รีวิวนี้เป็นตอนที่ 2 ของทริปไอซ์แลนด์
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านภาคก่อนหน้ารวมถึงภาคพิเศษที่รวมเรื่องน่าสนใจของไอซ์แลนด์ไว้ไปอ่านกันก่อนได้เลย
เอาล่ะเมื่อพร้อมแล้วมาเริ่มเดินทางกันต่อเลยครับ … หลังจากชมธารน้ำแข็งและน้ำแข็งที่ไหลลงทะเลแล้ว เราเดินทางเข้าสู่ฝั่งตะวันออกของไอซ์แลนด์ซึ่งมีลักษณะเป็นฟยอร์ด โดยเราเดินทางถึงที่พัก ณ เมือง Djúpivogur ซึ่งเป็นเมืองท่าสุดแสนสงบริมถนนสายหลักที่น่าอาศัยมาก บ้านพักของเราเป็นอพาทเม้นต์ 4 ห้องนอนพร้อมครัวตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือ มองเห็นวิวชัดเจนจากหน้าต่างห้องนอน … ข้าวของเครื่องใช้ก็มีให้พร้อมสรรพ คืนนี้ก็เลยจัดอาหารกันแบบเต็มพิกัดเลย
นี่เลยครับที่พักเรา อยู่ใกล้ท่าเรือของเมืองเลย …สำหรับที่นี่ผมจองผ่าน airbnb ครับ ใครยังไม่เป็นสมาชิกก็สมัครตาม link ได้เลย
บรรยากาศของเมืองสวยใช่เล่นเลย … ภูเขาที่เห็นด้านหน้าเป็นแนวของฟยอร์ดที่เรียงตัวกันไปตามแนวชายฝั่งด้านตะวันออกครับ
ค่ำคืนวันนี้พยากรณ์บอกว่าแสงเหนือจะมีความแรง KP4 ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เราต้องขับรถออกไปราว 30-40 กม.เพื่อให้อยู่ในเขตที่ท้องฟ้าโปร่งเพียงพอ … คืนนั้นหลังอาหารมื้อค่ำก็เลยขับรถออกจากเมืองไป และเฝ้าสังเกตท้องฟ้า แต่ดูเหมือนโชคไม่เข้าข้าง ฟ้าโดยรอบถูกปกคลุมด้วยเมฆหนาทำให้ไม่เห็นแสงเหนือจึงต้องกลับที่พักในที่สุด
วันรุ่งขึ้นเรายังคงขับรถต่อไปตามเส้นทางฟยอร์ดทางตะวันออก อากาศที่อึมครึมในช่วงเช้าค่อยๆ ดีขึ้น เราจึงแวะถ่ายภาพเป็นระยะ เพราะวิวสองข้างทางสวยเกินห้ามใจจริงๆ
ช่วงแรกๆ ฟ้ายังหม่นๆ แต่พอช่วงบ่ายมาพร้อมกันทั้งฟ้าและแดดสวยงามมากๆ
จากฟยอร์ดฝั่งตะวันออกเรา ใช้ถนนเส้นที่ตัดผ่านยอดเขาสูงมุ่งหน้าสู่เมือง Egilsstaðir ซึ่งเป็นที่พักสำหรับคืนนี้ ปกติแล้วเส้นทางนี้มักไม่ค่อยเปิดให้ใช้ช่วงหน้าหนาวเพราะเต็มไปด้วยหิมะและถนนบางส่วนก็ยังเป็นลูกรัง แต่โชคดีที่หิมะตกไม่เยอะนักช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเราจึงได้ขับผ่านถนนสายนี้ … แอบเสียวนิดหน่อยเพราะทางไม่ลาดยางแถมมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมเป็นระยะทำให้ต้องขับด้วยความระมัดระวัง แต่โบนัสคือได้ขึ้นไปเล่นหิมะฟูๆ บนยอดเขา
ลงเขามาก็เจอทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งอีก ถ่ายภาพกันสนุกเลย
ง
ไปถึงเมือง Egilsstaðir แล้วยังพอมีเวลาเหลือเราก็เลยขับรถไปเที่ยวหมู่บ้านที่เป็นเมืองท่าสำคัญของฝั่งตะวันออกที่ชื่อ Seydisfjordur … ระหว่างทางไปที่นี่ต้องผ่านภูเขาสูงซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสวยอีกแล้ว
