หมายเหตุ รีวิวนี้เขียนไว้ก่อนวันที่ 13 ตุลาคม 2559
ฝนเริ่มซาทีไรฮอร์โมนท่องเที่ยวก็แผ่ซ่านเข้าครอบงำผมทุกครั้งไป ภาพภูเขาสีเขียวกับสายหมอกสีขาวมันพลุ่งพล่านขึ้นมาในสมองขึ้นมาทันที … ปลายฝนต้นหนาวของปีนี้ก็เช่นกันความคิดถึงนาขั้นบันไดป่าบงเปียงที่อำเภอแม่แจ่มของเชียงใหม่กลับเข้ามากระตุ้นต่อมเดินทางของผมอีกครั้ง หลังจากเมื่อปี 2557 ได้ไปสัมผัสความงามมาแล้วรอบนึง แต่คราวนั้นไม่ได้พักด้านในป่าบงเปียงจึงพลาดโอกาสชมบรรยากาศยามเช้า … ทริปเชียงใหม่จึงถูกแพลนอีกครั้งโดยมีแผนว่าต้องเข้าไปพักด้านในให้ได้ การเดินทางทริปนี้ของผมใช้บริการสายการบิน Thai Smile – “รอยยิ้มคู่ฟ้า” ที่มีไฟลท์บินตรงจากภูเก็ตแบบสบายๆ ไม่ต้องต่อเครื่องให้ยุ่งยากเสียเวลา แถมเวลาการเดินทางก็ถือว่าดีทีเดียวเพราะออกจากภูเก็ตราวเที่ยง ไม่ต้องตาลีตาเหลือกตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางมาสนามบิน (ก็สนามบินภูเก็ตมันอยู่ไกลซะขนาดนั้น แถมรถติดอีกต่างหาก) ไปถึงเชียงใหม่ตอนบ่าย ยังเที่ยวได้อีกครึ่งวัน … ส่วนขากลับออกจากเชียงใหม่ช่วงเช้า แต่เนื่องจากสนามบินอยู่ใกล้เมืองจึงไม่ต้องรีบมาก เดินทางมาแบบสบายๆ
การเดินทางรอบนี้ผมยิ้มกว้างเลยครับ เพราะนั่งชั้น Smile plus ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Business class นั่นแหละ… สะดวกสบายตั้งแต่ขั้นตอนการ check in ที่สามารถใช้ช่องทางพิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้น Smile plus โดยเฉพาะ โหลดกระเป๋าได้ 30 กก. (อันนี้เหมาะมากเช่นกันสำหรับการเดินทางต่อเนื่องไป-กลับ ต่างประเทศ) โดยทุกใบจะติด tag PRIOITY สามารถรับกระเป๋าที่สายพานได้ก่อนผู้โดยสารในชั้นปกติ … อันนี้ยังไม่รวมความสะดวกสบายของ Thai Smile ที่มีตัวเลือกทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิในกรณีเดินทางไปกรุงเทพฯ อีกด้วย
ความคุ้มค่าอีกอย่างของชั้น Smile plus คือสามารถถือ boarding pass เดินยืดเข้าไปใช้บริการ Royal Orchid Lounge ได้เลยจ้า … จะเข้ามานั่งๆ นอนๆ ใช้ Free WIFI หรือทานของว่างแบบไม่อั้นก็ได้ ซึ่งขนม, ชา-กาแฟ มาครบครับ ส่วนคนที่ซื้อตั๋วแบบปกติก็ไม่ต้องน้อยใจครับ เพราะยังได้รับบริการอย่างอื่นเหนือกว่าสายการบิน low cost อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักกระเป๋า 20 ก.ก., เลือกที่นั่งล่วงหน้า, สะสมไมล์ Royal Orchid Plus และของว่างบนเครื่องซึงทั้งหมดรวมอยู่ในค่าตั๋วแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มเติมหยุมหยิมให้หงุดหงิดใจ … สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่เวปไซต์ของ Thai Smile
