Iceland ฉบับย่อ
ประเทศไอซ์แลนด์เป็นเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ขนาดใหญ่กว่าภาคเหนือของประเทศไทยเล็กน้อย มีประชากรทั้งประเทศราวสามแสนกว่าคน มีเมืองหลวงคือเรคยาวิค ใช้ภาษาไอซ์แลนด์เป็นภาษาราชการแต่ประชากรส่วนใหญ่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ดี มีสกุลเงินหลักคือโครนาไอซ์แลนด์ (ISK) ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับเงินไทยอยู่ที่ 1 ISK = 0.31 THB (คิดง่ายๆ คือเอาเงินไทยหาร 3 โดยประมาณซึ่งจะว่าไปก็ใกล้เคียงกับเงินเยนของญี่ปุ่น ** ข้อมูล ณ เม.ย. 2560) … สำหัรบคนไทยที่จะเดินทางไปเที่ยวไอซ์แลนด์ต้องของวีซ่าของกลุ่มประเทศเชงเกน (Shengen) แต่เนื่องจากในเมืองไทยไม่มีสถานฑูตของประเทศนี้จึงต้องยื่นเรื่องที่สถานทูตเดนมาร์กผ่านบริษัทตัวแทน VFS Global โดยใช้เวลานับตั้งแต่วันยื่นจนถึงวันที่ได้รับวีซ่าประมาณ 15 วัน (ไม่รวมเสาร์-อาทิตย์)
มีอะไรให้ดูใน Iceland?
จะว่าไปมีหลายคนยังสับสนนึกว่า Iceland คือ Ireland ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่ามันคนละประเทศกัน เพราะ Ireland นั้นอยู่ใกล้อังกฤษ ส่วน Iceland นั้นเป็นเกาะอยู่เหนือขึ้นไปใกล้กับ Green land ทั้งนี้แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ Iceland เกือบทั้งหมดเป็นแนวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก, ภูเขา, ชายฝั่งทะเล, ทะเลสาบ, บ่อน้ำพุร้อน, ทุ่งหญ้า, ธารน้ำแข็ง รวมถึงภูมิประเทศแปลกตาอีกหลากหลายรูปแบบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ นอกจากนี้ยังมีสัตว์ต่างๆ ที่น่ารักน่าชังอาทิ ม้าท้องถิ่นขนยาวตัวขนาดย่อมซึ่งเป็นมิตรมากๆ, นกนาๆ ชนิดไม่ว่าจะเป็นที่เห็นได้ทั่วไปอย่างนกนางนวล หรือนกหน้าตาน่ารักอย่างนกพัฟฟิน และ แมวน้ำ, ปลาวาฬ เป็นต้น ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ ก็พอมีบ้างแต่ไม่โดดเด่นนัก อาทิ โบสถ์รูปทรงแปลกตา, หมู่บ้านชาวประมง และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ … สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติผมมั่นใจ 100% ว่าจะต้องหลงรักประเทศนี้ แต่ถ้าชอบเที่ยวแบบสบายๆ มีที่ช้อปปิ้งเยอะๆ และเบื่อการนั่งรถเที่ยวผมแนะนำให้คิดใหม่อีก 12 รอบก่อนเดินทางไปเที่ยวไอซ์แลนด์
ลองมาดูภาพกันดีกว่าว่าที่ Iceland มีสถานที่ท่องเที่ยวแบบไหนบ้าง
น้ำตก – ประเทศไอซ์แลนด์มีน้ำตกเยอะมากครับ ที่สวยขึ้นชื่อจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้นมีไม่น้อย แถมยังมีน้ำตกริมทางเล็กๆ อีกมากมายที่ไม่มีชื่อด้วยซ้ำ … ไปเที่ยวประเทศนี้รับรองว่าอิ่มกับน้ำตกไปเลย
หาดทราย – หาดทรายที่ไอซ์แลนด์ไม่ได้เป็นสีขาวเหมือนบ้านเรา ตรงกันข้ามหาดทรายที่นี่เป็นสีดำสนิท ทีแรกผมก็แอบหยันในใจว่าไม่มีทางสวยสู้อันดามันบ้านผมได้ แต่พอไปเจอของจริงจึงได้รู้ว่าหาดทรายสีดำสวยสะกดและมีเสน่ห์ไปเหลือเกิน อดไม่ได้ที่จะยกให้หาดทรายดำที่นี่เป็นหนึ่งในสิ่งห้ามพลาดของไอซ์แลนด์เลย
หน้าผา – ไอซ์แลนด์เต็มไปด้วยหน้าผาหินที่เกิดจากลาวา บางแห่งตั้งตระหง่านอยู่ริมทาง บางแห่งอยู่ริมทะเลและถูกกัดเซาะจนเกิดเป็นภูมิทัศน์สวยงามแปลกตา นอกจากนี้นกจำนวนมากยังอาศัยหน้าผาเหล่านี้เป็นรังของมันอีกด้วย ทำให้การชมหน้าผาที่ไอซ์แลนด์เป็นอะไรที่มีชีวิตชีวามากๆ … จุดสีดำในภาพคือนกกนะครับ ไม่ใช่ฝุ่น 🙂