หมู่บ้าน Seydisfjordur เป็นหมู่บ้านประมง ก่อนหน้านี้เคยเป็นฐานทัพเรืออเมริกา บ้านเรือนเป็นสไตล์ Norwegian เมื่อรวมกับ location ที่ถูกขนาบด้วยภูเขาจึงกลายเป็นหมู่บ้านที่น่ารักมากๆ .. หมู่บ้านนี้มี มีประชากร 700 คน ในทุกวันพฤหัสเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่เข้ามาจาก Denmark ทำให้มีผู้คนคึกคักมากเป็นพิเศษ
จากหมู่บ้าน Seydisfjordur เราเดินทางกลับเข้าที่พักซึ่งอยู่ชานเมือง Egilsstaðir โดยระหว่างทางแวะถ่ายภาพกับม้าไอซ์แลนด์ที่ฟาร์มริมทาง … ยอมรับเลยว่าม้าที่นี่เป็นมิตรมาก พอเราเดินลงไปที่รั้วมันก็เดินมาหาแบบไม่เกรงกลัวเราเลย
ที่พักคืนนี้อยู่ชานเมืองชื่อว่า Vallnaholt Apartments and Rooms ลักษณะเป็น Apartment มีครัวและห้องนั่งเล่น ห้องนอนไม่กว้างนักแต่ห้องนั่งเล่นและห้องน้ำกว้างขวางดี จองห้องพักที่นี่กับ Booking.com
วันรุ่งขึ้นเราขับรถผ่านที่ราบสูงที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะเต็มไปหมด ถนนมีกองหิมะเป็นระยะทำให้ต้องขับด้วยความระมัดระวัง แถมวันนี้เป็นอีกวันที่ลมแรงมากจนเกือบทำประตูรถพังเพราะไม่ทันระวังตัวตอนเปิด ยังดีที่จับไว้ทันจึงมีแค่เสียงดังผิดปกติและสามารถแก้ไขกลับมาเหมือนเดิมได้ในภายหลัง มิเช่นนั้นคงต้องจ่ายค่าซ่อมอานแน่
โปรแกรมวันนี้เราแวะไปเที่ยวน้ำตกสำคัญอีกแห่งของ Iceland คือ Dettifoss และ Selfoss … ที่จริงก็แอบกลัวเส้นทางเข้าสู่น้ำตกพอสมควร แต่โชคดีที่เราไปถึงในวันที่หิมะเบาบางแล้ว ถนนจึงใช้งานได้ดีไปจนถึงที่จอดรถ และทางเดินัจากที่จอดรถไปยังตัวน้ำตกทั้งสองแห่งที่ไม่ได้ลำบากมากนัก
ทางเดินไปน้ำตกดีกว่าที่คิดครับ หิมะไม่หนามากนักและไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง
สำหรับผมความยากของการถ่ายภาพน้ำตกก็คือละอองน้ำนี่แหละครับ เช็ดเลนส์กันเหนื่อยเลยทีเดียว แต่ยอมรับว่า Dettifoss เป็นน้ำตกที่ยิ่งใหญ่สวยงามสมกับการเข้ามาชมจริงๆ
Dettifoss
Selfoss
หลังจากชมความงามและยิ่งใหญ่ของ Detiifoss และ Selfoss แล้วเรามุ่งหน้าสู่ที่พักคืนนี้ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลสาบ Myvatn เป็น guest house ที่มีห้องพักให้บริการ 4 ห้อง โดยเราเช่า 3 ห้อง แต่เนื่องจากไม่มีแขกคนอื่นอยู่ พื้นที่ทั้งหมดจึงกลายเป็นของเราโดยปริยาย และที่นี่เป็นที่พักเพียงแห่งเดียวของทริปนี้ที่ราคารวมอาหารเช้าด้วย
วิวระหว่างทาง ผ่านโซนที่มีน้ำพุร้อน สีของภูเขาแถบนี้จะต่างกับจุดอื่นๆ ดูๆ ไปคล้ายหนังวัวเลย อิอิ
ที่พักแห่งนี้ชื่อ CJA Guesthouse อยู่ท่ามกลางฟาร์มบรรยากาศดี เจ้าของก็ใจดีมากด้วย … จองห้องพัก CJA Guesthouse กับ Booking.com ได้ที่นี่