Lounge ของ Royal Orchid ที่ภูเก็ต (ปัจจุบัน ณ 6 ธ.ค. 59 อยู่ระหว่างการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร จึงอาจไม่เหมือนในภาพครับ แต่เชื่อว่าเมื่อแล้วเสร็จคงดูดีกว่านี้แน่นอน)
กลับมาที่การเดินทางของผม เมื่อได้เวลาขึ้นเครื่องก็ไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ นะครับ ชั้น Smile plus สามารถขึ้นเครื่องได้ก่อน โดยที่นั่งสำหรับผู้โดยสารในชั้นนี้จะอยู่ตอนหน้าของเครื่อง แต่ละด้านซึ่งมี 3 ที่นั่งจะถูกเว้นตรงกลางไว้เพื่อให้รู้สึกนั่งสบายมากยิ่งขึ้น …หลังจากเก็บสัมภาระและนั่งประจำที่ได้สักพัก พนักงานต้อนรับจะแนะนำตัวและนำเครื่องดื่มต้อรับมาเสิร์ฟ ขาไปเชียงใหม่เป็น เสาวรส-โซดาเย็นชื่นใจดีครับ
จากนั้นพนักงานจะให้เลือกเมนูอาหาร ซึ่งแต่ละไฟลท์มี 2 แบบ … เนื่องจากไปกันสองคนก็เลยเลือกคนละอย่างครับจะได้ชิมดูทั้งสองเมนู … เมื่อเครื่อง take off ได้สักพักและสัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดดับลง พนักงานก็เริ่มให้บริการ เริ่มตั้งแต่การแจกผ้าร้อน (ร้อนจริงๆ นะ ^ ^) ตามด้วยการปูผ้ารองโต๊ะและเสิร์ฟอาหารตามที่สั่งไว้ ซึ่งผมยกให้กุ้ง+ปูอัดผัดซอสราดข้าวจานของผมอร่อยกว่าพาสต้าปลาที่แฟนผมสั่งครับ (ถือโอกาสข่มคุณเธอเล็กน้อย อิอิ)
เวลาหลังจากนี้ก็ชมวิวจากหน้าต่างเครื่องบินไปเรื่อยๆ จน landing ที่เชียงใหม่ … แน่นอนว่าได้รับกระเป๋ารวดเร็วกว่าใครเพื่อน
หลังจากได้รับกระเป๋าจากสายพานแล้วก็ลากกระเป๋าออกไปเดินหาเคาน์เตอร์ของ AVIS ซึ่งผมได้ทำการจองรถไว้เรียบร้อยแล้ว … เดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าก็เดินดุ่มๆ ไปยังโซนที่เป็นเคาน์เตอร์รถเช่าทันที แต่เอ ทำไมไม่เห็น AVIS น้อ .. พอหันซ้ายหันขวาอีกที อ้าว เคาน์เตอร์ AVIS ของสนามบินเชียงใหม่อยู่ซ้ายมือตรงทางออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าเลย แหม่ ไอ้เราก็มั่นใจเกิ้น เดินออกมาซะไกล 555
ขำมาก เดินออกมาจากประตูก็มองหน้ามองขวา … หาเห็นไม่ว่าเคาน์เตอร์ของ AVIS นั้นอยู่ด้านซ้ายมือข้างๆ ประตูนั่นเอง