หมู่บ้านน่ารักริมทะเล – แต่ละเมืองในไอซ์แลนด์มีขนาดเล็ก ผู้คนอาศัยหลักร้อย และมีหลายเมืองที่น่ารักบรรยากาศดีเหมาะแก่การไปเยี่ยมชม
ฟยอร์ด – ฝั่งตะวันออกและด้านเหนือของไอซ์แลนด์ จะมีภูมิประเทศแบบฟอยร์ดหรือชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำ เป็นวิวที่สวยเกินบรรยาย
ถ้ำน้ำแข็ง – ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีส่ิงมหัศจรรย์นี้ แต่ถ้าอยากเห็นต้องไปช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
ธารน้ำแข็งและทะเลสาบน้ำแข็ง – ภาพก้อนน้ำแข็งสีฟ้าใสขนาดเท่ารถยนต์ ใครเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก … ที่ไอซ์แลนด์เราจะได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเลย
บ่อน้ำพุร้อน – น้ำพุร้อนสำหรับแช่ตัวที่นี่จะถูกปรับอุณหภูมิให้อยู่ราว 38-41 องศาเซลเซียส จึงแช่ได้สบายๆ ไม่ร้อนเกินไป แถมยังสีฟ้าสวยงามอีกด้วย
วิวริมทางสวยๆ – ไม่ต้องถึงกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวครับ วิวริมทาง-ทุ่งหญ้า-ภูเขา-ทะเลสาบ ของไอซ์แลนด์ แค่นี้ก็สวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้ว
ม้าไอซ์แลนด์ – อันที่จริงสัตว์น่ารักในไอซ์แลนด์มีอยู่หลายชนิดเลยครับ แต่หาดูง่ายๆ ก็ม้านี่แหละครับ แถมเป็นมิตรสุดๆ พอเดินเข้าไปริมรั้วมันก็จะเดินมาหาให้เราลูบหัวยังกะรู้จักกันมาก่อน
แสงเหนือ คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวปรารถนาจะเห็นเมื่อไปเที่ยว Iceland ซึ่งจะปรากฎให้ได้เห็นในช่วงเดือนกันยายนถึงเมษายนซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวของประเทศนั่นเอง ทั้งนี้จะมีการพยากรณ์ความแรงของแสงเหนือออกมาเป็นค่า KP ระดับตั้งแต่ 1-9 โดยระดับที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าคือตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป และระดับที่มีความแรงมากเห็นได้ชัดทั่วฟ้าคือระดับ 5 หรือมากกว่า อย่างไรก็ตามค่าดังกล่าวเป็นแค่พยากรณ์เท่านั้น บ่อยครั้งที่ผมพบว่าตัวเลขที่แจ้งไว้มีการปรับเมื่อถึงเวลาจริง อย่างเช่นเคยพยากรณ์ว่าคืนนี้จะมีระดับ KP4 แต่พอถึงเวลาจริงมีการปรับเหลือ KP1 หรือ KP2 ก็มีเช่นกัน
นอกจากระดับความแรงของแสงเหนือแล้ว การที่จะเห็นแสงเหนือได้ต้องมีท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งหรือถ้ามีเมฆก็ต้องเป็นเมฆแบบบางหรือ หรือย่างน้อยมีช่องว่างให้เห็นท้องฟ้าได้ พูดง่ายๆ คือควรมองเห็นดาว ถ้าไม่เห็นดาวโอกาสที่จะเห็นแสงเหนือก็แทบไม่มีแม้จะมีค่า KP ในคืนดังกล่วสูงระดับ KP4 หรือ KP5 ก็ตาม ดังนั้นถ้าคืนไหนมีฝนหรือหิมะก็แทบจะสรุปได้เลยว่านอนพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่าเพราะแทบไม่มีโอกาสที่จะเห็นแสงเหนือเลย
จริงๆ แล้วไอซ์แลนด์ยังมีอะไรให้สัมผัสอีกเยอะนะครับ แต่ขอยกตัวอย่างที่เด่นๆ เท่านี้ก่อน … เอาล่ะเห็นภาพของไอซ์แลนด์กันแล้ว ถ้าสนใจจะไปเที่ยวที่นี่ก็อ่านกันต่อเลย
การเดินทาง
