ช่วงเวลาก่อนเดินทางของทริปนี้ก็ยังคงเหมือนกับทริปก่อน ๆ ที่ใกล้วันเดินทางจะต้องเช็คสภาพอากาศ .. สถานการณ์ดอกไม้ (ว่าบานหรือยัง) และยิ่งใกล้วันก็ยิ่งหวั่นใจเพราะอากาศไม่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ Spring หรือฤดูใบไม้ผลิแม้แต่น้อย อุณหภูมิที่ปกติแล้วช่วงต้นเดือนเมษาจะเลย 10 องศาแล้ว แต่ปีนี้วิ่งอยู่ราว ๆ 1-2 องศาเท่านั้น แถมลมแรงทำให้ความรู้สึกเหมือนอุณหภูมิติดลบ … ผมแจ้งข้อมูลที่กับเพื่อนร่วมทริปทุกคน ทำให้แต่ละคนต้องขนเครื่องกันหนาวกันเต็มพิกัด ส่วนผมนะหรือส่วนใหญ่เป็นเสื้อยืด (สวมใส่สบายกับอากาศร้อนๆ ของเกาะภูเก็ต) มีเพียงเสื้อเจีคเก็ตที่เน้นเท่ห์แต่ไม่เน้นกันหนาวตัวเดียว กับเสื้อลองจอน 1 ตัว กะว่าไปถึงอุณหภูมิคงสูงขึ้นไม่ตรงกับที่พยากรณ์ไว้ จะได้หัวเราะเพื่อนๆ เป็นภาษาพม่าให้สะใจ … แต่พอเดินออกจากเครื่องบินเข้าสู่งวงเท่านั้นแหละก็ได้สำนึกว่า กรูคิดผิดซะแล้วววว ..
เครื่องบินของ EVA air นำพวกเราบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ท่าอากาศยาน Schiphol เมือง Amsterdam ประเทศ Netherlands ราว 20:20 ช้ากว่ากำหนดการราว 1 ชม. … พิธีการด้านศุลกากรที่นี่ไม่ยุ่งยากและเข้มงวดนัก ใช้เวลาไม่นานนักก็ออกมาพบกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทรถเช่า และนำเราไปรับรถที่จอดรออยู่แล้วบริเวณหน้าอาคารผู้โดยสาร … ทันทีที่เดินออกจากอาคาร … โอ้วแม่เจ้า ทำไมมันหนาววววขนาดนี้ฟะ …. ผมจัดแจงเรื่องเอกสารอย่างรวดเร็ว เซ็นต์รับรถด้วยอาการสั่นเทาเหมือนเป็นไข้ป่า (ไม่เคยเป็นแต่คิดว่าคงอาการคล้าย ๆ กัน) … อุณหภูมิที่หน้าปัดรถบอกไว้ว่า 2 องศา แต่ที่มันหนาวเหน็บก็เพราะลมแรงมาก เหตุผลนึงก็คงเป็นเพราะเนเธอร์แลนด์อยู่ติดทะเลนั่นเอง
รถที่เช่ามี GPS ติดรถมาด้วย … ผมให้เจ้าหน้าที่บริษัทรถเช่าช่วยป้อนข้อมูลที่พักคืนแรกให้ก่อนเพราะไม่อยากเสียเวลาศึกษาวิธีการใช้งานตอนหนาว ๆ แบบนี้ และก็อยากพักผ่อนเต็มทีเพราะ 12 ชม. บนเครื่องไม่ค่อยได้หลับเท่าที่ควร
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วสำหรับการขับรถพวงมาลัยซ้ายในยุโรป จึงไม่มีปัญหามากนักในการปรับตัว แต่ก็ต้องทำความคุ้นเคยกับเจ้า GPS เพราะต้องพึ่งพากันตลอด 12 วันของทริปนี้ … จากสนามบินสู่ที่พักใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงและที่พักก็ไม่ได้หายากนักเพราะอยู่ในเขตชานเมืองและผมศึกษาหน้าตาของบ้านที่พักจาก Google street แล้วจึงพอจะคุ้นเคยกับหน้าตามของบ้านอยู่บ้าง (รายละเอียดบ้านพักดูในบทความนี้ครับ – https://www.9mot.com/2013/04/netherlands-belgium-luxembourg-alsaceblackforest/)