ว่าแล้วก็นำเอกสารการจองไปติดต่อรับรถ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมจองรถ SUV แบบ 4WD เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถลุยได้ทุกสภาพถนน และรถที่ได้วันนี้คือเจ้า Isuzu Mu X ครับ … เมื่อกรอกเอกสารต่างๆ ครบถ้วนแล้วก็เดินออกตรงประตูที่อยู่ใกล้เคาน์เตอร์เพื่อไปจุดรับรถของ AVIS ได้เลย อยู่ห่างออกไปนิดเดียว สะดวกเลยสำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ … ก่อนจะนำรถออกจากสนามบินผมก็บันทึกภาพโดยรอบของรถไว้ก่อนเหมือนที่ทำทุกครั้งที่เช่ารถ เผื่อกรณีต้องอ้างอิงหากเกิดปัญหาใดๆ … ซึ่งรถคันที่เช่าคร้งนี้ถือว่ายังใหม่เลย รอบคันมีแค่รอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทั้งนี้ก่อนออกเดินทางเจ้าหน้าที่ก็อธิบายข้อมูลการติดต่อกรณีฉุกเฉิน และข้อควรระวังในการใช้รถ โดยเฉพาะเรื่องกุญแจรีโมท เพราะบางทีมันใช้งานสะดวกจนหลายคนตั้งลืมไว้ในรถ … แค่นี้ก็พร้อมนำรถออกไปเที่ยวแล้วครับ
รถจาก AVIS สำหรับทริปนี้คับ Isuzu Mu X
พอได้ขับก็ต้องบอกว่าชอบเลย เพราะที่นั่งกว้างขวางสะดวกสบาย อันที่จริงเดินทางกัน 4-5 คนนี่กำลังดีเลยครับ ไม่ต้องพูดถึงสองคนแบบนี้ แทบจะนอนค้างในรถได้เลย … รถคันนี้ดีอีกอย่างตรงที่มี GPS ติดรถมาด้วยครับ หากเดินทางไปยังจุดอับสัญญาณมือถือก็ไม่ต้องกลัวหลงอีกต่อไป (มารอบที่แล้วเจอปัญหาสัญญาณมือถือหายไปสองรอบ) ต้องชื่นชม AVIS ที่ใส่ option จัดเต็มแบบนี้มาในรถเช่าด้วย
ออกจากสนามบินผมก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอแม่แจ่ม จุดหมายสำหรับวันนี้ โดยเส้นทางที่เลือกใช้คือเส้นที่ผ่านดอยอินทนนท์เพราะอยากแวะชมบรรยากาศของนาขั้นบันไดที่แม่กลางหลวงก่อน … หลังจากผ่านจุดตรวจทางขึ้นดอยอินทนนท์มาได้สักพัก ก่อนจะถึงด่านตรวจที่สอง ผมก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังแม่กลางหลวงซึ่งห่างจากถนนใหญ่เข้าไปนิดเดียวครับ นาขั้นบันไดที่นี่กำลังเขียวขจีได้ที่เลย ยามที่ต้องแสงแดดอ่อนๆยามเย็นแบบนี้สวยงามมากมาย
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยไปหลังยอดเขา ผมจึงออกเดินทางต่อไปยังแม่แจ่ม เพราะไม่อยากถึงที่พักค่ำเกินไป … ระหว่างทางสังเกตเห็นแสงสีรุ้งอยู่รอบๆ กลุ่มเมฆฝั่งทิศตะวันตกสวยงามมาก มาค้นข้อมูลภายหลังเจอว่านั่นคือปรากฎการณ์เมฆสีรุ้งที่เกิดจากการตกกระทบของแสงบนละอองน้ำที่มีขนาดต่างๆ กัน นับว่าโชคดีมากที่ได้เห็นปรากฎการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง
กว่าจะถึงที่พัก “เรือนแฮมแจ่มเมือง” ที่อำเภอแม่แจ่มก็ค่ำพอดี … หลังจากเก็บของเข้าที่พักเป็นที่เรียบร้อยก็ออกไปหามื้อเย็นทาน แต่เนื่องจากไฟดับทั่วอำเภอแทบจะดูไม่ออกว่าร้านไหนเปิดบ้าง ก็เลยอาศัย 7 Eleven เป็นที่พึ่งสำหรับมื้อนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี 5 ออกเดินทางไปยังจุดชมวิวบ้านบนนา ซึ่งเคยเห็นคนทำรีวิวไว้ … รอบนี้ทำการบ้านมาค่อนข้างดีจึงไม่หลงทางเหมือนการไปจุดชมวิวม่อนหมากเที่ยวก่อน ผมมาถึงจุดชมวิวจุดแรกตั้งแต่ยังมืดอยู่ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังจุดที่สองซึ่งในรีวิวระบุว่าสวยกว่า อยู่เลยขึ้นไปอีกราว 5 กม. … ผมเริ่มจับระยะทางจากเข็มไมล์รถยนต์ ขับรถช้าๆ ฝ่าไอหมอกที่หนาตัวขึ้นเมื่อรถค่อยๆไต่ระดับสูงไป แต่ดูเหมือนจะไม่เจอจุดที่เหมือนในภาพเลย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหมอกลงจัดและมืดเกินไป ผมยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหามุมที่เปิดมากพอจะเก็บทิวทัศน์เบื้องล่าง ซึ่งขณะนี้เห็นเป็นทะเลหมอกกับแสงสีเรื่อๆ ที่ขอบฟ้าแล้ว … ขับขึ้นไปไกลพอสมควร ไม่น่าจะต่ำกว่า 15 กม. จากจุดชมวิวแรก ผมก็จอดรถถ่ายภาพริมถนนซึ่งพอจะมองเห็นวิวเบื้องล่างบ้าง …
เนื่องจากมุมไม่เปิดนัก ถ่ายได้ไม่กี่ภาพจึงตัดสินใจกลับรถลงไปหาจุดอื่นๆ ด้านล่าง … ฟ้าเริ่มสางแล้ว มองเห็นวิวรอบตัวชัดเจนขึ้น ผมตัดสินใจจอดรถและลงไปขออนุญาตชาวบ้านเพื่อขึ้นไปถ่ายภาพบนเนินหลังบ้าน ซึ่งเค้าก็ยินดี … และก็ไม่ผิดหวังครับ เนินเขาที่ใช้ปลูกข้าวหลังกระท่อมน้อย ๆ ของชาวบ้านวิวสวยเหลือเกิน มองเห็นความเขียวขจีของภูเขาในอำเภอแม่แจ่ม ฉากหน้าเป็นนาข้าวและไร่ข้าวโพด ส่วนฉากหลังเป็นทะเลหมอกสีขาวที่ปกคลุมทั่วทั้งหุบเขา
จอดรถไว้ริมทางตรงรั้วบ้านเพราะเห็นวิวทางด้านขวาของถนนเป็นมุมเปิด เสียดายมีสายไฟขวางตา จึงเข้าไปขอเจ้าของบ้านเพื่อขึ้นไปถ่ายภาพบนเนินสูงที่อยู่หลังบ้าน
จุดนี้ถือว่าลงตัวมาก … ยืนอยู่ที่เดียวเก็บภาพรอบๆ ได้หลายมุมเลย
ผมถ่ายภาพอยู่นานมากก่อนจะเดินทางลง … โดยแวะถ่ายภาพที่จุดชมวิวแรกนิดหน่อย หมอกลงจัดแทบไม่เห็นวิวเลยต้องกลับที่พัก
มื้อเช้าถูกเสิร์ฟแบบง่ายๆ สไตล์ B&B ซึ่งสามารถสั่งเมนูไข่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาว, ไข่เจียว, ไข่คน คู่กับชาหรือกาแฟและขนมปัง
เช้าแล้วเก็บภาพบรรยากาศเฮือนแรมแจ่มเมืองไว้หน่อย
เสร็จจากมื้อเช้าผมนอนพักผ่อนเก็บแรงเล็กน้อย ก่อนที่จะ check out เพื่อออกไปเก็บภาพนาสีเขียวขจีในบริเวณใกล้เคียง ไม่ว่จะเป็นนาขั้นบันไดบ้านกองกาน ซึ่งรอบนี้บรรยากาศไม่ค่อยสวยเหมือนรอบก่อน อาจเป็นเพราะมาตอนเที่ยงด้วยทำให้ไม่เห็นแสงลอดผ่านใบข้าว ภาพจึงดูแข็งๆ แต่ก็ชดเชยด้วยการไปเก็บภาพตรงสะพานเชือกที่อยู่ติดกับวัดกองกานแทน