การเดินทางไปประเทศไอซ์แลนด์ไม่มีสายการบินที่ให้บริการบินตรงจากประเทศไทย ต้องไปลงในประเทศแถบยุโรปแล้วต่อเครื่องไป Iceland อย่างผมเองใช้บริการของการบินไทยไปลง Oslo ประเทศ Norway ใช้เวลาบินราว 10-11 ชม.จากกรุงเทพฯ แล้วบินต่อจาก Oslo ไปยัง Reykjavik ด้วย Iceland air อีกราว 3 ชั่วโมง
เครื่องของการบินไทย TG954/TG955 ถือว่าเวลาค่อนข้างดี ขาไปออกดึกถึงเที่ยงอีกวัน ขากลับออกจาก Oslo ช่วงบ่ายถึงกรุงเทพฯ เช้า ไม่เหนื่อยมากนัก การบริการก็อบอุ่นตามสไตล์คนไทย แม้พนักงานบริการจะไม่วัยรุ่นสดใสเหมือนสายการบินน้องใหม่แต่ก็สุภาพและให้บริการอย่างดี โดยเฉพาะขากลับพนักงานต้อนรับรุ่นใหญ่ทักทายชวนคุยด้วยอย่างกันเองรู้สึกดีมากๆ เลย … สำหรับที่นั่งผมรู้สึกว่ามันแคบไปหน่อย ยิ่งถ้าคนด้านหน้าเอนเก้าอี้ลงมาเยอะๆ จะรู้สึกไม่ค่อยสบาย … in flight entertainment ถือว่า ok มีหนังใหม่ๆ ให้ดู ที่สำคัญพากษ์ไทยหรือมีบทบรรยายไทยทำให้คนไม่เก่งภาษาก็ enjoy ได้อย่างเต็มที่ … อาหารที่เสิร์ฟในชั้น Economy อาจไม่ถึงกับว้าว แต่ก็ถือว่าไม่เลวครับ … ได้ข่าวว่า Business Class ดีมากเลย เมื่อไหร่จะมีโอกาสนั่งน้อ
ข้อดีของ Flight ที่ไปถึงเช้าตรู่ก็คือไม่เสียเวลาเที่ยว และได้ชมบรรยากาศยามเช้าก่อนเครื่องลงครับ
ในส่วนของ Iceland air โดยรวมก็ถือว่าดี แต่ไม่มีอาหารให้ เสิร์ฟเฉพาะน้ำเปล่า นอกนั้นก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม … สำหรับที่นั่งขาไปแนะนำให้เลือกฝั่งขวาจะมีโอกาสเห็นชายฝั่งด้านใต้และตะวันออกของ Iceland (นั่งฝั่งซ้ายน่าจะเห็นแต่ทะเล) ส่วนขากลับก็อย่าลืมเปลี่ยนฝั่งนะ
ขาไปขอแนะนำให้นั่งริมหน้าต่างทางขวามือนะครับ จะมีโอกาสเห็นวิวสวยๆ ของชายฝั่งทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ ทั้งนี้สามารถเลือกที่นั่งได้ในขั้นตอนการจองตั๋วเลยครับ
ที่ต้องโน้ตไว้อีกอย่างคือ Iceland air จะให้โหลดกระเป๋าใต้เครื่องได้ฟรีแค่ 1 ใบน้ำหนักสูงสุด 23 กก. ดังนั้นต้องวางแผนเรื่องนี้ให้ดี โดยเฉพาะคนที่มีเสื้อผ้าเยอะหรือคนที่เตรียมอาหารแห้งและหม้อข้าวมาจากเมืองไทย อย่างผมเองก็ต้องมีกระเป๋าเดินทางอีกใบใส่หม้อหุงข้าวกับอาหารแห้งบางส่วนที่เตรียมมาจากเมืองไทยสำหรับนำขึ้นเครื่อง เพราะกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใส่ไม่จุแล้ว
เรื่องจัดกระเป๋าสามาถหาเทคนิคการจัดแบบประหยัดพื้นที่ได้จาก youtube หรือใช้อุปกรณ์จัดระเบียบกระเป๋าแบบผมก็ได้ ผมสั่งจากร้าน itterasshai (IG @itte_travel_shop46, fb @itterasshaitravel) ก็ช่วยให้จัดกระเป๋าได้ง่ายขึ้น แถมมี items สำหรับนักเดินทางอีกเยอะ อย่างหมอนรองคอ, กระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิก แต่ละชิ้นราคาไม่แพงแต่ใช้งานได้คุ้มค่าเลย
การซื้อสินค้า, เงินและบัตรเครดิต
การซื้อสินค้าและบริการใน Iceland สามารถใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ ทั้งนี้สกุลเงินที่ใช้เป็น Iceland Krone (ISK) ซึ่งไม่มีให้แลกในเมืองไทย จึงต้องเตรียมเงิน Euro ไปแลกเป็น ISK ที่สนามบิน (บูธแลกอยู่ใกล้ประตูทางออกจากฝั่งขาเข้า) แต่ผมอยากแนะนำว่าไม่ต้องแลกเยอะ เพราะร้านค้าเกือบ 100% รับบัตรเครดิต ดังนั้นรูดบัตรสะดวกกว่ามาก เพราะไม่ต้องห่วงว่าเงินเหลือแล้วแลกกลับไปกลับมาให้เสียเปรียบอัตราแลกเปลี่ยนซะเปล่าๆ … อย่างไรก็ตามกรณีที่ใช้บัตรเครดิตกับเครื่องอัตโนมัติ (ไม่มีพนักงาน) เช่นตามปั๊มบางปั๊มหรือเครื่องออกตั๋ว อาจต้องใส่ pin code ซึ่งปกติ code นี้ะจะให้มาตอนทำบัตรเครดิต ถ้าจำไม่ได้ให้ติดต่อธนาคารเพื่อขอ code ใหม่ ทั้งนี้บางธนาคารอาจต้องใช้เวลาในการส่ง code ดังกล่าวมาทางไปรษณีย์จึงต้องเผื่อเวลาไว้สักหนึ่งสัปดาห์ด้วย
