เมื่อเอ่ยถึง “ญี่ปุ่น” ภาพในสมองของคนชอบถ่ายภาพแบบผมมี 2 อย่างคือ “ดอกซากุระ” กับ “ใบไม้แดง” (สาบานได้ไม่มีภาพสาวญี่ปุ่นในหัวเล้ยยย) … เมื่อได้รับการเชื้อเชิญจากหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยวในภูมิภาค “Chubu” (ชูบุ) หรือภาคกลางของญี่ปุ่น เพื่อไปสำรวจและทดลองเดินทางบนเส้นทางท่องเที่ยวภายใต้โปรเจค “Shoryudo” ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งยังคงเป็นฤดูหนาวของที่นี่ ผมจึงรีบตกปากรับคำทันทีเพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้เจออีกหนึ่งบรรยากาศที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แปลเป็นไทยง่าย ๆ ตามความคิดของผมคือ “มังกรเหิร” หรือ “มังกรผงาด” อะไรประมาณนั้น เป็นโครงการที่เกิดจากหลายหน่วยงานในภูมิภาคชูบุหรือภาคกลางของญี่ปุ่น ร่วมมือกันสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายและมีมนต์เสน่ห์ไม่แพ้ภาคอื่น ๆ ของญี่ปุ่น สัญลักษณ์ของโชริวโดจะเป็นรูปตัวมังกรที่ลำตัวขดไปมาอยู่บนแผนที่ของภูมิภาคชูบุ เริ่มตั้งแต่ส่วนหางที่จังหวัดมิเอะ ไปจนถึงส่วนหัวมังกรที่จังหวัดอิชิคาวะ รวมแล้วตัวมังกรพาดผ่าน 9 จังหวัดของภูมิภาคนี้ โดยมีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวกว่า 100 อย่าง ทั้งส่วนที่เป็นธรรมชาติอันงดงามตระการตา, สถานที่ทางประวัติศาสตร์, วัฒนธรรมดั้งเดิม, อาหารซีฟู้ดสดใหม่และเนื้อวัวฮิดะอันโด่งดัง หลาย ๆ คนอาจยังไม่คุ้นกับชื่อ “โชริวโด” แต่ถ้าเอ่ยถึง Shirakawa-go (ชิราคาวาโกะ) , กำแพงหิมะ Tateyama หรือลิงแช่ออนเซ็นที่ Nagano (นากาโน่), เมืองโบราณที่ Takayama เชื่อว่าคงเริ่มคุ้นและร้องอ๋อกันแน่ ๆ … ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเส้นทางสาย “โชริวโด” นั่นเอง
เอาล่ะ รู้จัก “โชริวโด” กันพอหอมปากหอมคอแล้ว … พาสปอร์ตพร้อม, เสื้อกันหนาวพร้อม, กล้องพร้อม ออกเดินทางกันเลยดีกว่า
ผมเดินทางสู่ศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคนี้ นั่นก็คือสนามบินนานาชาติเซ็นแทรร์ ในจังหวัดนาโกย่า … ไฟลท์ที่บินเป็นของการบินไทย ออกจากกรุงเทพฯ ราวเที่ยงคืนครึ่งและถึงนาโกย่าตอนเช้าตรู่ ซึ่งวันที่เดินทางนั้นลมส่งท้ายแรงมากทำให้การเดินทางสู่ญี่ปุ่นในครั้งนี้ใช้เวลาบินเพียง 4 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น … โอ้ว แม่เจ้ามันเร็วมาก
ทันทีที่เดินออกจากประตูเครื่องบินก็รับรู้ได้ถึงความเย็นของอากาศ เป็นไปตามที่ทุกสำนักบอกว่าช่วงที่ผมเดินทางจะมีมวลอากาศหนาวขนาดใหญ่เคลื่อนลงมาจากจีนสู่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียตอนบน (ก็ช่วงเดียวกับที่บ้านเราตื่นเต้นกับอากาศหนาวอยู่ 2-3 วันปลายเดือนมกราคมนั่นแหละครับ) … กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินนานาชาติเซ็นแทรร์เป็นด้วยความสะดวก ตัวสนามบินก็ยังดูใหม่สวยงาม สมแล้วที่ได้รับรางวัลมากมายจากสถาบันด้านการบินนานาชาติ
เมื่อออกมาด้านนอกผมเข้าไปเลือกหยิบเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวที่บูธส่งเสริมการท่องเที่ยว น่าดีใจที่หลาย ๆ จังหวัดมีข้อมูลภาษาไทยด้วย แสดงว่าคนไทยไปเที่ยวเยอะนั่นเอง
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวบนเส้นทางสายโชริวโดครั้งนี้ เป็นแบบผสมผสานคือจะใช้ Shoryudo High Way Bus Ticket ซึ่งเป็นพาสสำหรับใช้รถบัสแบบเหมาซึ่งวิ่งระหว่างเมืองหลักในภูมิภาคนี้แบบไม่จำกัด แถมตั๋วรถไฟไป-กลับสนามบินเซ็นแทรร์-เมืองนาโกย่า และมีบางเมืองที่ไม่มีเครือข่ายรถบัสก็จะใช้วิธีการนั่งรถไฟ ส่วนการเดินทางภายในตัวเมืองต่าง ๆ จะใช้บริการตั๋ววันหรือไม่ก็ taxi นับเป็นรูปการเดินทางที่หลากหลายจริง ๆ
อันนี้ต้องอธิบายก่อนเลยว่าในภูมิภาค Chubu นั้น เครือข่ายรถไฟของ JR ไม่ได้ครอบคลุมในบางเมือง แต่จะมีผู้ให้บริการท้องถิ่นของภูมิภาคอันได้แก่บริษัท Meitetsu ที่ให้บริการรถไฟและรสบัสในหลาย ๆ พื้นที่ อาทิ รถไฟจากสนามบินเซ็นแทรร์ไปยังนาโกย่า หรือบัสที่เดินทางไปยัง Shirakawa-go ก็ล้วนให้บริการโดย Meitetsu ซึ่งหากถือตั๋ว JR pass ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการเดินทางในส่วนนี้อยู่ดี … ดังนั้นหากเพื่อน ๆ เดินทางไปกลับจากสนามบินเซ็นแทรร์ที่นาโกย่า หรือมีแผนที่จะเที่ยวในภูมิภาคชูบุตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป น่าจะลองพิจารณาซื้อพาสดังกล่าวนี้เพิ่มเติม น่าจะช่วยประหยัดเงินได้เพราะแค่ค่าตั๋วรถไฟ ไป-กลับสนามบิน และบัสจากเมือง Takayama หรือ Kanazawa ไปยัง Shirakawa-go ก็เกือบคุ้มกับค่าบัสแล้ว สำหรับรายละเอียดของพาสและอัตราค่าโดยสารรวมถึงตารางเวลารถบัส สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์ของ Meitetsu ตาม link นี้ครับ
ผมเริ่มใช้สิทธิ์ผู้ถือ Highway Bus Ticket โดยนำพาสไปแลกเป็นตั๋วรถไฟแบบ Limited Express สำหรับเข้าเมือง Nagoya ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางราวครึ่งชั่วโมง ถ้าอยากนั่งแบบ First Class สามารถจ่ายส่วนต่างที่เรียกว่า uSky อีกคนละ 360 Yen โดยจะใช้เวลาน้อยกว่าราว 5 นาที แต่ที่นั่งจะสะดวกสบายหรูหรากว่า ทั้งนี้สถานีปลายทางคือ Nagoya station ซึ่งเป็นชุมทางของรถไฟสายต่าง ๆ รวมถึง JR และ Shinkansen ด้วย
Counter สำหรับแลกตั๋วอยู่ตรงหน้าทางเข้าสถานีรถไฟ
สามารถเลือกนั่ง first class โดยจ่ายเพิ่มอีก 360 Yen ครับ