หลังจากคุณป้าเจ้าของบ้านแนะนำห้องพักและข้อมูลต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับเครื่องดื่มร้อน + ช้อคโกเลตแล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยมีผมเพียงคนเดียวที่มีโปรแกรมเดินไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นกับกังหันลมที่ Zaanse Schans ซึ่งใช้เวลาเดินไปราว 15 นาที
ผมหลับ ๆ ตื่น ๆ และลุกขึ้นมาอาบน้ำราวตี 4 กว่า ๆ (ตามเวลาที่โน่นซึ่งช้ากว่าบ้านเรา 5 ชม.) ราวตีห้าครึ่งก็เดินออกไปถ่ายภาพตามแผน … เดินไปไม่ถึง 5 นาทีแทบจะเดินกลับเพราะลมพัดเอาความหนาวแทรกซึมไปทุกอณูของร่างกาย กางเกงยีนหนา ๆ ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย เสื้อก็ใส่มาแค่ 2 ชั้น … จะเดินกลับก็ไม่ได้เพราะไม่ได้ถือกุญแจเข้าประตูหลักมา (เจ้าของบ้านให้กุญแจหลักมาชุดเดียวและติดอยู่กับพวงกุญแจอีกชุดของเพื่อน ๆ) ก็เลยต้องทน ทน ทน … เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ศึกษาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเดินทาง …
ใช้เวลามากกว่าที่คิดเล็กน้อยเพราะความหนาวมันทำให้ก้าวขาไม่ค่อยออก แต่ก็เดินมาถึง Zaanse Schans จุดชมกังหันลมอันเลื่องชื่อแห่งหนึ่งของ Netherlands จนได้ … เข้าแบบนี้มีผมบ้าเดินอยู่คนเดียว เดินกัดฟันถ่ายภาพท่ามกลางอากาศหนาวรอแสงเช้าของพระอาทิตย์มาช่วยบรรเทาความหนาว … ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีส้มอ่อน ๆ ผมเดินเก็บภาพของกังหันทั้ง 5 ตัวไปเรื่อย ๆ สลับกับบรรยากาศประมาณทุ่งนาบ้านเรา แต่ไฮโซหน่อยตรงมีนกเป็ดน้ำบินลงมาเล่นน้ำไม่ขาดสาย …
บรรยากาศยามเช้าที่ Zaanse Schans สวยสมกับที่ยอมเดินฝ่าลมหนาวมา
เช้าวันนี้อากาศดีทีเดียว มีเมฆไม่เยอะแต่ฟ้าช่วงพระอาทิตย์ขึ้นไม่แจ่มเท่าที่ควรเพราะมีหมอกจาง ๆ ริมขอบฟ้าแต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ผมเก็บภาพจนพระอาทิตย์ขึ้นจึงเปลี่ยนจากถ่ายภาพกังหันไปเป็นบ้านเรือนแถวนั้นแทน แดดสีทองช่วงเช้าช่วยขับให้สีอิฐของบ้านแถบนี้ดูสวยขึ้นมามากทีเดียว … ผมถ่ายภาพจนเจ็ดโมงเศษก็เดินกลับบ้านพักเพราะนัดทานอาหารเช้าไว้ตอน 8 โมงเช้า ซึ่งเดินกลับมาถึงอาหารก็รอพร้อมอยู่แล้ว … คุณป้า Kelly เจ้าของบ้านนำขนมปังต่าง ๆ พร้อมแฮมและอาหารเช้าอื่น ๆ แบบยุโรปมาตั้งให้พวกเราได้ทานกันตามอัธยาศัย ส่วนผมรีบซดกาแฟร้อนก่อนเลยเพราะโดนความหนาวด้านนอกโจมตีมาตลอด 2 ชั่วโมงเศษ