การเดินทางท่องเที่ยวภายในไอซ์แลนด์
การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์ใช้รถยนต์เนื่องจากไม่มีระบบรางหรือเรือที่เชื่อมต่อเมืองท่องเที่ยวต่างๆ รอบเกาะ โดยเส้นทางวงแหวนรอบเกาะหรือถนนทางหลวงสาย 1 ระยะทางโดยรวมราว 1340 ก.ม. ถนนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นแบบ 2 เลนลาดยาง แต่มีบางช่วงเป็นลูกรังอัดแน่น และมีสะพานบางแห่งเป็นแบบเลนเดียวรถสามารถผ่านได้ทีละฝั่ง ในช่วงเวลากลางคืนแถบนอกเมืองจะไม่มีไฟส่องสว่างริมทาง แต่มีเสาเล็กๆ ติดแผ่นสะท้อนแสงตลอดสองข้างทางเพื่อช่วยในเรื่องความปลอดภัย … การขับรถในประเทศไอซ์แลนด์ใช้เลนขวา จำกัดความเร็วในเขตชุมชน 30 กม./ชม. ถนนผ่านเมืองหรือหมู่บ้าน 50 กม./ชม. และความเร็วสูงสุดนอกเมืองอยู่ที่ 90 กม./ชม. โดยอาจมีบางช่วงที่อาจกำหนดความเร็วต่างจากนี้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะมีป้ายบอกริมทางอย่างชัดเจน ทั้งนี้ค่าปรับสำหรับกรณีขับรถความเร็วเกินกำหนดจะสูงมาก ดังนั้นควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หากเกิดอุบัติเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือใดๆ สามารถโทรได้ที่หมายเลข 112 ซึ่งเป็นหมายเลขกลางสำหรับแจ้งเหตุฉุกเฉินของประเทศ อีกอย่างที่ควรทราบคือการขับรถใน Iceland ต้องเปิดไฟหน้าเสมอครับ
ถนนสายหลักส่วนใหญ่ลาดยางอย่างดี แต่มักมีแค่สองเลนและไม่ค่อยมีไหล่ทาง … ระหว่างเมืองไม่มีไฟฟ้าให้แสงสว่างแต่มีเสาสีเหลืองๆ แบบนี้ตลอดทาง
ถ้าไปช่วงที่ติดฤดูหนาว อาจต้องเจอกับถนนที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ต้องขับด้วยความระมัดระวังและใช้ winter tire เสมอ
ถนนสายรองหลายเส้นเป็นลูกรังอัดแน่น
เนื่องจากไม่มีระบบขนส่งสาธาณะ การท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ด้วยตัวเองจึงต้องเช่ารถขับ ซึ่งมีบริษัทรถเช่าให้บริการมากมายทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์อินเตอร์ ราคาก็แตกต่างกันไปเลือกเช่าได้ตามสะดวก ทั้งนี้ในฤดูหนาวจะไม่อนุญาตให้นำรถเข้าในเขต high land ซึ่งเป็นพื้นที่ตอนกลางของประเทศ ส่วนหน้าร้อนจะสามารถนำรถที่เป็นแบบ 4WD เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวได้ … สำหรับผู้ที่เช่ารถขับในช่วงหน้าหนาวทางบริษัทรถจะใส่ยางรถยนต์แบบ Winter tire ให้ตามกฎหมายของประเทศ อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบกับทางบริษัทรถอีกครั้งตอนรับรถโดยเฉพาะเมื่อเช่ารถในช่วงคาบเกี่ยวของฤดูกาล (เช่นเดีอนเมษายน)
การเช่ารถปกติแล้วจะมีประกันมาตรฐาน (CDW) มาให้อยู่แล้ว ซึ่งมีความคุ้มครองระดับเบื้อต้น (จำกัดการรับผิดชอบค่าเสียหายสูงสุดไว้ประมาณหนึ่ง เป็นตัวเลขเท่าไหร่นั้นแล้วแต่บริษัท) หากต้องการลดความเสี่ยงสามารถซื้อประกันเพิ่มเติม (Super CDW) เพื่อลดค่าความรับผิดชอบค่าเสียหายลงมาได้เช่นกัน … อย่างไรก็ตามค่าประกันส่วนนี้ค่อนข้างสูง อาจพิจารณาตามความเหมาะสม หากเป็นคนขับรถตามกฎและไม่มีแผนที่จะเดินทางโดยใช้ถนนสายรองมากนักอาจไม่จำเป็นต้องซื้อประกันส่วนนี้