คูปองด้านบนขวาถูกแลกเป็นตั๋วรถไฟแล้ว เหลือใช้ได้อีกหนึ่งครั้ง (ไว้สำหรับขากลับ)
ที่นั่งรถด่วนขบวน first class
เสียบตั๋วไว้แบบนี้เลยครับ เจ้าหน้าที่จะได้เห็นชัดเวลาเดินตรวจ
เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Nagoya ผมใช้สิทธิ์ของพาสอีกครั้งโดยนำไปแลกตั๋วรถบัสทางด่วน (Highway Bus) เพื่อเดินทางไปยังเมือง Toyama (โทยามะ) ซึ่งอยู่ริมอ่าวทางตอนบนของภูมิภาคนี้ โดยจะใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง 40 นาที จะว่าไปการเดินทางแบบนี้ก็เหมาะดีเพราะมาถึงเหนื่อย ๆ ก็จะได้นอนยาวบนรถบัส จากนั้นค่อย ๆ เที่ยวจากตอนบนไล่ลงล่างมาเรื่อย ๆ
ก่อนขึ้นรถ ผมซื้ออาหารกล่องสำหรับทานเป็นอาหารเที่ยงบนรถบัสด้วย เพราะระหว่างทางจะจอดที่จุดพักรถเป็นเวลาสั้น ๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น … ส่วนคนที่จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีให้บริการที่ตอนท้ายของรถ
Office ที่แสดงบัตรเพื่อแลกเป็นตั๋วสำหรับขึ้นรถบัสครับ
ชานชลาก็อยู่ใกล้ ๆ ห้องขายตั๋วเลย มีเวลาและปลายทางบอกชัดเจน
แม้ผมจะค่อนข้างเพลียเนื่องจากมีเวลานอนบนเครื่องราว 2 ชั่วโมงเศษ (ก็คุณป้าการบินไทยของเราบินเร็วซะขนาดนั้น) แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูสองข้างทางตลอด … เมื่อรถออกเดินทางมาได้ราวชั่วโมงเศษก็เริ่มเห็นปุยหิมะเกาะอยู่บนยอดไม้และตามพื้นดิน ทำให้รู้ว่าเราเริ่มเข้าสู่พื้นที่สูงแล้ว (อันที่จริงไม่เห็นเลยว่ารถต้องขึ้นเนินชัน ๆ เพราะถนนของเขาใช้วิธีเจาะอุโมงค์ทำให้ไม่ต้องทำถนนขึ้นลงเขาแต่ละลูก)
ยิ่งเดินทางไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเห็นหิมะก่อตัวหนาขึ้น … บัดนี้ทัศนียภาพสองข้างทางถูกเติมด้วยสีขาวของหิมะจนแทบจะไม่เห็นว่าสภาพเดิมเป็นอย่างไร ยิ่งหลาย ๆ จุดเป็นหุบเขาหรือทะเลสาบยิ่งดูสวยงามจับใจจริง ๆ ขับไปอีกไม่นานเราก็เริ่มเจอกับหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้คนขับรถต้องจอดรถเพื่อนำโซ่มาพันล้อ นอกจากนี้บางช่วงของการเดินทาง ยังต้องตามหลังรถกวาดหิมะทำให้รถต้องค่อย ๆ ขยับไปเรื่อย ๆ เพราะห้ามแซง ทำให้เมื่อถึงจุดพักรถคนขับต้องประกาศแจ้งว่าการเดินทางของเราวันนี้จะ delay ค่อนข้างมาก
วิวริมทางสวยจนนอนไม่ลงครับ
ที่จุดพักรถหิมะตกหนักมาก ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณพายุฝนนั่นเอง คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ลงจากรถเพราะอากาศด้านนอกหนาวมาก แต่กระเหรี่ยงไทยแบบเราไม่พลาดครับ ลงไปถ่ายภาพกันสนุกสนาน เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าหนาวไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว
ออกจากจุดพักรถแล้ว รถยังคงวิ่งด้วยความเร็วจำกัดเพื่อความปลอดภัย แต่ก็แลกมาด้วยการได้ชมวิวสวย ๆ ริมทางแบบไม่มีเบื่อ และกว่าจะถึงจุดหมายของเราที่เมือง Toyama (โทยามะ) ก็ตกเย็นแล้วทำให้กำหนดการท่องเที่ยวบางส่วนต้องตัดออกไป
ถึง Toyama แค่เห็นหิมะจากในรถก็หนาวแล้ว
จากจุดลงรถบัสใกล้ ๆ สถานีรถไฟหลักของเมือง เราเดินลากกระเป๋าผ่านกองหิมะ ไปยังโรงแรมเพื่อฝากกระเป๋าไว้
หิมะตกเยอะแบบนี้ บางส่วนจะละลายกลายเป็นน้ำแข็งทำให้ลื่นมากครับ ระว่างทางเดินจะมีท่อน้ำเล็ก ๆ ปล่อยน้ำเพื่อละลายหิมะ แต่บางจุดก็จำเป็นต้องเดินลุยกองหิมะบ้าง
มาคิดได้ตอนถึงโรงแรมว่าทริปนี้พลาดมากเรื่องการเตรียมรองเท้า เพราะเป็นรองเท้าหนังที่ไม่กันน้ำแถมพื้นยังเรียบเกินไป ไม่เหมาะกับการเดินบนพื้นที่หิมะเริ่มแข็งตัว เนื่องจากพื้นจะลื่นมาก ๆ และนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยต้องหมดสนุกเพราะบาดเจ็บจากการลื่นหกล้มระหว่างการท่องเที่ยว ดังนั้นผมแนะนำเลยว่าถ้าทราบว่าต้องเจอสภาพอากาศแบบนี้ให้เตรียมรองเท้าบู๊ทแบบกันน้ำและกันลื่นมาด้วย
เมื่อฝากของเรียบร้อยแล้ว ไกด์ได้นำเราขึ้นรถรางไปชมพิพิธภัณฑ์กระจกประจำเมืองโทยามะ ซึ่งเพิ่งสร้างมาได้ไม่นานและอยากแนะนำให้คนที่มีใจรักในศิลปะได้รู้จักกัน …
เดินไปขึ้นรถราง เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์
ภายในพิพิธภัณฑ์ (บริเวณที่เป็นห้องแสดงงานแก้วจะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ)
ออกจากพิพิธภัณฑ์ เราเดินทางต่อไปยังสวนสาธารณะฟุกังอึนกะคังซุย (Fugan-ungakansui Park) ซึ่งเป็นสวนสวยริมน้ำ พื้นที่กว้างขวาง และในช่วงหน้าหนาวแบบนี้สีขาว ๆ ฟู ๆ ของหิมะทำให้บรรยากาศที่นี่สวยงามราวกับสวนสวรรค์ทีเดียว ยิ่งได้รับการประดับประดาไฟยามค่ำคืนยิ่งทำให้ที่นี่สวยตรึงตามาก ๆ … แม้อากาศจะหนาวจัดผมก็อดไม่ได้ที่จะบันทึกความสวยงามยามค่ำของที่นี่ไว้ ก่อนที่จะหลบเข้าไปดื่มกาแฟร้อน ๆ คลายหนาวที่ Starbucks สาขา Toyama ที่ได้รับรางวัล Best Design Award ประจำปี 2008 นับเป็นสาขาหนึ่งของ Starbucks ที่คุ้มค่าต่อการอุดหนุนอย่างยิ่งเพราะวิวที่นี่ทำให้รู้สึกว่าค่ากาแฟถูกไปเลย
ออกจากสวนฟุกังอึนกะคังซุย (ชื่อจำยากจังวุ้ย) เราเดินทางไปร้านซูชิแนะนำประจำเมืองชื่อ Yumehachi เป็นร้านเล็กๆ อยู่บนถนนสายหลักใกล้สถานีรถไฟ Toyama คนขายเป็นคุณป้าชาวญี่ปุ่นอารมณ์ดี ค่อย ๆ บรรจงเสิร์ฟซูชิหลากหลายให้เราทีละชิ้น … แม้ผมจะไม่ใช่คออาหารญี่ปุ่นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความสดของซีฟู้ดแต่ละอย่างที่ใช้ทำซูชิที่นี่ เพราะรสชาติอร่อยและไม่คาวเลย โดยเฉพาะคำที่เป็นปลาหมึกและกุ้งหวานอร่อยมาก ๆ ..