โปรแกรมวันนี้เป็นการเที่ยวชมเมืองต่างๆ ที่อยู่บริเวณทิศตะวันตกของ Amsterdam ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองประมงหรือเมืองใกล้ทะเล รวมถึง Zaandam หรือ Zaanse Schans อันเป็นที่พักของพวกเราด้วย … เสร็จจากอาหารเช้าผมก็พาเพื่อน ๆ เดินไปตามถนนบนเส้นทางสายเดิม แม้จะมีแดดจ้าแต่ความหนาวดูเหมือนจะลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กว่าจะเดินถึงจุดชมกังหันก็เล่นเอาเพื่อน ๆ ในกลุ่มหนาวสะท้านจนอ้าปากพูดไม่ค่อยได้เลยทีเดียว … ที่ Zaanse Schans ช่วงเช้ายังมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ทำให้เรามีพื้นที่ถ่ายภาพมากมาย ไม่ว่าจะถ่ายกับกังหันลมสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ Netherlands หรือบ้านน่ารัก ๆ ในบริเวณนั้นที่ดูเหมือนจะจัดเตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ … กังหันแต่ละตัวใช้ในการทำงานที่แตกต่างกัน บางโรงงานใช้ผลิตน้ำมัน, บางโรงงานใช้ผลิตผงสี แต่ผมไม่ได้เข้าไปดูด้านในเพราะต้องเสียค่าเข้าชมและเท่าที่อ่านดูก็ไม่น่าสนใจมากนัก … นอกจากกังหันแล้วที่นี่ยังมีการสาธิตการทำรองเท้าไม้รวมถึงร้านขายชีสหลากชนิดด้วย รับรองว่าคนที่ชอบชีสได้เลือกกันอย่างจุใจทีเดียว
Zaanse Schans อีกครั้งในช่วงสาย
ชมสัญลักษณ์ของ Netherlands จนอิ่มแล้ว ก็เดินทางต่อไปยังเมืองน่ารัก ๆ ห่างไปไม่ไกล นั่นก็คือ Broek in waterland … เราถือโอกาสเอาอาหารที่เตรียมมาทานกันที่ริมทะเลสาบของเมืองนี้ เสียดายที่ปีนี้ดอกไม้ต่าง ๆ บานช้ากว่าปกติ ทำให้บรรยากาศดูไม่สดชื่นเท่าที่ควรจะเป็น แต่นกเป็ดน้ำกับนกนางนวลริมทะเลสาบก็ช่วยสร้างบรรยากาศได้ไม่น้อยเลย … เราเดินชมบ้านเรือนกับโบสถ์ประจำเมืองของที่นี่ไม่นานนักขับรถต่อไปยัง Marken อีกเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนติ่งเล็ก ๆ ยื่นออกไปในทะเล …
ทะเลสาบ – มุม highlight ของ Broek in waterland
ผมจอดรถไว้ ณ ที่จอดรถตรงทางเข้าเมือง จากนั้นพวกเราก็ได้เวลาเดินสำรวจเมืองกัน เริ่มจากร้านขายรองเท้าไม้ อีกสัญลักษณ์ของ Netherland ตามด้วยบ้านเรือหลังคาสีส้มสดใส ตัดกับฟ้าสีครามเข้มวันนี้ เดินลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงเท่าเรือที่นักท่องเที่ยวบางส่วนเลือกจอดรถไว้บนฝั่งแล้วนั่งเรือมายังแผ่นดินที่เสมือนเกาะแห่งนี้ … จะว่าไปบรรยากาศของที่นี่ก็น่าพักเหมือนกัน เพราะห้องเช่าแต่ละหลังหันหน้าเข้าหาท่าเรือริมทะเลได้บรรยากาศมาก ๆ แต่บังเอิญว่าผมเป็นเด็กเกาะก็เลยไม่ได้ปลื้มมากนัก อิอิ
Marken
ก่อนออกจาก Marken เราแวะซื้อของที่ super market ใกล้ ๆ ลานจอดรถกันเล็กน้อยสำหรับมื้อค่ำวันนี้ จากนั้นจึงเดินทางไปยังเมือง Volendam อีกหนึ่งเมืองริมทะเลของ Netherlands …