แวะจอดรถถ่ายภาพจากสะพานปูนไปยังสะพานเชือกข้ามแม่น้ำ
จากนั้นก็แวะไหว้พระและดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่วัดพุทธเอ้น
จากนั้นก็ขับไปดูนาเขียวๆ ใกล้วัดป่าแดด
ช่วงบ่ายผมออกเดินทางต่อเพื่อเข้าไปยังป่าบงเปียง ซึ่งสังเกตได้ว่าเส้นทางได้รับการพัฒนาดีขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่แล้วมากพอสมควร ระหว่างทางเริ่มเห็นมีการสร้างที่พักขนาดเล็ก โดยเฉพาะที่บ้านตีนผา เชื่อว่าอีกไม่นานคงมีตัวเลือกมากขึ้นไม่ต้องไปพักที่ป่าบงเปียงเพียงอย่างเดียว เพราะจากบ้านตีนผาไปอีกไม่ถึง 15 นาทีก็ถึงจุดชมวิวบ้านป่าบงเปียงแล้ว
วิวริมทางยังสวยเหมือนเดิม แต่เส้นทางสะดวกขึ้นมาก
จุดชมวิวเหนือบ้านตีนผาก็สวยเหมือนกัน
เลยจากบ้านตีนผาไปหน่อย เป็นอีกจุดที่มีไหล่ทางจอดรถถ่ายภาพได้สะดวก
แสงยามเย็นวันนี้ที่ป่าบงเปียงสวยจริงๆ
สำหรับผม แม้จะตั้งใจอย่างมากที่จะพักในป่าบงเปียงสำหรับการเดินทางมาครั้งนี้ แต่ก็ชะล่าใจเกินไป โทรจองที่พักช้าไปหน่อย บ้านพักของชาวบ้านริมแปลงนาจึงเต็มทั้งหมด ยังโชคดีที่ได้รับคำแนะนำให้ติดต่อลุงดี ซึ่งเป็นชาวบ้านที่นั่น และลุงให้พักที่บ้านแกในบริเวณหมู่บ้านโดยคิดค่าบริการหัวละ 500 บาทรวมอาหารสองมื้อเท่ากับด้านนอก … ซึ่งผมก็ยินดีรับข้อเสนอเพราะหากต้องกลับไปพักในเมืองแม่แจ่มคงไม่สะดวกสำหรับการเดินทางมาในตอนเช้า
การพักในป่าบงเปียงนั้นอาจไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในเมือง เพราะไม่มีไฟฟ้า ดังนั้นต้องวางแผนเรื่องการชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ให้ดี สำหรับอาหารการกินก็เป็นแบบง่ายๆ ครับ พวกผัดผัก, ไข่เจียว, น้ำพริก แต่อร่อยถูกปากดีอยู่นะ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นตอน 6 โมงเช้า เดินออกมาก็เห็นสายหมอกปกคลุมอยู่บริเวณหุบเขาด้านล่างนาขั้นบันไดเต็มไปหมด รีบล้างหน้าลางตาขับรถไปยังจุดชมวิวเพื่อบันทึกภาพเบื้องหน้าที่งดงามราวกับอยู่บนสวรรค์ไว้ แต่ถ่ายภาพได้ไม่ถึง 20 นาที หมอกหนาๆ ก็ตีขึ้นมาปกคลุมบริเวณนาขั้นบันไดจนขาวโพลนไปหมด ผมถือโอกาสสั่งกาแฟที่ร้านอาหารกับมาม่าร้อนๆ มารองท้อง สองอย่างนี้แค่ 30 บาทเองไม่ขูดเลือดขูดเนื้อเหมือนแหล่งท่องเที่ยวบางแห่ง นับว่าคุ้มแสนคุ้มกับวิวสวยๆ เบื้องหน้า
ก่อนที่จะเก็บขาตั้งกล้องกลับที่พัก หมอกก็จางลงอีกครั้งให้ผมได้บันทึกภาพอีกครู่หนึ่ง นับว่าสำเร็จดังภารกิจสมดังความตั้งใจ
