เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกันแล้วที่ผมเดินทางไปเที่ยวยุโรปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่บอกตรง ๆ เลยว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมอง Italy อยู่ในสายตาเลย … คงเป็นเพราะภาพของ Italy ที่เห็นบ่อย ๆ นั้นเป็นแนวสถาปัตยกรรมซะเป็นส่วนใหญ่ และตัวผมเองก็ไม่ได้หลงใหลการท่องเที่ยวแนวนี้มากนัก ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และศิลปะก็แค่เท่าหางแมงสาบเท่านั้น หุหุ จะว่าไปก็ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับเพราะเวลาไปเจองานสถาปัตยกรรมแถบยุโรปเข้าจริง ๆ อ้าปากค้างกับความงามทุกที อิอิ แต่ก้นบึ้งลึก ๆ มันสั่งงานสมองให้เอนเอียงไปทางการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติมากกว่า แผนการท่องเที่ยวถ่ายภาพของผมจึงเทใจไปกับแหล่งท่องเที่ยวแนวป่า-เขา-ทุ่งหญ้าและทะเลสาบเป็นส่วนใหญ่
แต่แล้วเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต คืนวันหนึ่งขณะเล่น facebook ก่อนเข้านอนตามปกติ ก็มีภาพสถานที่แห่งหนึ่ง feed เข้ามาบน timeline … โอ้วแม่เจ้า สวยเว้ยเฮ้ย มันที่ไหนกันนี่ … ค้น ๆ ๆ ๆ หา ๆ ๆ ๆ ข้อมูล … ในที่สุดก็เจอว่าสถานที่แห่งนี้เรียกว่า Dolomites เมื่อเริ่มได้เบาะแสก็ค้นหาต่อจนได้หลักฐานมัดใจอีกเพียบโดยเฉพาะ Tuscany ที่ยิ่งทำให้ฮอร์โมนท่องเที่ยวพลุ่งพล่าน ต่อมเดินทางแทบระเบิด และแล้วผู้ต้องหาที่ชื่อ Italy ก็ถูกหลักฐานมัดแน่นจนเกิดเป็นทริปนี้ขึ้นมาในที่สุด
ได้เวลาอันสมควรฤกษ์แล้ว จึงขอเปิดกระทู้นี้เป็นปฐมบท เล่าภาพรวมของทริปก่อนที่จะเจาะลึกแต่ละสถานที่ในกระทู้ต่อ ๆ ไป … แต่น แตน แต๊น
ภาพแรกขอเป็นภาพธงชาติของ Italy ละกันครับเพื่อให้เกียรติสถานที่ ☺
สำหรับทริปนี้เดิมทีตั้งใจว่าจะลงเครื่องที่ Munich ประเทศเยอรมันเพื่อเก็บตกเส้นทางสวย ๆ แถบ Bavaria ก่อนจะเดินทางเข้า Italy แต่เมื่อนำมารวมกับสถานที่ต่าง ๆ ใน Italy ที่ถูกบรรจุเข้าทริปแบบแกะไม่ออกแล้วปรากฏว่า 14 วันที่มีอยู่นั้นคงไม่เพียงพอเป็นแน่ และการหางานใหม่หากต้องลาพักร้อนมากขึ้นในวัยขนาดนี้คงไม่สนุกแน่ ก็เลยเป็นอันว่าทริปนี้มุ่งหน้าไป Italy เลยละกัน .. แต่ก็มีวันท้าย ๆ ที่ชะแว๊ปเข้าไปสูดอากาศในทุ่งหญ้าของ Swiss เล็กน้อยเป็นของแถมให้ลูกทัวร์ อิอิ
มาดูแผนที่การขับรถท่องเที่ยว Italy ด้วยตัวเองของผมกันครับ