คืนนี้เป็นอีกคืนที่มีพยากรณ์ความแรงของแสงเหนือราว KP3-4 แต่โซนที่เราอยู่ฟ้าไม่เป็นใจนักมีเมฆปกคลุมจนเกือบถึง 4 ทุ่ม ผมจึงเข้านอนโดยไม่นั่งคอยแสงเหนือต่อเพราะ เพลียกับการออกมารอตอนดึกในวันก่อนๆ … แต่เกือบตี 3 ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา จึงเปิดประตูออกไปดูปรากฎว่าเห็นสีเขียวโค้งจางๆ เหนือภูเขาหน้าบ้านพัก รีบเดินไปปลุกแฟนให้ลุกขึ้นมาดูแล้วคว้ากล้องออกมาถ่ายภาพ … พอเห็นภาพจากกล้องจึงแน่ใจว่าใช่แล้ว แสงเหนือจริงๆ ด้วยแต่อาจเป็นเพราะมีเมฆบางๆ และความแรงอยู่ระดับ KP3 จึงทำให้เห็นไม่ชัดนัก ผมให้แฟนไปปลุกเพื่อนคนอื่นๆ ในทริปมาดูด้วยกัน ส่วนผมเดินไปอีกฝั่งที่มืดหน่อยและเห็นมีแสงสีเขียวสะบัดไปมาอยู่ทั่วท้องฟ้าและมีแนวโน้มที่จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้ถึงกับเป็นสีเขียวเข้มก็ตาม
ช่วงตีสามกว่าๆ เป็นช่วงที่เห็นชัดที่สุดเป็นแนวโค้งขนาดใหญ่จนเลนส์มุมกว้างของผมเก็บแทบไม่หมด ตอนนั้นทั้งตื่นเต้นและดีใจไปพร้อมๆ กัน และตั้งกล้องถ่ายเป็น VDO ไว้จนแสงเหนือค่อยๆ หายไปพร้อมกับแสงยามเช้า
รุ่งเช้าเจ้าของบ้านนำอาหารมาวางไว้ให้ที่บาร์เป็นพวกขนมปัง, cold cut, ซีเรียล, ไข่ต้มและผลไม้ต่างๆ นอกจากไม่ต้องตื่นมาทำอาหารแต่เช้าแล้ว สาวๆ ยังได้ปลอดปล่อยความเครียดด้วยการช้อปปิ้งหมวกที่ทำจาก wool ซึ่งเจ้าของบ้านถักเองด้วย
หลังจากอำลาเจ้าของบ้านแล้วเราออกเดินทางจากที่พักขับรถย้อนกลับไปที่ทะเลสาบ Myvatn โดยมีโปรแกรมหลวมๆ ขับรถถ่ายภาพทิวทัศน์รอบทะเลสาบ จากนั้นจะไปแช่น้ำพุร้อนที่ Myvatn Nature Baths กันก่อนเดินทางไปยังเมืองถัดไปทางด้านเหนือของไอซ์แลนด์
ระหว่างทางผ่านทะเลสาบ Másvatn ใกล้ Myvatn น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง พวกเราเลยลองเดินถ่ายภาพบนผิวน้ำแข็งกันอย่างสนุกสนาน
แวะถ่ายภาพที่ Skútustaðagígar ริมทะเลสาบ Myvatn ทัศนียภาพคล้ายปากกล่องภูเขาไฟดูแปลกตาดี แต่ที่จริงแล้วภูมิประเทศแบบนี้เกิดจากลาวาร้อนกับน้ำเย็นในทะเลสาบมาเจอกันทำให้แก๊สดันตัวขึ้นมาจนเกิดเนินดินรูปทรงเหมือนปล่องภูเขาไฟ
หลังจากนั้นเราไปแช่น้ำพุร้อนที่ Myvatn Nature Baths ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนอีกแห่งนอกจากบ่อชื่อดังอย่าง Blue Lagoon … บ่อแห่งนี้คนน้อยกว่าและค่าเข้าใช้บริการก็ต่ำกว่าครับราคาคนละ 3,800 ISK ไม่รวมผ้าขนหนูดังนั้นแนะนำให้เตรียมไปด้วยนะครับ อีกอย่างถ้าไปช่วงที่อากาศยังหนาวควรมี Bath rope ไปคลุมตัวช่วงที่เดินออกจากอาคารไปบ่อน้ำพุร้อนด้วย เพราะอากาศหนาวมากๆ … ทั้งนี้แต่ละบ่อมีอุณหภูมิแตกต่างกันไป ไม่ถือว่าร้อนมากหากเทียบกับ onsen ของญี่ปุ่น แต่ที่เด็ดคือน้ำสีฟ้ากับวิวสวยๆ นี่แหละครับ แช่กันเป็นชั่วโมงยังไม่เบื่อเลย
หลังจากแช่น้ำพุร้อนกันสบายตัวแล้ว เราก็เดินทางไปยังเมือง Akureyri ซึ่งเป็นที่พักสำหรับคืนนี้ โดยระหว่างทางแวะเที่ยวน้ำตก Goðafoss อีกหนึ่งน้ำตกที่ผมว่าสวยมากและอยู่ริมทางเลย แต่เสียดายที่อากาศไม่เอื้ออำนวยเอามาก ๆ ฟ้าครึ้มแถมฝนตก ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยละอองฝนทำให้ผมถ่ายภาพได้ไม่มากอย่างที่หวังไว้
