จากริวิวตอนที่แล้ว …“Luxembourg น้องเล็กแห่ง Benelux”… เราใช้เวลาราวครึ่งวันใน Luxembourg แล้วเดินทางต่อข้ามไปยังประเทศที่ 4 ของทริปนี้ นั่นคือฝรั่งเศส แต่พวกเราไม่ได้ไป Paris มหานครแห่งแฟชันอย่างที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยเมื่อเอ่ยถึงฝรั่งเศส แต่เรากำลังเดินทางเลียบชายแดนฝั่งตะวันออกโดยมีจุดหมายคือเมืองเล็ก ๆ แต่มีเสนห์น่าค้นหาที่ชื่อ Colmar (โกลมาร์)
อันที่จริงเราสามารถใช้ทาง Motorway จาก Luxembourg สู่ Colmar ได้แต่ค่อนข้างอ้อมและทำให้สูญเสียโอกาสที่จะได้ชมทัศนียภาพของชนบทและเมืองเล็ก ๆในแคว้น Alsace (อัลซาส) ของฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อ GPS เลือกเส้นทางผ่านป่าเขาลำเนาไพรผมจึงไม่ปฎิเสธ หุหุ … ก่อนถึงจุดหมายราวชั่วโมงเศสรถเริ่มไต่ระดับความสูง ผ่านป่าที่ชุ่มชื้น มีลำธารไหลเลียบถนนจนอดไม่ได้ที่จะแวะลงไปถ่ายภาพ และยิ่งใกล้จุดหมายเราก็เริ่มเห็นสถาปัตยกรรมของบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ของแถบนี้ นั่นคือผนังบ้านที่มีลวดลายของเฟรมไม้ไขว้กันที่เรียกว่า timber frame โดยเฉพาะหมู่บ้านท้าย ๆ เราจะเห็นไร่องุ่นสำหรับทำไวน์กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สมกับที่เป็นอีกหนึ่งพื้นที่การผลิตไวน์อันเลื่องชื่อของฝรั่งเศส …
บรรยากาศของธรรมชาติและเมืองเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยไร่องุ่นระหว่างทาง
ผมเลือกแวะถ่ายภาพที่เมืองไม่ทราบชื่อแห่งหนึ่งเพราะคิดว่าเป็นเมือง Riquewihr แต่ก็ไม่ผิดหวังเพราะบ้านเรือนแต่ละหลังดูเก่าแก่แต่น่ารักเหลือเกิน … กว่าจะถึง Riquewihr จริง ๆ ก็ปาเข้าไปค่ำแล้ว แต่ยังพอมีแสงให้ถ่ายภาพเราะช่วงนี้พระอาทิตย์ตกราว ๆ 2 ทุ่ม … เมือง Riquewihr เป็นอึกหนึ่งเมืองที่ทุกคนในคณะลงความเห็นว่าสวยงามและคุ้มค่าต่อการมาเยือน ตัวเมืองเล็ก ๆ ที่มีถนนปูด้วยก้อนหินเรียงกันเหมือนกับเมืองเก่าของยุโรปทั่วไป รายล้อมด้วยบ้านเรือนหลากสีสัน โดยมีทางเข้าออกเป็นอุโมงค์ลอดป้อมสูง ๆ เหมือนภาพในนิยายตะวันตกที่เราจินตนาการไม่มีผิด เสียเพียงอย่างเดียวที่เรามากันค่ำเต็มทีและฟ้าวันนี้ก็ไม่อำนวยต่อการถ่ายภาพนัก เราจึงต้องอำลาเมืองนี้ไปแบบเสียมิได้ เพื่อไปยังที่พักของเราคืนนี้ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองโกลมาร์ที่ห่างออกไปราว 10 กว่ากม.
เมือง Riquewihr ยามเย็น … เป็นเมืองที่ไม่ควรพลาดหากมาเที่ยวแถบนี้
จาก Riquewihr ขับรถออกมาเล็กน้อยก็เข้าสู่เส้น Highway นำเราไปยังเมืองพักร้อนชื่อดังของฝรั่งเศสในด้านตะวันออกที่ชื่อ Colmar โดยคืนนี้เราจะพักกันที่โรงแรมเขตชานเมืองที่ชื่อ Hôtel Turenne ซึ่งเป็นโรงแรมเดียวที่ต้องจ่ายค่าจอดรถ (7 Euro สำหรับหนึ่งคืน) และห้องเป็นแบบ family room สำหรับเราทั้ง 5 คน … โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่น่าประทับใจน้อยที่สุดเพราะแทบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรในห้องพักให้เลย เรียกได้ว่ามีไว้อาบน้ำกับนอนจริง ๆ ดีตรงที่ว่าจากจุดที่โรงแรมตั้งอยู่สามารถเดินเข้าเมืองได้โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที และค่าห้องก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับโรงแรมอื่น ๆ ที่อยู่ละแวกเดียวกัน
เช้ารุ่งขึ้นอากาศยังดูแปรปรวน เดี๋ยวมีแดด เดี๋ยวมีฝน แต่เราก็ยังคงเดินชมเมืองตามแผนเดิม ทั้งนี้ลักษณะของ Colmar เป็นเมืองเก่าที่ยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรมได้ได้อย่างดี แม้จะมีร้านค้าต่าง ๆ ใช้อาคารเก่าเหล่านั้นเปิดกิจการขายสินค้าแต่การตกแต่งร้านรวมถึงป้ายต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเสียบรรยากาศเมืองเก่าไปมากนัก คิดแล้วก็อยากให้บ้านเราทำได้อย่างนี้บ้าง (โดยเฉพาะภูเก็ตบ้านผม :()
ความสวยงามแกมน่ารักของ Colmar
เราอาจจะชมเมืองกันเร็วไปหน่อย ร้านรวงต่าง ๆ ดูเหมือนจะยังเปิดไม่ครบ อีกทั้งฝนที่ตกปรอย ๆ เป็นระยะนั้นเป็นอุปสรรถกับการชมเมืองของเราพอสมควร ผมชวนเพื่อน ๆ เดินลัดเลาไปตามเส้นทางต่างๆ ในเมือง ผ่านจุด highlight เพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึกสลับกับหลบฝนในร้านค้าต่าง ๆ บ้างเป็นระยะได้บรรยากาศไปอีกแบหนึ่ง
อันที่จริงหากเป็นช่วง summer เต็มตัวเมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสีสันของไม้ดอกไม้ประดับที่เจ้าของร้านค้าต่าง ๆ ช่วยกันประดับประดา แต่ตอนนี้ดอกไม้เหล่านั้นยังไม่บานสีสันของตึกจึงยังดูขาดชีวิตชีวาไปบ้างทำให้เราตัดสินใจออกจากเมืองนี้เร็วกว่าที่ผมวางแผนไว้เล็กน้อยเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปของทริป … Black Forest