าคุ้มราคามากทีเดียว สำหรับรายละเอียดบ้านพักที่นี่ก็อ่านได้จากข้อมูลทริปตาม link นี้นะครับ … และคอยพบกับตอนต่อไป ที่ผมจะพาไปเที่ยวประเทศเล็ก ๆ ที่ชื่อ Luxembourg ครับ


4 Comments

  1. S. Wong

    เขียนริวิวได้ดีน่าติดตามมากค่ะ ขอให้นำภาพสวยฯและบทความมาเล่าสู่กันฟังอีกนะค่ะ

  2. Thitipong Kingkaeo (9MOT)

    9MOT : ขอบคุณคร้าบ

    รีวิวเห็นภาพตาม ภาพถ่ายสุดยอดครับ ขอบคุณครับ

  3. lpnah

    รีวิวเห็นภาพตาม ภาพถ่ายสุดยอดครับ ขอบคุณครับ

  4. BIANSA

    สวยมั๊กๆๆๆๆ