ทริปนี้เริ่มจากลงเครื่องที่ Milan ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลักทางตอนเหนือของ Italy จากนั้นจึงขับรถมุ่งลงทางใต้และเริ่มท่องเที่ยว 5 หมู่บ้านเล็ก ๆ Cinque Terre บนหน้าผาริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน … ถัดมาเรามุ่งหน้าสู่แคว้น Tuscany ดินแดนอันอุดมไปด้วยเนินทุ่งหญ้าอันงดงามและเมืองเก่าเลื่องชื่อ โดยไม่ลืมที่แจะแวะทักทายหอเอนเมือง Pisa ซึ่งเป็นทางผ่าน… และเมือง Florence, นครหลวงแห่งแคว้น Tuscany เป็นจุดสุดท้ายที่เราอำลาแคว้นแห่งนี้ก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นเหนืออีกเพื่อเยือน Venice ที่สุดแห่งความคลาสสิคบนเกาะเล็ก ๆ ในทะเลเอเดรียตริก … ดื่มด่ำกับความงดงามของ Venice ได้ 2 คืนเราก็เปลี่ยนบรรยากาศขึ้นไปสัมผัสความสดชื่นบนขุนเขาของ Italy ที่เมืองเล็ก ๆ ซึ่งรายล้อมด้วยเทือกเขา Dolomites … จากนั้นจึงขับรถผ่านชายแดน Swiss เพื่อดื่มด่ำกับความงามของทุ่งดอกไม้และลมเย็น ๆ ริมทะสาบ ก่อนที่จะข้ามกลับมาพักผ่อนสบาย ๆ ริมทะเลสาบ Como ของ Italy อีกครั้ง … ทริปนี้ปิดท้ายที่ Milan เมืองแห่งแฟชั่นและศิลปะของ Italy นับรวมแล้วเป็น 13 วันเต็ม ๆ ของการเดินทางที่ยืนยันว่า Italy สวยครบสูตรจริง ๆ ทั้ง “หมู่บ้านริมผา-ทุ่งหญ้า-ป่าเขา-เมืองเก่า-ทะเลสาบ”
การเดินทาง
การเดินทางของทริปนี้ใช้วิธีการเช่ารถขับ เป็นรุ่น Benz Vito มี 9 ที่นั่ง แต่เราไปกัน 6 คน จึงมีพื้นที่เหลือเก็บสัมภาระแบบสบาย ๆ ให้สาว ๆ ในกลุ่มได้ Shopping เพื่อแลกกันกับที่ต้องรอเวลาผมแวะถ่ายภาพข้างทางบ่อย ๆ อิอิ … ใช้รถในทริปนี้ 12 วัน (คืนรถก่อนเดินทางกลับ 1 วัน โดยวันสุดท้ายใช้วิธีนั่งรถไฟเข้าไปเที่ยวเมือง Milan และกลับสนามบิน) รวม 2100 กม … จ่ายค่าน้ำมันไป 325 ยูโร (ค่าน้ำมันดีเซลที่โน่นราว 1.65-185 ยูโร/ลิตร) แตค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าที่คิดมากก็คือค่าทางด่วนนี่แหละครับ เฉพาะวันแรกที่เดินทางจาก Milan ไป Cinque Terre ก็เกือบ ๆ พันบาท แถมจ่ายตังค์ไม่เป็นเกือบออกจากทางด่วนไม่ได้อีก ไว้ค่อยเล่าในรายละเอียดละกันครับว่าสุดท้ายแล้วผมทำยังไง.. วันหลัง ๆ ก็เลยพยายามใช้ถนนเส้นรอง เว้นแต่เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็จะใช้ทางด่วนในการเดินทาง
อาหารการกินที่โน่น ผมใช้วิธีเตรียมข้าวสาร-อาหารกระป๋องและเครื่องปรุงสำเร็จรูปไปบางส่วน ที่เหลือก็เลือกทานร้านอร่อย ๆ หรือตามสะดวก ทำให้ได้ชิมอาหารรสชาติอิตาเลียนแท้ ๆ ตามภูมิภาคต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็แก้เลี่ยนด้วยการซื้อของสดมาทำอาหารไทยพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ เป็นบางมื้อ … การทำแบบนี้นอกจากจะช่วยประหยัดค่าอาหารได้มากแล้ว ยังทำให้ไม่เบื่ออาหารมากเกินไปเพราะต้องบอกไว้เลยว่าความหลากหลายของอาหารที่โน่นไม่เหมือนบ้านเรา