ต้องยอมรับเลยว่ามื้อนี้เป็นมื้อซูชิที่อิ่มทั้งท้องและความรู้จริง ๆ
จากร้านเดินกลับไปยังโรงแรม TOYOKO IN TOYAMA EKI MAE ซึ่งเป็นที่พักของเราก็ไม่ไกลครับ แต่อากาศหนาวจัดแบบนี้กว่าจะเดินถึงก็ต้องค่อย ๆ ย่องไปเพราะก้าวขาไม่ค่อยออกแถมพื้นยังลื่นมากด้วย
โรงแรมนี้เป็นลักษณะ Business Hotel ทำเลถือว่าดี ห้องพักก็เล็ก ๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่นเค้าล่ะ แต่ก็สะอาดและมีสิ่งอำนวยให้ตามสมควร (ผมว่าน่าจะมีน้ำดื่มเพิ่มให้สักขวดในห้อง)
ห้องพักเล็ก ๆ ของผมคืนนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้าแบบเรียบง่ายที่ห้องโถงด้านล่างโรงแรมแล้ว เรามีแผนจะต้องเดินทางไปยังเมือง Kanazawa (คานาซาวะ) ในจังหวัด Ichikawa (อิชิคาวะ) ด้วยรถบัส แต่ทว่าสภาพอากาศที่ย่ำแย่ หิมะตกหนักมาก ทำให้รถบัสต้องยกเลิกตลอดทั้งวัน เราจึงต้องเปลี่ยนแผนนั่ง Shinkansen ไปแทน ทั้งนี้เพื่อน ๆ ที่เดินทางมาในช่วงหน้าหนาวอาจต้องเตรียมการเรื่องแผนสำรองไว้ด้วยในกรณีที่อาจเจอสถานการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตามผมถามทางเจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลว่าเหตุการณ์ที่รถจะงดตลอดทั้งวันนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลเกินไปนะครับ ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูอื่น ๆ หรือช่วงที่หิมะหยุดตกแล้วการเดินรถก็เป็นไปตามตารางเวลาตามมาตรฐานญี่ปุ่นเค้าล่ะครับ
หิมะตกหนักจนรถบัสต้องยกเลิกทั้งวัน
เมื่อได้ตั๋ว Shinkansen แล้วก็เป็นอันสบายใจ ขึ้นไปยืนรอที่ชานชลา (กลัวไม่ได้ไป อิอิ) ทำให้ได้ทราบอีกเรื่องเพิ่มเติมว่าระบบการทำงานของรถไฟหัวจรวดชินคันเซ็นนั้นถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานที่สภาพอากาศย่ำแย่ด้วย อย่างในช่วงหิมะตกแบบนี้จะมีการฉีดน้ำลงไปบนรางเพื่อละลายหิมะ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมค่าโดยสารของรถไฟ Shinkansen จึงสูงกว่ารถไฟทั่วไป
วันนั้น Shinkansen มา late ซึ่งเป็นเหตุการที่เกิดไม่บ่อยครั้งนัก แต่ยังดีที่ไม่ปิดบริการ
จากเมือง Toyama รถไฟใช้เวลาไม่นานก็ถึงเมือง Kanazawa ที่เป็นเมืองหลวงของจังหวัด Ishikawa ระหว่างทางได้เห็นบรรยากาศที่แตกต่างกันทั้งฟ้าใสเห็นพระอาทิตย์ และบางจุดที่หิมะตกหนักมากจนขาวโพลนไปหมด
ทิวทัศน์ระหว่างทาง
แต่เมื่อมาถึงเมือง Kanazawa ก็ค่อยอุ่นใจหน่อยเพราะฟ้าค่อนข้างเปิด แม้จะไม่ใสกิ๊กแต่ก็ไม่ถึงกับมืดทึม … ผมจัดแจงนำกระเป๋าเดินทางใส่ตู้ locker ที่สถานีรถไฟ (หากจะใช้บริการตู้ล็อกเกอร์ที่ญี่ปุ่นให้แลกเหรียญ 100 Yen ไว้เยอะ ๆ ครับเพราะตู้ไม่รับเหรียญอื่น สำราคาสำหรับกระเป๋าใบใหญ่ก็ราว 600-700 Yen ครับ) จากนั้นซื้อตั๋ววันสำหรับเดินทางภายในเมือง Kanazawa โดยวันนี้มีจุดหมายคือสวน Kenroku-en ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสามของสวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว … ทั้งนี้จุดขึ้นรถบัสก็อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟนั่นเอง นับว่าสะดวกมาก แต่กว่ารถบัสสายที่วิ่งตรงไปยังสวนจะมาถึงก็ late ไปค่อนข้างนาน อาจเป็นเพราะไม่สามารถวิ่งได้แบบปกติเนื่องจากมีหิมะสะสมบนถนนนั่นเอง …
พาส 1 วัน สำหรับนั่งรถภายในเมือง Kanazawa ครับ
บัสบางคันหน้าตาน่ารักเชียว คนขับเป็นผู้หญิงด้วย
น่าแปลกใจนิดหน่อยที่แม้จะเลือกสายที่เป็น Kenroku-en shuttle แต่รถคันดังกล่าวก็ยังแวะหลาย ๆ ป้ายระหว่างทาง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
ป้ายที่ต้องลงเพื่อชมสวน Kenroku-en จะมี 2 ป้ายหลัก ๆ แต่เพื่อให้จำง่ายก็ให้ลงป้ายที่ชื่อเดียวกับสวนได้เลย และไม่ต้องงงว่าหาสวนไม่เจอ เพราะจากป้ายเดินตามทางมาอีกเล็กน้อย พอเลี้ยวซ้ายก็จะเริ่มเห็นปากทางเข้าสวนแล้วล่ะครับ ทั้งนี้ค่าเข้าชมสวนสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่คนละ 310 Yen
บริเวณทางเข้าสวนครับ แค่นี้ก็สวยจนรัวชัตเตอร์ไม่หยุดแล้ว
สวนแห่งนี้สร้างโดยตระกูล Maeda ซึ่งปกครองเขต Kaga ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นยังปกครองด้วยโชกุน … และตรงข้ามกับสวนนี้ยังมีปราสาท Kanazawa ซึ่งเดิมเคยเป็นที่อาศัยของเจ้าเมืองตระกูล Maeda ด้วย …