เมือง Volendam เมื่อดูจากสภาพอาคารบ้านเรือน เมืองนี้ดูจะเป็นเมืองเก่ามากกว่า Marken และก็ดูหนาแน่นมากกว่าด้วย .. หลังจากได้ที่จอดรถแล้วก็เดินสำรวจเมืองกัน โดยจุดที่น่าสนใจก็คือร้านรวงบริเวณถนนริมทะเล จุดนี้มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย, ร้านอาหารหลากหลายรวมถึงเมนูเด็ดคือปลาฮาริ่งที่ผมเองก็ไม่กล้าลองเพราะกลิ่นของมันคาวเหลือรับประทาน นอกจากนี้ยังมีนกนางนวลให้ได้ฝึกปรือฝีมือการ focus และจับจังหวะการถ่ายภาพอีกด้วย
ภาพที่ Volendam เหลือไม่กี่ภาพเพราะทำ memory หาย เลยมีมาโชว์แค่ภาพเดียว อีกสองภาพด้านล่างเป็นเมืองเล็ก ๆ ระหว่างทางจาก Marken มา Volendam
เราใช้เวลาที่นี่อยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจเดินทางเข้าเมือง Amsterdam กันเพื่อชมบรรยากาศยามเย็นของเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าให้อิสรเสรีกับพลเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่ง
จาก Volendam ผมใช้ GPS นำทางไปยังจุดจอดรถติดถนนวงแหวน (A10) รอบเมือง เพื่อใช้บริการที่จอดรถ P+R ซึ่งผมได้หาข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้แล้ว …
เนื่องจากเมือง Amsterdam มีพื้นที่ถนนและที่จอดรถน้อยมาก ประชากรจำนวนมากใช้จักรยาน ทำให้การขับรถใจกลางเมืองนั้นไม่ค่อยสะดวกนัก หากจะจอดจริง ๆ ก็อาจหาที่จอดยากหรือไม่ก็ต้องเสียค่าที่จอดรถแพงมาก เฉลี่ยแล้วชม.ละ 3 Euro ดังนั้นทางเลือกหนึ่งคือใช้บริการ P+R (Park and Ride) ซึ่งจะจัดที่จอดรถให้บริเวณถนนวงแหวนรอบนอกในราคา 8 Euro สำหรับ 24 ชม. แถมตั๋วรถโดยสารเข้าเมืองรวมถึงขากลับให้สำหรับ 5 คนต่อรถหนึ่งคัน นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับการนำรถเข้ามาจอดในเมือง
P+R นั้นมีด้วยกันหลายจุด แต่ผมเลือกที่ Sloterdijk เพราะอยู่ทิศเดียวกับที่พักของพวกเรา ทั้งนี้เมื่อจอดรถแล้วก็ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อรับตั๋วเดินทางเข้าเมือง ซึ่งมีทางเลือกเป็นรถบัส, tram หรือรถไฟก็ได้ แต่เราได้รับการแนะนำให้เลือกรถไฟเพราะเดินทางได้เร็วที่สุด สำหรับรายละเอียด P+R ดูได้ที่นี่ครับ http://www.amsterdam.info/parking/park-ride/
เราถึงตัวเมือง Amsterdam ก็เรืยกได้ว่าค่ำแล้วแต่พระอาทิตย์ในช่วงเดือนนี้ของยุโรปตกราว ๆ 2 ทุ่มทำให้เรามีเวลาเหลือถ่ายภาพกับแสงสวย ๆ ในเมืองได้อีกพักใหญ่