สลัดของเขาส่วนใหญ่ก็มีแต่ผัก dressing ใช้น้ำมันมะกอกกับ Balsamic … ทุกร้านขายเมนูคล้าย ๆ กันโดยมี Pizza กับ Pasta ที่อุดมไปด้วย Cheese และจานหลักที่เป็นพวกเนื้อต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เราสั่งหลาย ๆ อย่างมาทานแชร์กัน โดยร้านอาหารที่นี่ก็ไม่ว่าอะไร อาจแปลกใจนิดหน่อยว่าสั่งแค่นี้จะอิ่มเหรอ 555
การที่ต้องทำอาหารทานเองเป็นบางมื้อ ทำให้การเลือกที่พักของผมเน้นไปเป็นแบบที่เป็น Apartment ซึ่งมีครัวอยู่ด้วย โดยจองผ่าน Airbnb และ booking.com … ส่วนใหญ่ก็ไม่ผิดหวังครับเพราะเลือกจากที่มี review rating ดี ๆ ทำให้ได้บ้านอยู่ในทำเลที่สวยงามและบริการดี จะมีปัญหาบ้างก็ตรงการติดต่อสื่อสารกับเจ้าของบ้านที่ค่อนข้างลำบากเพราะส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้หรือไม่ได้เลย บางแห่งก็หาคนข้างบ้านมาช่วยแปลให้ บางแห่งก็ใช้ภาษามือเอา ที่สนุกหน่อยก็เป็นเรื่องของการหาตำแหน่งบ้าน เพราะบางหลังอยู่บนยอดเขาในเมืองเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครรู้จัก ตอนขับไปก็ใจเต้นไปเพราะถนนแคบชนิดที่รถสวนไม่ได้ แต่พอถึงที่พักและได้เห็นวิวก็ลืมความกลัวเป็นปลิดทั้ง …นับเป็นอีกรสชาตินึงของการเดินทางที่หาไม่ได้จากการท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ อิอิ
เพื่อความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร เราซื้อ Sim internet ของ Vodafone สำหรับใช้กับ iPad mini เพื่อใช้ Google map และดูข้อมูลเดินทางซึ่งผมเก็บสำรองไว้ใน dropbox รวมถึงไว้ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ทราบว่าเป็นการตัดสินใจเลือกบริษัทผิด หรือ internet ของที่นี่เหมือนกันหมดแน่ เพราะสัญญาณและความเร็วไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลแบบที่ผมเดินทางไป จะพึ่งพา internet ของที่พักก็ส่วนใหญ่ไม่ค่อย work ต่างกับโรงแรมบ้านเราเหมือนอยู่กันคนละโลก ไม่อยากเชื่อว่าจริงๆ นี่คือประเทศในแถบยุโรป แถม 3-4 วันสุดท้ายนี่ internet ใช้งานไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ตาม package แล้วต้องใช้ได้ถึง 7 GB แต่นี่เพิ่งจะใช้ได้แค่ 1.3 GB เอง Sim ก็โดน lock ซะแล้ว เซ็งเบย … ใครจะซื้อ Package internet ใช้ที่นี่ก็ศึกษากันดี ๆ ก่อนนะครับจะได้ไม่หลุดไปอยู่ในยุคไร้การสื่อสารเป็นอาทิตย์เหมือนผม 🙁