ฝั่งตรงข้ามกับสวนจะมีสะพานเดินไปยังปราสาท Kanazawa
ในแต่ละฤดูสวนแห่งนี้ก็จะมีความงดงามแตกต่างกันออกไป สำหรับฤดูหนาวแบบนี้หิมะที่ปกคลุมต้นสนรวมถึงพื้นทั้งหมดจนเป็นสีขาวไปทั่ว น้ำในบึงกลายเป็นน้ำแข็งเนรมิตให้สวนแห่งนี้งดงามราวกับเดินอยู่บนสรวงสวรรค์เลยจริง ๆ
สำหรับ highlight ของที่อยู่ตรงโคมไฟหินที่ตั้งอยู่ริมบึงขนาดใหญ่ ซึ่งใคร ๆ ก็ต้องมาถ่ายภาพที่มุมนี้ … ส่วนผมก็ไม่พลาดครับ แต่ผมว่ามุมอื่น ๆ ก็สวยงามไม่แพ้กัน รวมถึงลานกว้างริมบึงที่สามารถมองเห็นเรือนไม้ทรงญี่ปุ่นและเกาะเล็ก ๆ กลางบึงลักษณะคล้ายเต่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวด้วย
ออกจากสวนที่ประตูอีกด้านหนึ่ง ระหว่างรอรถก็เก็บภาพไปเรื่อย
ผมใช้เวลาเดินชมและถ่ายภาพในสวนอยู่พักใหญ่ก็เดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ เพื่อทานอาหารเที่ยงซึ่งเป็นของชื่อดังประจำถิ่นอันได้แก่ Kanazawa Curry ที่ร้าน GoGoCurry ซึ่งเป็นเนื้อประเภทต่างๆ ชุบแป้งทอดราดแกงกะหรี่แบบชุ่ม ๆ มีให้เลือก 3 ขนาด S,M,L ผมเลือก M ปรากฏว่าทานแทบไม่หมดครับ มันจานใหญ่มาก ถ้ากินไม่จุจริง ๆ แนะนำให้เลือก S ก็พอครับราคาราว 600-700 Yen … สำหรับรสชาติก็ถูกปากดีครับ ยิ่งใครชอบเครื่องแกงกะหรี่น่าจะยิ่งชอบ
เจอจานนี้เข้าไปอิ่งแปร่เลย
โปรแกรมสำหรับบ่ายวันนี้เราจะเดินทางด้วยรถไฟสาย JR ไปยังเมือง Wakura Onsen ซึ่งเป็นเมืองริมอ่าว Nanao ทางตอนเหนือของจังหวัด Ishikawa … เห็นชื่อเมืองคงไม่ต้องบอกว่าที่นี่เป็นเมืองแห่งน้ำพุร้อน และว่ากันว่าเป็นแหล่งแช่ออนเซ็นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นซะด้วย…
ทั้งนี้เรียวกัง Notoraku Onsen ที่พักของเราได้ส่งรถบัสมารับถึงสถานี ซึ่งใช้เวลาเดินทางราว 5 นาทีไปยังโรงแรม … ดูจากภายนอกเรียวกังนี้เป็นตึกสูงดูธรรมดามาก (คล้าย ๆ กับโรงแรมทั่วไปในญี่ปุ่นที่ดูภายนอกมักจะธรรมด๊า ธรรมดา) แต่พอเข้าไปด้านในก็เห็นได้ถึงความโอ่โถง และถัดไปจาก reception เล็กน้อยเป็น living area ที่มองเห็นวิวของอ่าว Nanao ด้านนอก แต่ที่ผมชอบมากคือสระว่ายน้ำที่บัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะโดยรอบและไม่มีร่องรอยของการเดินย่ำเพราะบริเวณนั้นถูกปิด ทำให้เห็นหิมะขาว ๆ ฟู ๆ สวยได้ใจจริง ๆ
ที่พักคืนนี้ของผมครับ เป็นเรียวกังตั้งอยู่ริมอ่าว Nanao
โปรแกรมไปชม Aquarium เย็นวันนี้ถูกงดไปเพราะความล่าช้าของการเดินทาง เราจึงถือโอกาสเดินชมเมืองแทน โดยเรามุ่งหน้าไปยัง จตุรัสฮิโรบะ (Hiroba public square) ซึ่งมีหอนาฬิกากับบ่อน้ำพุร้อนเล็ก ๆ และศาลเจ้า ที่ให้นักท่องเที่ยวได้มาขอพรเพื่อความมั่งคั่งกัน แน่นอนว่าผมไม่พลาด อิอิ
ขากลับผมต้องเดินฝ่าหิมะที่ตกอย่างหนัก เริ่มรู้สึกหนาวจัดเพราะรองเท้าเริ่มเปียกไปถึงด้านใน จึงต้องเร่งฝีเท้าเพื่อกลับไปรับอากาศอุ่นๆ ในโรงแรม และจำเป็นต้องนำถุงเท้าไปพาดบนโคมไฟในห้องเพื่อให้แห้ง (ไม่สมควรเลียนแบบนะครับ แต่ที่พักในญี่ปุ่นไม่ยักกะมี heater แบบทางยุโรปก็เลยต้องใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน)
รีบเก็บภาพก่อนจะมีส่วนเกินไปโปะบนโคมไฟ
Lobby ยามค่ำ อื้ออหือออ… สวยซะ
ค่ำวันนี้เรามีนัดทานอาหารค่ำแบบมื้อใหญ่ (Japanese set) กันที่ห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรม … ตอนมาถึงอาหารถูกวางไว้เกือบครบแล้วตามคำร้องขอ เพราะเราอยากถ่ายภาพแบบเต็มที่ หากนำมาเสิร์ฟทีละอย่างตามประเพณีนิยมคงต้องทานไปหยุดไป เสียอรรถรส … หรือพูดอีกอย่างก็คือ อยากรีบถ่ายภาพให้เสร็จจะได้ทานแบบไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ 555
ห้องอาหารของโรงแรมเป็นสไตล์ญี่ปุ่น มีทั้งแบบนั่งบนเสื่อ หรือจะเลือกแบบประยุกต์นั่งโต๊ะในห้องพิเศษแบบเราก็ได้ เห็นอีกกรุ๊ปนั่งเสื่อริมหน้าต่างมองวิวสวนที่ปกคลุมด้วยหิมะไป ทานมื้อค่ำไป มันฟินมาาก
สำหรับรสชาติอาหารอร่อยถูกปากมากครับ กลายเป็นว่าแซลมอนย่างที่ปกติเป็นอาหารโปรดสุดตอนอยู่เมืองไทยกลายเป็นของที่อร่อยน้อยที่สุดเลย 555 … ค่ำวันนั้นได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดกับชาวญี่ปุ่นที่เคยอยู่เมืองไทย ได้ความรู้ใหม่ๆ เยอะเลย