สำหรับประเทศไอซ์แลนด์ อาจพิจาณาซื้อประกัน “Gravel Protection” and “Sand and Ash Protection” เพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดกับกระจกหน้า, ไฟรถ และความเสียหายที่เกิดกับตัวถัง
สภาพถนนบางช่วงเป็นแบบนี้ครับ จากถนนลาดยางบางทีเปลี่ยนเป็นถนนลูกรังเฉยเลย ซึ่งถ้าวิ่งตามๆ กันมีความเสี่ยงสูงที่หินจากรถคันหน้าจะมีโดนกระจกหรือตัวรถเสียหายได้
อีกวิธีที่ช่วยลดความเสียหายด้วยคือการซื้อประกัยภัยการเดินทางที่ครอบคลุมความเสียหายส่วนแรกจากการเช่ารถด้วย อย่างตัวผมเองก็ซื้อของ MSIG แผน Easy 2 ที่คุ้มครองค่าเสียหายส่วนนี้ 20,000 บาท (คุ้มครองเฉพาะผู้ที่ระบุในสัญญาเช่ารถ) … ศึกษาเรื่องประกันภัยเดินทางท่องเที่ยวได้จากรีวิวท่องเที่ยวอุ่นใจเมื่อมีประกันภัยเดินทางที่ผมเคยเขียนไว้นะครับ
ทั้งนี้ขอให้ศึกษาเรื่องเงื่อนไขการประกันภัยให้ดีเพราะอาจมีข้อยกเว้นต่างๆ เช่นความเสียหายที่เกิดกับบานประตูรถเนื่องจากลม (อันนี้ผมเจอมากับตัว ลมพัดประตูรถแรงมากจนจับไม่อยู่ และทำให้บานประตูเสียดสีกันเกิดเสียงดังตอนเปิด ยังดีที่ภายหลังสามารถงัดบานประตูให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ มิเช่นนั้นคงมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เกิดขึ้นแน่ๆ)
เครื่องนุ่งห่มและอุปกรณ์กันหนาว
ภูมิอากาศของประเทศไอซ์แลนด์เป็นแบบภาคพื้นสมุทรกึ่งอาร์กติก ที่ค่อนข้างอบอุ่นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่อยู่แนว Latitude เดียวกันเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่น แต่ก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นมากสำหรับคนจากประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา โดยอุณหภูมิเฉลี่ยที่เรคยาวิคในเดือนมกราซึ่งเป็นฤดูหนาวอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส และ 12 องศาเซลเซียสสำหรับเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นฤดูร้อน นอกจากนี้ประเทศไอซ์แลนด์ยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศแปรปรวนมากประเทศหนึ่งโดยเฉพาะเมืองในเขตตอนใต้ของเกาะ บางครั้งอาจเจอได้ทั้งแดด ฝนและหิมะในวันเดียวกัน ที่สำคัญและต้องระมัดระวังอีกอย่างคือลมที่ประเทศไอซ์แลนด์จะพัดแรงมาก ต้องคอยดูพยากรณ์อากาศอยู่เสมอ เพราะลมในบางจุดแรงถึงขนาดพัดคนตัวเล็กๆ ปลิวได้เลย หรือบางครั้งอาจทำความเสียหายกับประตูรถ ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่สามารถเคลมประกันภัยได้เพราะมักเป็นข้อยกเว้นสำหรับประกันภัยรถยนต์ของประเทศไอซ์แลนด์
ว่าด้วยเรื่องความหนาวในไอซ์แลนด์ผมพบว่ามีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ของยุโรปที่ผมไปเยือนมาคืออากาศในไอซ์แลนด์มีความชุ่มชื้นมากกว่า แม้อากาศจะหนาวมากแต่ผิวกลับไม่แห้งเหมือนตอนไปเที่ยวยุโรปกลางหรือยุโรปตะวันออก อย่างไรก็ตามยังแนะนำให้นำครีมทาผิวแบบให้ความชุ่มชื้นติดตัวไปด้วยเพราะถ้าไปเจอลมหนาวแรงๆ ก็อาจทำให้ผิวหน้าและนิ้วแห้งแตกได้เช่นกัน