อย่างที่เกริ่นไปแล้วครับว่าเป้าหมายของแต่ละทริปของผมนั้นเน้นไปที่การถ่ายภาพ ซึ่งทริปนี้ก็ตระเตรียมอุปกรณ์ไปเต็มพิกัดเพื่อให้ตอบสนองการถ่ายภาพที่หลากหลาย ก่อนที่จะชมภาพสวย ๆ ของทริปกันต่อ ขอแนะนำเพื่อนร่วมทริปสุด love กันก่อนเริ่มที่กล้อง Nikon D7100 ซึ่งเป็นพี่ใหญ่บน DX format ของค่าย Nikon ที่ใช้งานได้ดีทั้งภาพนิ่งและ VDO ทำให้คล่องตัวต่อการใช้งาน ส่วนเลนส์ที่นำไปนั้นเริ่มจาก wide สุดคือ Nikon 10-24 f3.5-4.5 สำหรับเก็บภาพสถาปัตยกรรมและ landscape แบบกว้าง ๆ ซึ่งภาพจากเลนส์ตัวนี้ที่ช่วง wide สุดจะให้มุมมองที่ดูแปลกตาน่าสนใจ … ตัวต่อมาเป็นเลนส์พิมพ์นิยมของ Nikon 17-55 f2.8 ที่ใช้ติดกล้องเป็นหลักเพราะรูรับแสงที่กว้างคงที่และคุณภาพของเลนส์เกรดโปรซึ่งให้ความคมชัดสูงสุด … สุดท้ายคือเจ้า Nikon 70-200 f4 ที่ซื้อจาก Belgium เมื่อทริปปีที่แล้วนี่เอง ไว้สำหรับถ่ายภาพช่วงเทเลซึ่งให้ความคมชัดสูง หลังละลายสวยงาม มี VR สำหรับถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ๆ ได้โดยที่ยังคงความคมชัดไว้ได้อย่างดี ที่สำคัญน้ำหนักไม่มากเกินไปเหมือนพี่ใหญ่ที่เป็น f2.8 … ที่เหลือก็เป็น Flash SB800 ที่ติดตัวไปด้วยแต่ไม่ได้หยิบออกมาใช้เลย อิอิ
เกริ่นมาซะยาว ได้เวลา survey แบบคร่าว ๆ แล้วครับว่าแต่ละเมืองของทริปนี้หน้าตาเป็นอย่างไร …
ทริปนี้ผมเดินทางจากภูเก็ตสู่กรุงเทพฯ ด้วยสายการบินนกแอร์ … พักเอาแรงที่กรุงเทพฯ หนึ่งคืนก่อนที่จะต่อเครื่องของสายการบิน Emirate ในช่วงสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้นสู่ Milan โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Dubai ราว 3 ชั่วโมงและถึงจุดหมายราว 2 ทุ่มเศษของวันเดียวกัน … ผมเลือกพักที่โรงแรมใกล้ ๆ สนามบิน Malpensa และออกเดินทางสู่จุดหมายแรกของทริป Cinque Terre ในเช้าวันรุ่งขึ้น
Cinque Terre (ชิงเกวแตร์เร) แปลแบบตรงตัวว่าแผ่นดินทั้ง 5 … เอ่อ คือผมไม่ได้แปลออกหรอกนะครับ อ่านของเค้ามาอีกที อิอิ … ซึ่งแผ่นดินทั้ง 5 นี้หมายถึงหมู่บ้านบนหน้าผาริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 5 แห่งที่ตั้งอยู่ในแถบนี้อันได้แก่ Monterosso al Mare, Vernazza, Corniglia, Manarola, และ Riomaggiore นั่นเอง
สำหรับการท่องเที่ยวที Cinque Terre นั้นผมใช้ La Spazia ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่บ้านทั้ง 5 เป็นที่พัก แล้วใช้วิธีการนั่งรถไฟเที่ยวเอา เพราะที่พักในหมู่บ้านทั้ง 5 สำหรับ 6 คนนั้นหายากเหลือเกิน อันที่จริงก็มีว่างนะครับแต่เทียบราคากับสภาพห้องแล้วไม่น่าประทับใจ อีกอย่างการขับรถและการจอดรถที่หมู่บ้านทั้ง 5 นั้นค่อนข้างจะไม่สะดวกเท่ากับการจอดรถไว้ที่เมือง La Spazia แล้วนั่งรถไฟครับ
ถึงแม้ผมจะเห็นทะเลแทบทุกวันเพราะเป็นเด็กเกาะ แต่ก็ยอมรับว่าการได้เห็นทะเลแถบชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันจนอดตื่นเต้นไม่ได้