หลังมื้ออาหารค่ำ ได้เวลาแช่ออนเซ็นแล้ว … ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในการใช้บริการออนเซ็นสาธารณะสำหรับผมเลยล่ะ เพราะตอนเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วงนั้นใช้บริการห้องส่วนตัว อิอิ .. อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่ค่อยมีคนไทยจึงไม่น่าเขินมากนัก สวมชุดยูกาตะจากห้องแล้วเดินเข้าไปในออนเซ็นที่แยกหญิงชาย จัดแจงเก็บของไว้ในล็อกเกอร์แล้วเดินแบบเนียน ๆ เข้าไปใช้บริการ … ในห้องเป็นบ่อขนาดใหญ่ในร่มมีคนไม่เยอะนัก ผมล้างตัวเรียบร้อยก็ลองนั่งจุ่มเท้าในบ่อก่อนที่จะค่อย ๆ คืบคลานลงไปเรื่อย ๆ … อู้ววววอุ่นสบายดีจัง แต่เอ๊ะมีประตูออกไปด้านนอกด้วย เดินไปสำรวจดีกว่า … และแล้วก็เจอบ่อแบบ open air ไม่มีคนเลย (คงไม่มีใครอยากสัมผัสความหนาว) งานนี้สบายเลยครับ แช่อย่างสบายใจ มีหิมะตกลงมาปรอย ๆ บนหน้ามันช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้
หากเพื่อน ๆ มีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว แนะนำเลยครับว่าต้องหาโอกาสแช่ออนเซ็นในบ่อกลางแจ้งสักครั้ง รับรองว่าติดใจกลับไปนอนหลับสบายแบบผมแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางกลับไปยัง Kanazawa เพื่อต่อรถบัสไป Shirakawa-go ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน highlight ของทริปนี้ .. สถานที่ขึ้นรถบัสก็ยังคงอยู่หน้าสถานีรถไฟเช่นเดิม สำหรับชานชลาที่จะไป Shirakawa-go นั้นอยู่ตรงหน้า Starbucks พอดีหาไม่ยากเลย โดยผมใช้ Highway Bus Ticket จึงไม่ต้องเสียค่ารถบัสอีกแล้ว แต่ถ้าไม่มีพาสต้องซื้อตั๋วไปกลับที่ราคา 3,290 Yen (หากเดินทางจากเมือง Takayama ตั๋วราคา 6,070 Yen) ดังนั้นเพื่อน ๆ ที่มีโปรแกรมเที่ยว Shirakawago โดยผ่าน Takayama น่าจะซื้อพาสแบบ 3 วันที่ราคา 7,000 Yen เพราะคุ้มค่ากว่าเพราะสามารถใช้เดินทางไปยังเมืองอื่น ๆ ได้ด้วยครับ
บัสใช้เวลาเดินทางจาก Kanazawa ไปยัง Shirakawa-go ราว 1 ชั่วโมง ซึ่งตลอดทางนั้นวิวสวยงามจริง ๆ แต่วันนี้มันยอดเยี่ยมตรงที่อากาศดีมาก ฟ้าสีน้ำเงินใสกิ๊กตัดกับปุยหิมะขาว ๆ ที่อยู่บนพื้นและที่เกาะอยู่ตามยอดไม้ …
ทันทีที่รถบัสเข้าสู่เขตหมู่บ้าน Shirakawa-go ผมก็หยิบกล้องออกมาถ่ายภาพอย่างตื่นเต้น ทั้งกล้องใหญ่ Gopro และมือถือ เรียกได้ว่าถ่ายแทบไม่คิดชีวิตเลย เพราะบรรยากาศที่รายรอบด้วยบ้านหลังคาทรงสามเหลี่ยมมุงหญ้า นี่มันหมู่บ้านในนิทานชัด ๆ ยิ่งหิมะขาวฟูท่ามกลางแดดอุ่น ๆ แบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก รู้สึกตื้นตันจนอยากจะร้องไห้จริง ๆ (อารมณ์ประมาณนางงามได้รับมงกุฎนั่นแหละ)
วิวแบบนี้คือมันดีงามพระรามเก้ามาก ๆ
จุดลงรถบัสเป็นฝั่งของหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเขตมรดกโลก เราจัดแจงฝากของที่ locker จากนั้นก็เดินข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งของหมู่บ้านที่เป็นเขตอนุรักษ์ภายใต้การกำกับของ USNESCO … แต่กว่าจะข้ามสะพานได้ใช้เวลานานมาก ไม่ใช่เพราะมันเดินยากอะไรหรอกครับ แต่รอบ ๆ ตัวมันสวยไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพตรงหน้าไว้ให้ครบถ้วน
ที่หมู่บ้าน Shirakawa-go มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตา การเดินเที่ยวในหมู่บ้านก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนครับเพราะบ้านแต่ละหลังวางตัวห่าง ๆ กัน มีถนนพาดไปมาไม่มากนัก จะว่าไปเดินแบบผ่าน ๆ ไม่นานก็ทั่วแล้ว แต่ว่าด้วยความที่บ้านแต่ละหลังมันน่ารักจึงใช้เวลาถ่ายภาพกันนานกว่าจะผ่านไปได้ ยิ่งช่วงนี้หิมะบางส่วนละลายแต่ด้วยอุณหภูมิที่ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งทำให้ตรงชายหลังคาเกิดหยดน้ำรูปกรวยแหลมเต็มไปหมด แม้จะดูน่ากลัวอยู่บ้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปเก็บภาพใกล้ ๆ
วันนี้เราทานมื้อเที่ยง Houba Miso Set Lunch กันที่ร้านอาหารในหมู่บ้าน แน่นอนว่าหนึ่งในเมนูเด่นคือเนื้อวัวฮิดะชื่อดังที่หวานนุ่มลิ้นจริง ๆ อีกสองอย่างที่ผมชอบคือปลากับสาหร่ายครับรสชาติหวานกลมกล่อมดี ..