เส้นทางขากลับ เดิมทีผมตั้งใจจะขับรถไปทางน้ำตกแม่ปานซึ่งใกล้กว่า แต่หลังจากขับไปได้ไม่ไกลเจอเส้นทางหฤโหดและมีรถสวนต้องขับถอยหลังกันอย่างทุลักทุเล แม้จะมั่นใจในสภาพรถที่เช่ามาจาก AVIS แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะถ้าพลาดพลั้งติดหล่มจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงเบนเข็มเดินทางกลับผ่านทางแม่แจ่มแทน
ขากลับผมแวะทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และแวะชมน้ำตกวชิรธารเล็กน้อย (ถ่ายยากเหมือนเดิมเพราะละอองน้ำเยอะมาก)
จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงเข้าเมืองเชียงใหม่ โดยคืนนี้ผมจะพักที่ U Chiangmai โรงแรมหรูใจกลางเมืองที่ทำเลเหมาะสุดๆ กับการเดินชมถนนคนเดินวันอาทิตย์
ตอนผมไปถึงโรงแรมราวบ่ายสามโมง ร้านค้าเริ่มทะยอยนำของมาวางแล้ว พนักงานดูแลเป็นอย่างดีโดยการนำรถไปจอดไว้บริเวณอื่น ส่วนผมก็ทำการเช็คอินไปพลางๆ ซึ่งในการเข้าพักแขกแต่ละคนจะได้เลือกกลิ่นสบู่ที่ตัวเองชอบด้วย … บรรยกาศของ U Chiangmai นั้นกลมกลืมกับความเป็นล้านนาของจังหวัดเชียงใหม่มาก ตัวอาคารหลักที่ใช้เป็น lobby คืออาคารไม้เก่าแก่ที่เคยเป็นจวนผู้ว่ามาก่อน ส่วนห้องพักก็มีการใช้งานออกแบบที่ให้อารมณ์ไปในทางเดียวกัน
ห้องพักของผมคืนนี้เป็นแบบ Superior Pool Access ครับ … บรรยากาศน่าพักมาก amenities ในห้องครบครัน
ดูห้องพักกันแล้วไปสำรวจ U Chiangmai กันดีกว่า … บริเวณของโรงแรมไม่เยอะครับ แต่ก็เป็นสัดส่วนดี
สำหรับคนที่เดินไม่สะดวก ผมแนะนำว่าให้เลือกห้องพักชั้นล่าง เพราะที่นี่ไม่มีลิฟท์ แม้พนักงานจะช่วยบริการเรื่องสัมภาระให้ แต่คงไม่สะดวกนักสำหรับผู้สูงอายุหรือเดินไม่สะดวก
fitness เปิดตลอด 24 ชม. และมีรถจักรยานบริการฟรี
ห้องสมุด ได้บรรยากาศเจ้าขุนมูลนายมากๆ
สปาอยู่ชั้นสองของอาคาร lobby ห้องไม่ใหญ่แต่ได้อารมณ์ขลังๆ เดินเข้าไปเหมือนโดนมนต์สะกดให้สงบลงพร้อมรับบริการจากพนักงานมืออาชีพ
เดินชมห้องพักและ facilities แล้วก็ได้เวลาเติมพลังก่อนออกไปลุยถนนคนเดิน ซึ่งวันนี้ผมทานที่ห้องอาหาร Eat restaurant โดยเป็นเมนูโปรโมชั่นช่วงนั้น ได้แก่ชุดข้าวซอยและชุดอาหารเหนือ … แถมด้วย BBQ เสต๊ก เรียกได้ว่าจัดเต็มกันเลยทีเดียว
สำหรับรสชาติต้องบอกว่าอร่อยถูกปากเลยครับ แต่เมนูคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ยังไงลองดูก่อนว่าเป็นเมนูที่ชอบไหม เพราะราคาในชุดโปรโมชั่นคุ้มค่าอยู่ จะได้ไม่ต้องออกไปหาทานไกลๆ ให้ยุ่งยาก