วันถัดมาซึ่งเป็นวันที่ 2 ของทริปนี้หากไม่นับรวมวันเดินทาง เรามุ่งสู่แคว้น Tuscany ของ Italy แต่ระหว่างทางก็ขอแวะถ่ายภาพคู่กับหอเอนเมือง Pisa กันซะหน่อย
จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่เมือง Monterriggioni ซึ่งเป็นที่พักของเรา … อันที่จริงตั้งใจว่าจะแวะเที่ยวเมือง Sam Gimignano แต่ถนนระหว่างเดินทางปิดซ่อมทำให้เรต้องขับรถย้อนไปย้อนมาหลายรอบจนคิดว่าตรงเข้าบ้านพักเลยดีกว่า เย็นวันนั้นจึงทำได้เพียงเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ ที่พักเท่านั้น
วันต่อมาซึ่งเป็นวันที่ 3 ของทริป เรากลับไปเก็บตก Sam Gimignano กัน ซึ่งใช้เวลากันที่นี่นานมาก เพราะเพื่อนร่วมทริปสนุกสนานกับการช็อปปิ้งกระเป๋าหนังแท้ แบรนด์ท้องถิ่น ดีไซน์สวยกัน ส่วนผมก็เก็บภาพเมืองแห่งนี้เกือบทุกซอกทุกมุม
ช่วงบ่ายของวันเราแวะเมือง Siena ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของแถบนี้ เสียดายที่เราใช้เวลาใน Sam Gimignano นานไปสักหน่อย จึงมาถึงที่ Siena ในตอนเย็น แม้ว่าแสงจะยังมีอยู่เพราะเป็นช่วงต้นฤดูร้อนแต่พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ และโบสถ์ปิดหมดแล้ว จึงได้แต่เพียงเก็บบรรยากาศภายนอกเท่านั้น
ออกจาก Siena เรามุ่งลงใต้ไปยังเมืองซึ่งเป็นที่พักที่มีชื่อว่า Monticchiello เมืองเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Pienza นับเป็นอีกหนึ่งเมืองที่บรรยากาศสวยงามมาก … ระหว่างทางทิวทัศน์ทุ่งหญ้าของ Tuscany สวยงามมาก แม้ฝนจะตกพรำ ๆ แต่ก็ไม่ได้ลดความงามลงไปเลย
วันที่ 4 เราใช้เวลากับการเที่ยวเมืองใกล้ ๆ ที่พักได้แก่ Montepulciano และ Pienza และแวะถ่ายภาพที่จุดถ่ายภาพสำคัญ ๆ ของแคว้น Tuscany
วันถัดมาเราขับย้อนกลับขึ้นทางเหนือเพื่อไปยัง Florence โดยแวะ Shopping ที่ The Space Outlet … วันนี้เราใช้เวลาหาที่พักกันนานโข เพราะตั้งอยู่ในไร่บนเนินเขาห่างจากตัวเมือง Florence ออกมาพอสมควร และ GPS ที่เช่ามาก็ไม่ update พาหลงไปหลงมาซานาน สุดท้ายต้องโทรหาคุณป้าเจ้าของบ้านออกมารับไปยังบ้านในสวนของเธอ อิอิ
เรายังพอมีเวลาอยู่ ก็เลยใช้เวลาที่มีอยู่ในช่วงบ่ายเข้าไปเที่ยว Florence กัน และถ่ายภาพกันจนค่ำเช่นเคย
วันที่ 6 ของทริป เข้าไปเก็บตกบรรยากาศของ Florence ช่วงเช้าอีกครั้ง แต่อากาศไม่เป็นใจนัก วันนี้จึงเป็นการถ่ายภาพแบบเนือย ๆ ไร้แรงบันดาลใจ
แถมการเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวของเมือง Florence ใช้เวลานานกว่าที่คิดมาก เพราะเส้นทางของรถบัสสาย 12 พาเราอ้อมชมเมืองซะคุ้มเลย … ในใจแอบคิดว่าตรู้ต้องการขึ้นไปแบบตรง ๆ เฟ้ย ไม่ได้อยากชมเมือง ☹