ไหน ๆ มาเที่ยวแล้ว ทำความรู้จักกับ Shirakawa-go กันหน่อยครับ
หลังจากมื้อเที่ยงแล้วเรานั่งรถขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ซึ่งปกติแล้วจะต้องนั่งรถบัสที่มีบริการเป็นรอบ ๆ แต่ผมได้รับความกรุณาจากเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นใช้รถส่วนตัวพาพวกเราขึ้นไปด้านบน … จากจุดนี้จะมองเห็นตัวหมู่บ้านทั้งหมดถูกขนาบด้วยภูเขาและมีแม่น้ำไหลผ่านดูแล้วสดชื่นมาก ๆ … เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดู light up ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของนักท่องเที่ยวและช่างภาพเลยทีเดียว
ลงจากจุดชมวิวแล้วเราเดินไปชมบ้าน “วาดะ” แต่เสียดายที่วันนี้ปิดทำการ ทราบมาว่าวันก่อนหน้ามีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต เจ้าของบ้านคงไปช่วยงาน ผมก็เลยถือโอกาสเดินถ่ายภาพบริเวณรอบ ๆ แทน ก่อนที่จะกลับไปยังจุดขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Takayama ซึ่งเป็นเมืองที่พักของเราในคืนนี้
จาก Shirakawa-go ไปยัง Takayama ผมยังคงใช้ Highway Bus Ticket ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแล้ว (ค่ารถปกติขาเดียวอยู่ที่ 2,470 Yen) โดยใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถบัสของเมือง Takayama … เมื่อลงรถบัสแล้วก็เดินลากกระเป๋าไปยัง Hida Plaza Hotel ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้ … พอเปิดเข้าห้องถึงกับตกใจเลยเพราะห้องกว้างมาก จะว่าไปกว้างกว่า ห้อง deluxe ของโรงแรมบ้านเราซะอีก หากจะเทียบกับห้องของโรงแรมในญี่ปุ่นแล้วต้องถือว่าห้องขนาดนี้ใหญ่เว่อร์เลย ที่สำคัญเป็นอีกโรงแรมนึงที่มี onsen ให้บริการด้วย โดยอยู่บนชั้นดาดฟ้า นอนแช่ออนเซ็นไปชมวิวไป แค่คิดก็ฟินแล้ว
ห้องพักที่เมือง Takayama กว้างขวางมาก
แต่เดี๋ยวก่อน .. บ่ายนี้เรามีนัดไปเดินชมเมืองกัน ซึ่งจากโรงแรมเดินลัดเลาะแบบสบาย ๆ ผ่านถนนสายเล็ก ๆ ไปจนถึงแม่น้ำ Miyakawa เพียงไม่นานก็ถึงแล้ว … ผมไปถึงในช่วงแดดเย็นกำลังทอแสงสีทอง ๆ พอดี ภาพของแสงแดดที่จับลงบนปุยหิมะขาวกับบ้านเรือนทรงญี่ปุ่นดั้งเดิมเป็นอะไรที่คลาสสิคมาก
เราค่อย ๆ เดินเลียบลำธารที่น้ำใสปิ้ง มีหิมะเกาะอยู่ริมตลิ่ง ขณะเดียวกันก็ฟังเรื่องราวของ Takayama ไปด้วย ทั้งนี้ตั้งแต่โบราณเมือง Takayama หรืออีกสมญญาคือ Little Kyoto นั้น เมื่อก่อนมีเจ้าเมืองและธรรมชาติสมบูรณ์มาก โชกุนจึงไล่เจ้าเมืองออกเพราะต้องการบริหารเมืองนี้โดยตรง … และด้วยความที่มีวัตถุดิบมากมาย เมืองนี้จึงมีช่างไม้, ช่างดินเผา, ช่างหล่อซึ่งเป็นช่างฝีมือทักษะสูงย้ายเข้มทำงานเยอะ โดย Takayama นั้นพื้นที่พอ ๆ กับโตเกียวแต่มีประชากรเพียง 90,000 คน ทำให้สภาพโดยทั่วไปในเมืองค่อนข้างสงบไม่วุ่นวาย คนที่เดินไปเดินมาส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวนั่นเอง
ถนนริมน้ำที่ผมเดินชมนี้ ในตอนเช้าจะกลายร่างเป็น morning market ที่เราจะพบเกษตรกรนำผลิตผลทางการเกษตรทั้งแบบสดและแปรรูปแล้ว รวมถึงของฝากของที่ระลึกมาเปิดเพิงขาย ซึ่งแน่นอนว่าพรุ่งนี้เราจะแวะมาดูอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนวันนี้เราเดินเลยไปจนถึงเมืองโบราณ Takayama ซึ่งยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนแบบดั้งเดิมไว้ แต่ละหลังก็จะถูกดัดแปลงทำเป็นร้านขายสินค้าประจำท้องถิ่น หลังไหนมีลูกกลม ๆ ขนาดใหญ่ (น่าจะทำจากฟางข้าว) แขวนไว้หน้าบ้านแสดงว่าด้านในมีสาเกขาย และสีที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลบ่งบอกว่าสาเกถูกบ่มได้ที่แล้ว … บางร้านมีให้ชิมฟรีก่อนซื้อด้วย ใครชอบพวกเหล้าบ๊วยหรือสาเกหาซื้อกันที่นี่ได้เลย
เดินไปเรื่อย ๆ จะถึงแยกที่ทะลุไปยังสะพานแดง จุดชมวิวมหาชนของ Takayama ได้
เมื่อพระอาทิตย์ลับของฟ้า อากาศยิ่งหนาวจัด เท้าของผมที่ยังชื้นเนื่องจากไปเดินย่ำเล่นบนกองหิมะที่ Shirakawa-go เริ่มออกฤทธิ์ เหมือนเท้าจุ่มอยูในถังน้ำแข็งตลอดเวลา สิ่งที่ทำได้คือเร่งฝีเท้าให้ถึงโรงแรมเร็วที่สุด
หนาวก็หนาวแต่อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพสวย ๆ ริมทาง
มื้อเย็นวันนั้นเราทาน Japanese set กันที่ห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรม ซึ่งวันนี้มีสุกี้เนื้อวัวฮิดะแบบจัดเต็ม นอกจากนี้ยังมีอาหารพื้นเมืองอีกหลากหลาย นับเป็นอีกมื้อที่อิ่มอร่อยมาก ๆ
คืนนั้นผมได้ลองใช้บริการออนเซ็นที่โรงแรมอีกครั้ง ซึ่งห้องหลักจะเป็นบ่อในร่มขนาดใหญ่ ติดกันเป็นบ่อ outdoor ขนาดเล็ก และหากเดินขึ้นไปอีกชั้นก็จะพบกับ Jacuzzi และอ่างแช่ตัวสำหรับคนเดียว ผมลองเกือบทุกบ่อและมาปิดท้ายที่ Jacuzzi แต่ต้องรีบขึ้นหลังจากมีชายหนุ่มญี่ปุ่นอีกคนเดินลงมาแช่ด้วย รู้สึกผู้ชายสองคนนั่งแช่ออนเซ็นตรงข้ามกันแล้วมันรู้สึกโรแมนติกเกินไปแล้ว เลยรีบกลับไปนอนดีกว่า 555