เราเดินทางจากสถานีรถไฟ Central station ผ่านผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ไปตามถนนที่นำไปสู่จัตุรัสกลางเมือง Dam square … เสียดายที่ช่วงนี้ยังคงเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาล Easter จัตุรัสแห่งนี้เลยกลายเป็นที่ตั้งเครื่องเล่นแนวสวนสนุกเต็มไปหมด อาคารสวย ๆ ก็เลยถูกบดบังจนถ่ายภาพไม่สะดวกเท่าที่ควร
จากนั้นก็ได้เวลาให้สาว ๆ ได้เข้าไปสำรวจราคาของเพื่อ shopping กัน ก่อนที่จะเดินลัดเลาะผ่านคูคองที่เป็นเครือข่ายทั่วเมืองผ่านย่าน red light ที่มีสาว ๆ แต่งตัววาบหวิวโชว์เรือนร่างให้ห้องกระจกเรียกลูกค้าให้เข้าไปใช้บริการได้แบบถูกกฎหมาย … จุดหมายของเราคือร้าน New King ซึ่งอยู่ติด ๆ กับ Red light อันเป็นร้านอาหารจีนชื่อดังของ Amsterdam ซึ่งก็ไม่ผิดหวังในรสชาติครับ เกี้ยวกุ้งสไตล์ฮ่องกงที่อัดแน่นไปด้วยกุ้งเป็นตัว ๆ กับเป็ด+หมูแดงจานโต ช่วยให้อาการหิวโซจากการเที่ยวทรหดตลอดทั้งวันของพวกเราหายเป็นปลิดทิ้ง
บรรยากาศยามค่ำใน Amsterdam
หลังจากสำรวจราตรีแรกของ Amsterdam กันพอหอมปากหอมคอ เราก็เดินทางกลับไปรับรถที่ P+R เพื่อเดินทางกลับสู่ที่พัก … คืนที่ 2 ใน Netherlands ไม่ทำให้ผมหลับ ๆ ตื่น ๆ แล้วเพราะเริ่มปรับเวลาได้ และการเดินทางวันนี้ก็เหนื่อยเหลือเกิน คืนนี้จึงเป็นคืนที่หลับยาวไปจนถึงเช้าอันหนาวเหน็บของวันรุ่งขึ้นเลยทีเดียว …
เส้นทางไกลสู่ Giethoorn
วันที่สองของทริป เรามีแผนเดินทางไปเยือน Giethoorn ซึ่งอยู่ห่างไปทางเหนือของ Amsterdam ราวร้อยกม.เศษ ๆ เดิมทีผมตั้งใจให้ขับรถผ่านเมือง almere เพื่อแวะชมดอกไม้ใกล้ๆ สถานีรถไฟ Almere Muziekwijk
ที่ปกติจะบานช่วงต้นเดือนเมษาด้วย แต่ปีนี้ก็อย่างที่เกริ่นไว้แล้วว่า ความหนาวอันยาวนานทำให้ดอกไม้บานช้ากว่าปกติ ผมจึงตัดรายการนี้ไปแล้วมุ่งตรงสู่ Giethoorn ตามการนำของเจ้า GPS ที่แนะนำเส้นเลี่ยงเมืองเพื่อหลีกหนีการจราจรที่ค่อนข้างคับคั่งในวันนี้ ซึ่งต่างกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
ตลอดเส้นทางผ่านภูมิประเทศที่แตกต่างกันหลายแบบ แต่ล้วนเป็นพื้นที่ราบไม่มีภูเขาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย และมีบ่อยครั้งที่ต้องข้ามสะพานขนาดใหญ่ เพราะพื้นที่บางส่วนอยู่ริมทะเลใหญ่นั่นเอง … ที่เริ่มเห็นจนชินก็คือกังหันลมที่ใช้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งวางเรียงรายแบบเป็นช่วง ๆ ให้ทึ่งกับความใหญ่โตของมันตลอดเส้นทาง