ช่วงบ่ายเราขับรถขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อไปยัง Venice โดยพักที่แผ่นดินใหญ่เพราะไม่อยากปวดหัวกับการหาที่จอดรถบนเกาะ ซึ่งมีแผนจะนั่งรถบัสซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาทีไปยัง Venice ในเช้าวันรุ่งขึ้น
วันที่ 7 ครึ่งแรกของทริป .. วันนี้ตามพยากรณ์แล้วอากาศไม่ดีมีฝนตก แต่ตอนเช้าของวันฟ้ากลับแจ่มซะงั้น ผมก็เลยไม่รอช้าเดินทางไปยัง Murano หมู่บ้านทำเครื่องแก้วและ Burano เกาะที่มีบ้านเรือนสีสันสดใสใกล้ ๆ Venice ทันที เพราะอากาศแบบนี้แหละจึงถ่ายภาพสวยนักแล
ช่วงบ่าย ๆ นั่งเรือกลับมาเก็บภาพบรรยากาศที่ Venice กันต่อจนค่ำ
วันรุ่งขึ้น ผมนั่งบัสเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าที่ Venice อีกครั้งและเข้าชมโบสถ์ St Marco ซึ่งตลอด 2 วันนี้ เราซื้อตั๋วแบบ 36 ชั่วโมง ทีใช้ได้ทั้งรถบัส และเรือโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
วันนี้เป็นอีกวันที่มีเวลาให้สาว ๆ shopping กันสบาย ๆ ก่อนที่จะออกเดินทางต่อในช่วงบ่ายสู่ Dolomites
วันนี้ถึงเมือง Valle di Cadore ที่พักในแถบ Dolomites ก็เกือบจะมืดแล้ว เพราะถนนปิดซ่อมจนทำให้เราต้องหาเส้นทางใหม่กันให้วุ่น แต่วิวที่พักทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
วันที่ 9 ของการเดินทาง ให้เวลากับการสำรวจ Dolomites แบบเต็ม ๆ … แม้อากาศไม่เป็นใจ แต่ได้ซึมซับบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ของเทือกเขาแถบนี้ และธรรมชาติอันงดงามตลอดสองข้างทาง
คืนนี้เราเปลี่ยนที่พักไปยังเมือง Funes ที่ยังคงอยู่ในแถบ Dolomites เป็นอีกเมืองที่มีจุดถ่ายภาพอันเป็น icon ของ Dolomites … เช่นเคยครับ กว่าจะถึงก็เกือบจะมืดแล้ว และเส้นทางก็ต้องไต่เขาไม่แพ้เมืองอื่น ๆ แถบนี้ แต่วิวจากห้องพักก็คุ้มแสนคุ้ม
เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 10 ของทริป (ไม่นับวันเดินทาง) เราเก็บภาพบรรยากาศทุ่งหญ้าบนเนินเขาของแถบ Dolomites ที่มีบรรยากาศคล้าย ๆ กับ Swiss และ Austria
จากนั้นขึ้นชมทุ่งหญ้า Alpe di Siusi ที่สถานี A.G. Station ซึ่งเป็นกระเช้าเพียงแห่งเดียวที่เปิดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
ช่วงเย็นเราเดินทางไปยังที่พัก ณ เมือง Lasa ชายแดน Italy, Swiss และ Austria … ที่พักเป็นฟาร์มเล็ก ๆ อยู่บนยอดเขา .. แม้หนทางตอนขึ้นไปจะดูน่ากลัวมากเพราะแคบและสูงชัน แต่วิวทำให้ลืมความกลัวจนหมดสิ้น
วันถัดมาเราจะเดินทางไปยัง Lake Como โดยใช้เส้นทางผ่านเมือง St. Moritz ของ Switzerland ..