เช้าวันรุ่งขึ้นเราทาน Buffet กันที่โรงแรม ซึ่งอาหารก็หลากหลายดี และได้ยินเสียงคนไทยพูดคุยกันอยู่ 2-3 กลุ่มเลย จากนั้นผมเดินไปเที่ยวตลาดเช้าอีกครั้ง แต่วันนี้มีหิมะตกปรอย ๆ แถมมีลมด้วย เหล่าแม่ค้าก็เลยมาเปิดร้านกันน้อย ไม่คึกคักเท่าที่ควร .. ตรงช่วงกลาง ๆ ของถนนมีที่เก็บรถโบราณที่ใช้ในการประกอบพิธีแห่ในเทศกาลประจำปีซึ่งจัด 2 ครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อแสดงความขอบคุณเทพเจ้าด้านการเกตรกรรมและเป็นสิริมงคลต่อคนในเมือง ทั้งนี้ Takayaman Spring & Autumn Festival ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน 3 เทศกาลที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ชมเมืองกันอีกครั้งยามเช้า
หลังจากเดินชมเมืองในช่วงเช้าแล้ว เรากลับโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าแล้วไปขึ้นรถบัสเพื่อกลับไปยัง Nagoya ซึ่งแน่นอนว่าค่าตั๋วรวมอยู่ใน Highway Bus Ticket แบบ 5 วันของเราเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาในการเดินทางราว 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยรถจะพักหนึ่งครั้งระหว่างทาง และจอด 2 จุดที่ปลายทางคือตรงสถานี JR และป้ายสุดท้ายที่อาคาร Meitetsu ซึ่งเป็นศูนย์รถบัสของบริษัท …
ได้เวลาโบกมือลาทาคายาม่ากลับเข้าเมืองนาโกย่าแล้ว
นั่งรถบัสไปชมวิวไปฟินเป็นที่สุด
เมื่อถึงเมืองนาโกย่าเราถือโอกาสเดินเที่ยวห้าง Meitetsu ซึ่งมีคูปองลด 5% เพิ่มเติมจาก tax refund ให้มาพร้อมกับชุด Highway Bus Ticket จะบอกว่า Muji ที่นี่ใหญ่โตและหลากหลายมาก และมีส่วนที่เป็นร้านอาหารด้วย
จากนั้นเรานำกระเป๋าไป check in กันที่ Meitetsu Grand Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมทำเลดีอยู่บนตึก Meitetsu นั่นเอง … จากที่นี่จะเดินทางต่อด้วยบัสหรือรถไฟไม่ว่าจะเป็น JR line หรือ Meitetsu ก็สะดวกเพราะอยู่ไม่ไกล
ที่พักคืนนี้กับวิวสวย ๆ ของเมืองนาโกย่า
ก่อนเริ่มโปรแกรมช่วงบ่ายเราทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Yabaton ซึ่งเป็นร้านดังของนาโกยาที่มีเมนูเด็ดเป็นหมูทงคัดสุหรือหมูชุบแป้งทอด แต่น้ำมิโสะของร้านนี้จะเข้มข้นเป็นพิเศษ ราคาต่อชุดประมาณ 1600 Yen ทานกันอิ่มเลยทีเดียวเพราะให้เนื้อหมูมาเยอะมาก ๆ
การสำรวจ Nagoya ในช่วงบ่ายวันนี้เริ่มจากย่านช็อปปิ้งสินค้ามือสองโอสุ ซึ่งมีร้านค้าเรียงรายตลอดสองข้างทางให้เลือกช็อปได้อย่างจุใจ นอกจากนี้บริเวณทางเข้ายังมีศาลเจ้า Ran no Yakata ให้ไปขอพรให้ช็อปได้ของถูก เอ้ย! ให้มีทรัพย์สินเงินทองไม่ขาดมือด้วย
ในย่านนี้นั้นนอกจากร้านรวงเล็ก ๆ เต็มไปหมดแล้วยังมีห้างใหญ่ Kemehyo ที่มีสินค้ามือสองตั้งแต่แบบที่ขายเป็นขีด ไปจนถึง brand name ที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพมาให้เลือกมากมาย รับรองว่าถูกอกถูกใจขาช็อปแน่นอน
ออกจากย่านช็อปปิ้ง เราไปเดินชมเมืองกันโดยเริ่มตั้งแต่บริวเณหอคอย Nagoya ซึ่งเคยใช้เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์และเพิ่งเลิกใช้ไปเมื่อตอนที่ทีวีเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล หอคอยแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ทำสัญญารักกันระหว่างหน่มสาวนาโกย่าด้วย ใกล้ ๆ กันคือ Oasis 21 ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คของย่าน “ซากาเอะ” อันเป็นใจกลางเมืองนาโกย่า ถ้าเป็นช่วงเทศกาลล่ะก็แถบนี้คงโชว์สีสันตระการตาเลยทีเดียว
เดินชมบรรยากาศจนค่ำ จึงแวะเข้าไปช็อปซื้อของฝากที่ร้านเจ้าแพนกวิ้นน้อย Donkihote ซึ่งอยู่ในย่านเดียวกัน แน่นอนว่ามีของให้เลือกมากมายหลากหลายตามสไตล์ Donkihote ไม่ต้องไปเดินหาที่อื่นให้วุ่นวาย มาที่นี่ได้แทบครบเลย
ช็อปปิ้งจนกระเป๋าตุงแล้ว (กระเป๋าเสื้อผ้านะ ส่วนกระเป๋าตังค์แฟบ) ก็ได้เวลาอาหารค่ำ มื้อนี้เราทานเมนูปูกันที่ร้าน Kani-Honke (คานิฮงเกะ) ซึ่งเป็นร้านใหญ่มากมีกว่า 14 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ซับโปโรถึงฟุคุโอกะ และคงมีคนไทยนิยมมาทานกันเพราะขนาดที่ป้ายร้านยังมีภาษาไทยเลย โดยห้องทานอาหารจะมีให้เลือกหลากหลายสไตล์ รวมถึงห้องส่วนตัวด้วย
สำหรับเมนูวันนี้เน้นไปที่เนื้อปูล้วน ๆ ครับทั้งซูชิ, ชาบูหรือปูชุบแป้งทอด อาหารที่เสิร์ฟนั้นเยอะมากครับแต่ก็ทานจนหมดเพราะเนื้อปูสดหวานอร่อยมาก ๆ โดยแหล่งของปูหลัก ๆ จะมาจาก Hokkaido นั่นเอง
เช้าวันสุดท้ายของทริป เราเดินทางไปเที่ยวเมือง Inuyama ซึ่งอยู่ห่างไปทางตอนเหนือของ Nagoya ราว 1 ชั่วโมง โดยการเดินทางใช้รถไฟ Meitetsu line ไปลงที่สถานี Inuyama
ทั้งนี้ในช่วงเช้าเราไปเที่ยว Meiji mura (หมู่บ้านเมจิ) ซึ่งเป็นพิพิธภัณ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่รวบรวมเอาบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างในสมัย Meiji ของญี่ปุ่นมาให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน แต่ที่น่าทึ่งคืออาคารเหล่านี้ไม่ใช่เป็นขนาดจำลองหรือสร้างเลียนแบบนะครับ แต่ว่ายกตัวอาคารจริง ๆ มาไว้ที่นี่กันเลยทีเดียว
ยามเช้าที่ Inuyama
จากสถานีรถไฟ Inuyama ใช้บริการรถบัสไปที่สถานี Meiji mura ใช้เวลาราว 25 นาทีก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ค่าตั๋วรถบัสอยู่ที่คนละ 240 Yen ต่อเที่ยว และสำหรับ Meiji mura จะมีค่าเข้าชมรวมค่านั่งรถภายใน 2700 Yen ซึ่งจะมีทั้งรถบัสโบราณ, รถไฟหัวจักรไอน้ำและรถราง (จริง ๆ มีราคาเฉพาะค่าเข้าชมที่คนละ 1700 Yen แต่ต้องไปเสียค่ารถอีกครั้งละ 500 Yen ผมคิดว่าซื้อแบบเหมาคุ้มกว่าครับ)