GPS นำมาถึงจุดหมายแต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนกับรูปที่คุ้นตาซึ่งหาข้อมูลมาก่อนเลย ผมเองก็ค่อนข้างประมาทเพราะจากที่ค้นคว้ามาที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่น่าจะหายากซับซ้อนอะไร ลองตรวจทานชื่อใน GPS ก็สะกดถูกต้อง … หลังจากขับรถวนเวียนจนแน่ใจว่าไม่ใช่เป้าหมายแน่แล้วจึงลงไปถามคนแถวนั้น ได้ความว่าที่นี่คือหมู่บ้าน Giethoorn ใหม่ ส่วนในภาพเป็นอีกแห่งหนึ่งซึ่งห่างออกไปราว 3 กม. … ถ้าเพื่อน ๆ จะมาที่นี่ล่ะก็ขอให้ทราบไว้ด้วยนะครับ จะได้ไม่งงเหมือนผม ที่สำคัญคนแรกที่ผมถามและเอาภาพให้ดูแกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ในภาพนั้นอยู่ที่ไหน … สงสัยเพิ่งจะมาอยู่ใหม่ เฮ้อ… ทำเอาใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มนึกว่าขับรถหลงทางเป็นร้อยกิโลฯ 555
เราขับรถเลยไปอีกเล็กน้อยตามคำแนะนำ ก็ยังไม่เห็นป้ายหรืออะไรที่บ่งบอกว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ตัดสินใจขับรถตรงเข้าไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ดูแล้วมีรถจอดมากที่สุด (ราว 10 คัน) และมีรถบัสขนาดเล็ก 1 คัน .. หลังจากลงไปสอบถามแล้วคนที่ร้านก็บอกว่าที่นี่แหละถูกแล้ว แต่ผมก็ยังแอบงงว่าทำไมมันเงียบเหงาขนาดนี้ ดูจากภูมิประเทศก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะใช่ แต่ก็กลัวว่าจะยังไม่ใช่จุดที่เป็น highlight ของ Giethoorn … เมื่อเดินสำรวจดูจึงพอได้ข้อสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะอากาศยังเย็นมาก ทำให้ผู้คนยังไม่มาเที่ยวที่นี่มากนัก ร้านค้าต่าง ๆ จึงปิดทำการเกือบหมดทำให้ดูเงียบเหงาเหมือนไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว
อันที่จริงผมชอบที่นี่มากเพราะบ้านแต่ละหลังเหมือนอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่เป็นพื้นที่ของตัวเอง มีคลองหน้าบ้าน โดยเรือจะถูกเก็บไว้ที่โรงเก็บข้างบ้าน นอกจากนี้ยังมีสะพานข้ามมายังอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นถนนเล็ก ๆ สำหรับคนเดิม … ที่สำคัญบ้านแต่ละหลังจะตกแต่งหน้าบ้านและบริเวณสวนอย่างน่ารัก เสียดายที่อากาศหนาวทำให้ดอกไม้เพิ่งจะเริ่มบาน หากมีช้ากว่านี้สักเดือนที่นี่ต้องเป็นสวรรค์บนดินแน่ ๆ เพราะดอกไม้ที่เบ่งบานจะยิ่งช่วยให้ที่นี่สวยขึ้นอีกหลายเท่าทีเดียว
บรรยากาศเหงา ๆ ที่ Giethoorn
เพราะอากาศหนาว ฟ้าปิด และดอกไม้ไม่บาน ทำให้เราใช้เวลากันที่นี่น้อยกว่าที่ผมคาดไว้มาก แถมไม่ได้เช่าเรือเพื่อล่องตามคลองตามแผนด้วย เพราะบรรยากาศมันเงียบเหงาจนความสนุกของการถ่ายภาพลดไปเยอะเลย .. เราทานอาหารกันที่ร้านอาหารเพียงร้านเดียวที่เปิดอยู่บริเวณนี้ จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับเพื่อพาสาว ๆ เข้าไป shopping กันใน Amsterdam ตามแผน … เรายังคงใข้บริการ P+R ที่ถนนวงแหวนนอกเมืองเป็นที่จอดรถแล้วนั่งรถไฟเข้าเมืองเหมือนเดิม เพราะดูเหมือนจะเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดที่สุด …