ค่ำวันนั้นผมวางกล้องแล้วเดินสำรวจถนนคนเดินทั่วทุกซอย … ยอมรับเลยว่าที่นี่ทำได้ดี มีระบบการจัดการที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งโซนและกฎระเบียบต่างๆ สำหรับร้านค้า ทำให้บรรยากาศออกมาดูดีกลมกลืนกับความเป็นเชียงใหม่จริงๆ หากเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัว คงเดินสนุกกว่านี้อีกมากเพราะอากาศจะเย็นกำลังสบายเลย
เช้าวันรุ่งขึ้นผมทานมื้อเช้าที่ห้องอาหาร Eat Restaurant เช่นเดียวกับมื้อค่ำ …อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบผสมผสานนะครับคือมี line buffet เล็กๆ และสามารถสั่งอาหารจานหลักจากเมนูเพิ่มเติมได้ … ผมสั่ง Egg benedict เมนูโปรดมาทานคู่กับลาเต้ร้อน เข้ากั๊น เข้ากัน … ส่วนอีกจานของแฟนเป็นข้าวต้มปลาท่องโก๋ก็ดูดีมีสกุลเหมือนกัน
ออกจากโรงแรมก็จัดแจงเรื่องการคืนรถเช่าที่ AVIS ซึ่งก็เรียบร้อยดีไม่มีอะไรยุ่งยาก … เมื่อ check in ได้ boarding pass มาแล้วก็เลือกซื้อของฝากพวกอาหารท้องถิ่นนิดหน่อย เดิมทีตั้งใจจะซื้อแถวถนนคนเดินแต่ปรากฎว่าหาไม่เจอเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นของใช้ เสื้อผ้า หรือไม่ก็อาหารแบบทานตรงนั้นเลยมากกว่า
หลังจากไปเข้าไปรอบริเวณหน้า Gate ก็เลยนึกได้ว่า เฮ้ย เราไปนั่งที่ lounge การบินไทยได้นี่ … ก็เลยเดินไปสำรวจสักหน่อย เห็นที่นั่งสบายดีก็เลยฝังตัวรอตรงนั้นเลย 555
Take off, Bye Bye เชียงใหม่
บน Flight ขากลับของ Thai smile เป็นช่วงเทศกาลกินเจพอดี เมนูที่เสิร์ฟบนเครื่องวันนี้เลยพิเศษหน่อย เป็นรายการอาหารที่ออกแบบโดยคุณพล ตัณฑเสถียร ดาราและเชฟชื่อดัง … เอาจริงๆ เลยผมแอบคิดในใจว่าจะทานได้มั้ยว้าาา แต่พอเห็นรูปก็เริ่มมีความหวัง เพราะข้าวเหนียวหมูน้ำตกน่าทานจริงๆ … เพื่อความชัวร์และจะได้แลกเปลี่ยนกันทาน เราสองคนเลยสั่งมาคนละอย่าง ปรากฎว่าเซอร์ไพร์ครับเพราะอาหารหลักอร่อยทั้งสองจาน โดยเฉพาะ Risotto ของผมที่ตอนแรกนึกว่าจะเลี่ยนๆ จืดๆ แต่ปรากฎว่าอร่อยถูกปากเลย … แถมเมนูปิดท้ายที่เป็นขนมหวานก็อร่อยมากเช่นกัน นับเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้านบริการที่ Thai Smile ทำได้น่าประทับใจมากจริง ๆ ..
ผมขอส่งท้ายทริปนี้ด้วยภาพมุมสูงจากหน้าต่างเครื่องบินก่อน landing ที่ภูเก็ต แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะคร้าบ
ฝาก content รวมโฮมสเตย์ที่ ป่าปงเปียงด้วยนะครับ
http://travel.trueid.net/detail/82926