สำหรับเสื้อผ้าและเครื่องกันหนาวบอกได้เลยว่าให้เตรียมมาแบบจัดเต็ม ควรมีลองจอนทั้งเสื้อและกางเกง เสื้อกันกันหนาวแบบมีฮู้ดจะช่วยได้มาก อย่าลืมเลือกแบบที่เป็นขนเป็ด, wool หรือ heat tech ซึ่งให้ความอบอุ่นได้ดี
ควรเตรียมชุดกันหนาวแบบกันลมและกันน้ำได้ด้วยจะดีมากเพราะอาจต้องเจอสภาพอากาศแบบฝนตกลมแรงในบางวัน … นอกจากนี้ควรมีหมวกไหมพรมหรือหมวกอื่นๆ ที่ปิดหูได้และไม่มีปีกหมวกเพราะอาจโดนลมพัดปลิวหายได้ง่าย … ผ้า buff สำหรับปิดหน้ากันลมก็สามารถลดความทรมานจากลมได้ดีทีเดียว ทั้งนี้หากไม่มีสามารถซื้อได้ที่สนามบินหรือตามร้านค้าต่างๆ ใน Iceland (ผ้า buff ยี่ห้อ buff ราคาในสนามบินซึ่งเป็นแบบปลอดภาษีถูกกว่าร้านค้าด้านนอกเยอะพอสมควร) ส่วนหมวกและถุงมือลองดูของยี่ห้อ iceware ที่ทำจาก wool ใช้ได้ดีราคาไม่สูงจนเกินไป
นอกจากเสื้อกันหนาวกันลมแล้วอุปรกรณ์ที่สำคัญมากๆ คือถุงมือ, หมวกที่ปิดได้ถึงหู รวมถึงพวกถุงทรายหรือเจลให้ความอบอุ่นบริเวณเท้าและมือ
สำหรับ option เสริมที่อาจเตรียมไปคือที่สวมรองเท้าสำหรับลุยน้ำ กรณีที่อยากลุยน้ำลงไปถ่ายภาพที่ black sand beach และชายหาดใกล้ glacier lagoon ผมสั่งของจากร้าน SNBN.SunnyBunny ใช้ได้ดีทีเดียวครับ สามารถพับเก็บได้ ไม่หนักและช่วยกันน้ำได้ดีเพราะสูงราวครึ่งหน้าแข้ง ทำให้รองเท้าไม่เปียกเลอะเมื่อโดนคลื่นซัด ราคาก็แค่ละ 380 บาทเองดีกว่าขนรองเท้าบูธยางหนักๆ เยอะเลย (จริงๆ รองเท้าผมกันน้ำได้ แต่เนื่องจากสูงเพียงข้อเท้า จึงอาจเปียกได้ถ้าเจอคลื่นทะเลซัดแรงๆ จึงควรมีถุงหุ้มกันน้ำอีกชั้น)
นี่แหละครับถุงคลุมรองเท้าสำหรับลุยน้ำพื้นยาง ผ้าร่มกันนั้น เปิดซิปเพื่อใส่สวมทับรองเท้าได้เลย เวลาไม่ใช้งานก็พับเก็บได้ง่ายน้ำหนักเบา work มาก
ใครที่คิดว่าจะลงไปลุยถ่ายภาพริมทะเลทั้งบริเวณหาดทรายดำและ Glacier lagoon แนะนำให้ใช้ถุงคลุมรองเท้าครับ ราคาไม่แพง จะได้ไม่ต้องกลัวคลื่นแรงๆ รองเท้าไม่เลอะทราย แถมยังน้ำหนักเบาพับได้พกพาง่าย
ในส่วนของรองเท้าควรเป็นแบบยึดเกาะได้ดีและกันน้ำได้ อย่างของผมใช้ของ Keen แบบหุ้มข้อรุ่น TARGHEE II MID ซึ่งพื้นออกแบบมาให้เหมาะกับการลุยป่าเขาได้แบบสบาย ป้องกันข้อเท้าพลิก และยังกันน้ำทำให้เดินบนพื้นหิมะหรือที่มีน้ำขังแบบตื้นๆ ได้โดยเท้ายังคงแห้งอยู่ อย่างไรก็ตามหากเดินบนน้ำแข็งหรือสภาพอากาศที่หิมะเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งอาจต้องมีที่สวมรองเท้ากันลื่นเพิ่มเติม หน้าตาจะเป็นยางที่มีโลหะปลายแหลมด้านล่างเพื่อช่วยให้ยึดเกาะบนน้ำแข็งได้ … สำหรับรายละเอียดของรองเท้าที่ผมใช้ ลองดู รีวิว Keen TARGHEE II MID ได้เลยครับ
Keen รุ่นTARGHEE II MID สามารถสวมใส่ได้สบายตลอดทริปครับ รุ่นนี้กันน้ำด้วยคุณสมบัติ Keen Dry ทำให้เท้าไม่เปียกชื้นเมื่อต้องเดินลุยหิมะหรือลุยน้ำ … แถมดีไซน์ที่ทำจากหนังทำให้รองเท้าดูสวยคลาสสิคมาก … ภาพนี้ถ่ายก่อนวันกลับ สภาพมอมแมมหน่อยแต่ดูเก๋าดี ผมชอบ อิอิ
เครื่องช่วยให้ความอบอุ่นที่อยากแนะนำให้นำติดตัวไปคือถุงทรายหรือเจลให้ความร้อน รวมถึงแผ่นติดถุงเท้า ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านที่ขายสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นหรือไต้หวันครับ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนขี้หนาว เพราะบางทีเฉพาะเสื้อผ้านั้นเอาไม่อยู่จริงๆ
ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ซื้อเก็บไว้นะครับ ใช้งานได้เวิร์คมากๆ ทั้งถุงทรายและแผ่นติดถุงเท้า … ผมซื้อจากไต้หวันเป็นเจลก็ดีนะ แต่น้ำหนักเยอะไม่เหมาะกับทริปนี้
อีกอย่างที่ควรเตรียมไปโดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวคือแว่นกันแดดครับ เพราะสีขาวของหิมะอาจทำให้ตาพร่ามัว การสวมแว่นกันแดดจะช่วยให้สบายตาแถมถ่ายภาพแล้วเท่ขึ้นอีก 38% อิอิ
Internet
Internet ใน Iceland มีให้ใช้ทั่วไปตามสนามบิน, ร้านอาหารรวมถึงบ้านพัก แต่ในระหว่างทางต้องพึ่งพาจากมือถือหรือไม่ก็ pocket wifi ซึ่งตัวเลือกคือการเปิด roaming จากเมืองไทย หรือจะไปซื้อซิมของทีโน่นซึ่งยุ่งยากกว่านิดหน่อยเพราะอาจต้องมีการ setup มือถือเล็กน้อย ส่วนทางเลือกสุดท้ายที่ผมแนะนำคือเช่า pocket wifi ไป ซึ่งสะดวกมากเพราะไปถึงก็เปิดใช้ได้เลย ผมใช้ของ Wi-Ho แบบที่ใช้ได้สูงสุดวันละ 1 GB ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการใช้งานสำคัญต่างๆ เช่น Google map และหาข้อมูลท่องเที่ยว อาทิ พยากรณ์อากาศ, แสงเหนือ, สภาพเส้นทาง รวมถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว และการโพสภาพบ้างเล็กน้อยบน social medias สำหรับคณะของเราซึ่งมีด้วยกัน 7 คน แต่ถ้ามีการ live vdo หรือส่ง vdo ผ่าน line ก็อาจทำให้ data limit ที่ 1 GB ไม่พอ ดังนั้นควรกัน internet ไว้สำหรับเรื่องสำคัญส่วนการใช้เพื่อความบันเทิงค่อยทำเมื่อถึงที่พักหรือโพสตามร้านอาหารที่มี free WIFI จะดีกว่า
Wi-Ho พร้อม package ใช้ในประเทศกลุ่มยุโรปได้สูงสุดวันละ 1 GB สะดวกสบายมาก ไม่ต้องมานั่งเปลี่ยน network สามารถใช้งานได้ทันที เหมาะสำหรับเป็นตัวหลักสำหรับใช้หาข้อมูล, ติดต่อสื่อสาร และใช้คู่กับ Google Map แต่ถ้าจะ live VDO หรือโพสภาพเยอะๆ ต้องคอยดูด้วยว่า data ที่ใช้ไม่เกิน 1 GB ต่อวัน
อาหาร
อาหารการกินใน Iceland ถือว่าแพงมาก จานหลัก (main course) แบบธรรมดาอยู่ที่ราว 600-800 บาท/คนไม่รวมเครื่องดื่ม ถ้าแบบดีก็คนละพันกว่าบาทต่อจาน ดังนั้นต้องเตรียมงบประมาณค่าอาหารต่อคนอยู่ที่ 2000 บาทต่อวัน (กรณีโรงแรมไม่มีมื้อเช้า) หรือไม่ก็ทำแบบผมคือเลือกที่พักซึ่งมีครัวแล้วทำอาหารทานกันเอง เนื่องจากสามารถหาซื้อข้าวสารและวัตถุดิบต่าง ๆ ได้ตาม super market / mini mart ซึ่งมีอยู่ทุกเมือง แม้ราคาวัตถุดิบจะแพงกว่าบ้านเรา เช่นข้าวสารกก.ละ100 กว่าบาท เนื้อหมูเนื้อไก่กก.ละ 400-500 บาทขึ้นไปแต่เมื่อคิดค่าเฉลี่ยต่อหัวแล้วมื้อนึงก็ไม่เกิน 200 บาทต่อคนซึ่งถูกกว่ากินตามร้านถึง 3-4 เท่าเป็นอย่างน้อย
อาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่วัตถุดิบหาซื้อได้ตามร้านมินิมาร์ทตามเมืองต่างๆ ทานแบบนี้นอกจากอิ่มอร่อยแล้วยังประหยัดเงินได้เยอะมาก
ที่พัก
ที่พักใน Iceland มีให้เลือกมากพอสมควร ตามเมืองเล็กๆ หรือสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งไม่ใช่เมืองหลวงจะเป็นพวก guest house หรือ apartment ซะเยอะ สำหรับกลุ่มของผมซึ่งไปกัน 7 คนเลือกพักแบบ apartment เป็นส่วนใหญ่เพราะมีครัวให้เราทำอาหารทานกันเอง บางแห่งก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่เจ้าของแบ่งให้เช่าพื้นที่บางส่วน บางแห่งก็ให้บ้านทั้งหลังเลย เกือบทุกแห่งจะใส่กุญแจบ้านไว้ในกล่องเล็กๆ (Key box) ซึ่งต้องใช้รหัสในการเปิดเอากุญแจไขเข้าบ้าน โดยรหัสดังกล่าวเจ้าของบ้านมักจะส่งให้ทาง e-mail ก่อนวันเช็คอินราว 2-3 วัน ทั้งนี้ทำให้เราสามารถเข้าบ้านได้โดยไม่ต้องเจอกับเจ้าของบ้านเลยด้วยซ้ำ แต่มีบางแห่งที่เจ้าของบ้านก็มาทักทายพูดคุยกับเราเช่นกัน