เมื่อเข้าถึง dam square อันเป็นจัตตุรัสกลางเมืองแล้ว เราก็เดินไปตามเส้นทางสาย shopping (Kalvestraat) ที่ไล่ตั้งแต่ dam square ไปจนถึงถนน spui ซึ่งมีร้านค้าท้าง brand name และไม่ใช่ brand name ให้เลือกซื้อมากมาย ใกล้ๆ กับถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของ Begijhof (เบอร์ไคน์ฮอฟ) อันเป็นชุมชนสำหรับแม่ชีและหญิงโสดที่เคร่งศาสนา ที่ด้านในมีบ้านและสวนสวย ๆ เสียดายที่เราไปตอนที่ปิดทำการแล้ว จึงต้องเปลี่ยนแผนมาเยือนใหม่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้เช้าซึ่งผมกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วจะมาชมบรรยากาศยามเช้าของ Amsterdam และเก็บตกถนนสายอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ไปเยือน
เลยจากถนน Spui มาเล็กน้อยจะเป็นตลาดดอกไม้ Bloemenmarkt ซึ่งก่อนมาผมจินตนาการว่าคงคล้ายปากคลองตลาดบ้านเรา แต่จะขายดอกไม้เมืองหนาวแทน แต่ที่ไหนได้กลับเป็นร้านขายพันธุ์ (หัว/หน่อ) ของดอกไม้ซะเป็นส่วนใหญ่ อิอิ หากจะหาทิวลิปไปปลูกก็มาที่นี่ได้เลย หุหุ …นอกจากร้านดอกไม้แล้วที่นี่ยังมีร้านขายของฝากเรียงรายอยู่หลายร้าน และเท่าที่ดูราคาก็ไม่แพง ดังนั้นหากจะหาของฝากที่นี่ก็เป็นอีกที่มาเก็บติดไม้ติดมือไปได้
เมื่อเดินชมเมืองแล้วก็ได้เวลาที่สาว ๆ รอคอย คือการเข้าไป shopping ที่ห้าง Bijenkorf ซึ่งอยู่ตรง dam square นั่นเอง … จะว่าไปแล้วของที่ซื้อส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ซื้อใช้เอง แต่เป็นของฝากซื้อทั้งนั้นแต่ก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งสำหรับกลุ่มสาว ๆ ของเราที่ไม่ได้ซื้อเอง ได้เลือกก็ยังดี หุหุ ค่ำคืนนี้ปิดลงด้วยอาหารที่ทำแบบง่าย ๆ ที่ครัวของบ้านพัก ก่อนที่จะหลับแบบสนิทหลังจากชั่วโมงท่องเที่ยวอันยาวนานตลอดวัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เราใช้บริการ P+R กันอีกครั้งเพื่อเก็บตกเมือง Amsterdam ในช่วงเช้า ซึ่งก็โชคดีมากที่อากาศดีกว่าเมื่อวานมาก เราจึงได้เข้าไปชมบรรยากาศใน Begijhof กันอีกครั้ง นอกจากนี้ก็ยังได้เดินลัดเลาะตามเส้นทางริมคลองเพื่อเก็บบรรยากาศอันสวยงามของเมือง Amsterdam อย่างจุใจ ก่อนที่จะโบกมือลาเมืองแห่งเสรีภาพและหลากหลายแห่งนี้เพื่อเดินทางสู่ “เบลเยี่ยม” จุดต่อไปของพวกเรา …
Amsterdam ในวันฟ้าใส