ตั๋วพร้อมสำหรับเข้าชมแล้วครับ
สำหรับอาคารต่าง ๆ จะวางตัวเรียงรายกันไป จะว่าไปถ้าหากมีเวลาและชอบเดินก็เดินไม่ยากครับ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าสถาปัตยกรรมในช่วงนั้นส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติตะวันตกเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงโรงแรมโตเกียวอิมพีเรียลเก่า, วิหารเกียวโตเซนต์ฟรานซิสซาเวียร์, ชุมสายโทรศัพท์, ที่ว่าการประจำจังหวัด, โรงพยาบาล, โรงเรียน, โรงหมักสาเก ทั้งนี้สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ถูกรวบรวมมาจากทั่วประเทศเลยทีเดียว … มาที่นี่แล้วอย่าพลาดนั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำด้วยนะครับ ได้บรรยากาศดีจริง ๆ
ออกจาก Meiji mura แล้วเรากลับไปยังสถานี Inuyama แล้วเดินไปย่านเมืองเก่า เพื่อที่จะไปยังปราสาท Inuyama อันเป็นอีกหนึ่งปราสาทสวยใกล้เมือง Nagoya
สองข้างทางของถนนที่มุ่งสู่ปราสาท Inuyama เป็นเรือนไม้เก่าคลาสสิคแบบญี่ปุ่นที่บางส่วนถูกนำมาทำเป็นร้านค้าขายสินค้าที่ระลึกและอาหาร
ที่เมือง Inuyama เป็นอีกแห่งที่มีเทศกาลแห่รถโบราณ ซึ่งสถานที่เก็บรถก็อยู่บริเวณหมู่บ้านนั่นเอง
ที่สุดถนนเดินขึ้นเนินไปไม่ไกลก็จะเป็นปราสาท Inuyama ซึ่งเปิดให้เข้าชมด้วย ใครมาแล้วถ้าไม่กลัวความสูงมากนักก็คุ้มค่าที่จะปีนบันไดชัน ๆ ขึ้นไปชมวิวด้านบนครับ เพราะสวยงามจริง ๆ
ขาลงเราแวะขอพรกันที่ศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่ด้านล่างทางขึ้นปราสาท มีโทริอิสีแดงเด่นเป็นสง่าให้ถ่ายภาพด้วย
ออกจากเมือง Inuyama เรานั่งรถไฟต่อไปยังสนามบิน Centrair แต่เนื่องจาก flight ของเราค่อนข้างดึกจึงฝากกระเป๋า แล้วแว๊ปออกไป Shopping กันที่ห้าง Aeon ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสนามบิน โดยใช้บริการรถ Shuttle ฟรีตรงหน้าสนามบินนั่นเอง
ที่ Aeon มีร้านค้าให้เลือกมากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า, สินค้าแฟชั่น, เครื่องสำอางและของฝากต่าง ๆ ให้บริการจนถึง 4 ทุ่มและมีบริการ tax refund ภายในห้างด้วย … ใครยังมีเงินเหลือก็ช็อปกันได้ตามสบายครับ
สำหรับทริปสำรวจเส้นทางสาย Shoryudo ในภูมิภาค Chubu ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นทริปที่เจออากาศหนาวมากทที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ได้เจอหิมะขาว ๆ ฟู ๆ สมใจ และได้อิ่มอร่อยกับอาหารท้องถิ่นแบบครบถ้วนจริง ก็หวังว่ารีวิวคงเป็นประโยชน์และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในภาคกลางของญี่ปุ่นที่ครบเครื่องทั้งธรรมชาติตื่นตา , เมืองเก่ากับหมู่บ้านโบราณที่สวยคลาสสิค และได้อิ่มกับเมนูท้องถิ่นที่อร่อยไม่แพ้ภูมิภาคอื่น ๆ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณที่หน่วยงานทั้งฝั่งไทยและญี่ปุ่นที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางสำรวจครั้งนี้ครับ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก link ด้านล่างเลยครับ
- เกี่ยวกับโครงการ Shoryudo
en.go-centraljapan.jp/special/shoryudo/ - สนามบิน Centrair
www.centrair.jp/en/ - บริษัท Meitetsu ผู้ให้บริการรถบัส และรถไฟสาย Meitetsu
www.meitetsu.co.jp/eng/ - Toyama
foreign.info-toyama.com/th/ - Kanazawa
www.kanazawa-tourism.com/thai/ - Wakura onsen
www.wakura.or.jp/en/ - Shirakawa-go
shirakawa-go.org/en/ - Takayama
www.hida.jp/thai/ - Nagoya
www.nagoya-info.jp/th/
สำหรับตั๋ว Highway Bus Ticker สามารถติดต่อซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย อาทิ JTB สามารถดูรายละเอียดได้ตาม link นี้ ครับ
ชอบมากๆ เหมือนทาบทับภาพความจำตอนที่ซากุระสะพรั่ง เป็นหิมะปกคลุมแทนแทบทุกเมืองเลยค่ะ
เว้นนาโกย่า ทริปนั้นไม่ได้ไปเพราะเวลาหมด หมดเวลา 555
นายมด : ผมไม่ได้ทำทัวร์จ้า ไปเที่ยวเองกลับมาก็เอามาเล่าให้ฟังครับ
ตกลงเปิดให้จองอะไร อย่างไรคะ เพิ่งติดตามเป็นครั้งแรก(เพื่อนส่งมาให้) เข้าใจว่า มีราคาทริปแล้ว ดูจนจบ..คือ อะไร อย่างไร งง ค่ะ?
ดีมากเลยค่ะ กำลังไม่รู้จะเริ่มทริปยังไงดีสำหรับเที่ยวคนเดี่ยว หายกังวลไปเยอะมาก..ขอบอกขอลอกแพลนหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
#นายมด : ฝากได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เลย ถ้า locker เต็มจะฝากใน office ก็ได้ครับ
รบกวนสอบถามหน่อยนะค้าบบ ตอนที่นั่งรถบัสจากkanazawa ไปที่ shirakawago ไม่ทราบตอนเที่ยวสามารถฝากกระเป๋าตรงไหนได้หรอคับ หรือมี locker ให้ฝาก
#นายมด – แต่ละฤดูต่างๆ กันไปนะครับ อย่างแบบในภาพก็ราวธ.ค.-ก.พ., อีกช่วงที่สวยคือเดือนเม.ย.ซึ่งซากุระบาน
#นายมด : ผมไปปลายมกราต่อต้นกุมภาครับ
อยากทราบว่าช่วงเวลาน่าเที่ยวของที่นี่ เวลาใดบ้างครับ
สวยมากเลยค่ะคุณมด ไม่ทราบว่าไปช่วงวันที่เท่าไหร่คะ อยากตามรอยคุณมดบ้าง^^
แลกตอนที่จะออกเดินทางครับผม
ต้องนำพาสไปแลกเป็นตั๋วขึ้นรถก่อนล่วงหน้าได้นานมั้ย
หรือแลกตอนเวลาที่จะออกเดินทาง
พระเจ้าช่วย รีวิวเลอค่ามากๆ ค่ะ คุณมด !!!