ที่พักสไตล์ apartment ของ Iceland ส่วนใหญ่จะมีห้องน้ำให้เพียงห้องเดียว แม้ว่าจะมี 2-3 ห้องนอนก็ตาม ดังนั้นอาจไม่สะดวกหน่อยตรงที่ต้องต่อคิวกันใช้ห้องน้ำ … ทุกแห่งจะมีผ้าขนหนูและเครื่องนอนให้พร้อมสรรพ (หากไปกันหลายคน บางหลังอาจใช้ sofa bed เป็นเตียงเสริม)
ที่ต้องระมัดระวังคือครัวส่วนใหญ่ใน Iceland รวมถึงประเทศอื่นๆ ในยุโรป ไม่ใช่ครัวหนักแบบบ้านเรา ดังนั้นการผัดการทอดแบบจริงจังที่มีควันเยอะๆ อาจทำให้ smoke detector ทำงานร้องลั่นบ้านได้ แถมกลิ่นอาหารอาจฟุ้งกระจายเต็มบ้าน ดังนั้นจะผัดจะทอดอะไรก็ต้องระวังนิดนึง เนื่องจากเจ้าของบ้านบางคนอาจไม่พอใจได้ ทางที่ดีควรเปิดประตูและหน้าต่างให้ระบายกลิ่นและควันขณะทำอาหาร กลุ่มของผมก็ทำให้ Smoke detector ทำงานไปสองแห่ง ที่แรกต้องรีบเอากระทะออกไปเสียบปลั๊กทำงานนอกครัว อีกแห่งเจ้าของบ้านวิ่งลงมาถอด smoke detector ออก ยังดีที่เธอเข้าใจและไม่ว่าอะไรพวกเรา
ที่พักใน Iceland ถือว่าราคาไม่แพงนะครับ บางแห่งทำเลดี วิวสวย เครื่องครัวครบ เฉลี่ยแล้วหลังละ 8,000 – 9,000 บาทพักได้ 7 คนสบายๆ
บางแห่งเป็นบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่มากราคา 10,000 นึงคุ้มค่ามากๆ
ที่เก็บกุญแจซึ่งนิยมใช้กันในไอซ์แลนด์ ชอบมากจนต้องหาซื้อในเมืองไทยเพื่อใช้กับที่บ้านบ้าง
อุปกรณ์นำทาง
อุปกรณ์นำทางถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการขับรถเที่ยวเอง แม้ปัจจุบัน Google map ในมือถือจะทำงานได้ดี แต่ผมก็อยากแนะนำให้ใช้ GPS ควบคู่ไปด้วย เพราะบางครั้งเราอาจต้องเดินทางในจุดที่อับสัญญาณ Internet หรือเกิดใช้ Internet เกิดโควต้าในวันนั้น หากไม่มี GPS จะทำให้เราเดินทางลำบาก … สำหรับผมนอกจาก Google map แล้วก็โหลดแผนที่ฟรีของ Garmin ลงใน SD cardืใส่ใน GPS ของเพื่อนที่เอาไปจากเมืองไทย ก็ถือว่าใช้งานได้ดีทีเดียวครับ (GPS ของ Garmin) ทั้งนี้แนะนำให้หาพิกัดเป็น co-ordinate (latitude, longitude) แล้วไปป้อนเพื่อค้นหาตำแหน่งนะครับ เพราะชื่อสถานที่ของ Iceland นั้นสะกดยากเหลือเกิน ถ้าไปพิมพ์ชื่อหาอาจไม่เจอ
Application และเวปไซต์ที่ใช้บ่อย
Application ที่ต้องมีติดตัวรวมถึงเวปไซต์ที่สำคัญก็ได้แก่ App สำหรับขอความช่วยเหลือ 112 ของไอซ์แลนด์, เวปสำหรับดูพยากรณ์อากาศ, แสงเหนือ และสภาพถนน เป็นต้น
ภาพประกอบจาก http://safetravel.is/
สำหรับเวปดูพยากรณ์อากาศและสภาพถนนที่ใช้บ่อยตามนี้เลยครับ save ใส่ fovorite ไว้เลย
- เช็คอากาศ http://en.vedur.is/
- แสงเหนือ http://en.vedur.is/weather/forecasts/aurora/
- สภาพถนน http://www.vegagerdin.is/english/road-conditions-and-weather
และนี่คือ Iceland ฉบับย่อของผม อย่าลืมอ่านรีวิวเต็มๆ ของทริปไอซ์แลนด์กันต่อนะครับ
Thank you for the information .We are planning for this April.
สุดยอดเลยค่ะ มีปะโยชน์มากๆเลย ขอบคุณอย่างยิ่ง
เยี่ยมยอดเลยค่ะ