บรรยากาศริมทางเปลี่ยนไปเป็นแนว Swiss ทันทีที่ข้ามชายแดน แม้ฟ้าจะไม่ใสแจ่ม แต่ก็พอมีแดดให้เราได้เบิกบานกับการถ่ายภาพทุ่งดอกไม้กับภูเขา
ขับชมวิวเรื่อย ๆ และข้ามแดนกลับมา Italy อีกครั้งจนถึง Lake Como … ฟ้ากลับมาหม่นหมองอีกครั้ง เย็นวันนี้ก็เลยทำอาหารทานกันริมระเบียงที่พักแบบง่าย ๆ และรีบพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำรวจ Lake Como วันรุ่งขึ้น
วันที่ 12 ของการท่องเที่ยว เราซื้อตั๋ว Day pass สำหรับขึ้นเรือ เพื่อชมเมืองต่าง ๆ ริมทะเลสาบ Como อันได้แก่ Varenna , Bellagio รวมถึง Villas Balbianello อันโด่งดัง
ออกจาก Lake Como แล้ว ผมก็นำเราไปคืนที่สนามบิน โดยมีแผนจะเที่ยว Milan วันรุ่งขึ้นด้วยรถไฟ เพราะไม่อยากขับรถเข้าไปในเมือง
วันที่ 13 เราปิดท้ายทริปกันที่ Milan โดยการนั่งรถไฟเข้าไปเที่ยวในเมือง แน่นอนว่า Highlight ของการถ่ายภาพอยู่ที่ Duomo ซึ่งผมถ่ายภาพได้ไม่เต็มที่นักเพราะที่นี่อยู่ระหว่างการซ่อมแซมบางส่วน แถมด้านหน้ายังมีการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมด้วย คาดว่าน่าจะเป็นคอนเสิร์ตขนาดใหญ่เพราะเห็นเตรียมเครื่องเสียงกันเต็มพิกัด
บ่าย ๆ เราก็อำลา Milan และ Italy เพื่อเดินทางไปยังสนามบินและนั่งเครื่อง flight ดึกของวันนั้นกลับเมืองไทย นับเป็นอีกทริปที่สุดแสนจะประทับใจ สำหรับรายละเอียดของแต่ละสถานที่ รวมถึงภาพประกอบแบบเต็มพิกัดก็รอชมได้ที่นี่เร็ว ๆ นี้ครับ ☺
เพื่อน ๆ ที่ชอบผลงานภาพถ่ายก็ติดตามได้ที่ facebook 9MOT Photography
สวัสดีค่ะ ไม่รู้ว่าเจ้าของ blog มีโอกาสเข้ามาเห็นคำถามนี้รึป่าว ชอบรีวิวมากๆเลยค่ะ เป็นแรงบันดาลใจอยากไปตามรอยตามนี้เลย อยากสอบว่า ไปเที่ยวมาช่วงไหนเหรอคะ ดูอากาศดีทุกวันเลย
แล้วอยากรู็ค่าใช้จ่ายเรื่องการเช่ารถ รวม ค่า น้ำมัน ทางด่วน ที่จอดรถ ประกันรถทั้งหมด รวมแล้วประมาณเท่าไหร่เหรอคะ
รบกวนสอบถามเรื่องการเช่ารถตู้. ต้องมีใบขับขี่พิเศษมั้ยคะ หรือ process อะไรต่างจากการเช่ารถปกติ. ขอบคุณมากคะพอดีอยากพาคุณพ่อแม่ไปเหมือนกัน
#นายมด : ตอบให้ทางเมลแล้วนะครับ
เลยยังไม่ได้เล่าเรื่องทางด่วนเลยพอดียากได้ข้อมูลเรื่องขับรถเข้าอิตาลีต้องซื้อสติกเกอรติดหน้ารถไหมค่ะหรือจ่ายเฉพาะตอนขึ้นทางด่วนค่ะ
9MOT-ยินดีคร้าบ
สุดยอดมากค่ะ…ทริปหน้า.
รับป้าร่วมทีมด้วยคนดิ..
ขอบคุณรีวิวดีๆ ภาพสวยๆค่ะ
ขอตามลายแทงเลยนะคะ
ชอบDolomites มากค่ะ เสียดายไม่ได้ไปLake Misulina รูปสวยมากกกกก
สวยมากๆๆค่ะ ถ่ายรูปได้สวยสุดๆๆๆ
อ่านแล้ว…ได้แรงบันดาลใจ….อยากไปขึ้นมาในบัดดล….ขอบคุณนะคะ สำหรับภาพสวยๆๆๆมาาาาาาาาาาาาาากกก ทุกภาพ….ข้อมูลดีดี…….ที่เขียนได้น่าอ่านมาากกก
ไว้รออ่านอีกนะคะ่