น้ำที่นี่สีเขียวมรกตเลย ถ้าอากาศดีน่าจะสวยกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
เมื่ออากาศไม่อำนวยก็เลยต้องยอมยกธงเดินทางกันต่อไปยัง Akureyri ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ตั้งอยู่ริมอ่าวทางด้านเหนือของ Iceland … อันที่จริงเส้นทางสู่ Akureyri ก็สวยงามมากๆ แต่ฝนตกค่อนข้างหนักผมเลยแทบไม่ได้เก็บภาพสักเท่าไหร่ มาหยุดให้ตรงก่อนถึงเมือง Akureyri จึงหยุดถ่ายภาพเพราะฟ้ากำลังสวยพอดี
สำหรับรีวิวตอนนี้ก็ฝากไว้ตรงเมือง Akureyri ก่อนนะครับ แล้วตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบ ผมจะพาไปชมหินไดโนเสาร์ทางฝั่งเหนือและสัญลักษณ์ของไอซ์แลนด์รวมถึงเส้นทางท่องเที่ยว Golden circle ใกล้เมือง Reykjavik ด้วย … แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปครับ
รีวิวอื่นของในทริปนี้
11+1 ที่พักแนะนำรอบไอซ์แลนด์และนอร์เวย์
รีวิวนี้รวมโรงแรม-ที่พักซึ่งผมไปพักมา 11 แห่งในทริปไอซ์แลนด์ตลอด 12 วันเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2017 แถมด้วยอีกหนึ่งแห่งในนอร์เวย์เพื่อรอต่อเครื่องกลับเมืองไทย … ถือว่าผมโชคดีมากที่ได้ที่พักประทับใจทุกแห่ง มากน้อยแตกต่างกันไปซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในรีวิวครับ ......
สักครั้งในชีวิตพิชิตไอซ์แลนด์ #3 – landmark ของไอซ์แลนด์
ตอนจบของทริปไอซ์แลนด์กับการตามหาแสงเหนือและสัญลักษณ์แห่งไอซ์แลนด์บนเส้นทางตอนเหนือและตะวันตกของประเทศ กับดินแดนที่สวยเหมือนสวรรค์เมื่อยามหิมะปกคลุม
สักครั้งในชีวิต พิชิตไอซ์แลนด์ #1
“สักครั้งในชีวิต พิชิตไอซ์แลนด์” … คือสิ่งที่ผมฝันไว้นานแล้วกับการเดินทางไปท่องเที่ยวและถ่ายภาพในดินแดนอันได้ชื่อว่าสวรรค์แห่งซีกโลกเหนือ … หลักจากทนดูภาพและรีวิวจากนักเดินทางชาวไทยรุ่นบุกเบิกไปพิชิตไอซ์แลนด์มาหลายปี ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลง บรรจงเขียนใบลา ทำตาปริบๆ กับนาย แล้วใช้วันลาที่มีอยู่ทั้งหมดออกเดินทางไปตามล่าฝันพร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีก 6 คน
Iceland ฉบับย่อ
จะว่าไปมีหลายคนยังสับสนนึกว่า Iceland คือ Ireland ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่ามันคนละประเทศกัน เพราะ Ireland นั้นอยู่ใกล้อังกฤษ ส่วน Iceland นั้นเป็นเกาะอยู่เหนือขึ้นไปใกล้กับ Green land ทั้งนี้แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ Iceland เกือบทั้งหมดเป็นแนวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก, ภูเขา, ชายฝั่งทะเล, ทะเลสาบ, บ่อน้ำพุร้อน, ทุ่งหญ้า, ธารน้ำแข็ง รวมถึงภูมิประเทศแปลกตาอีกหลากหลายรูปแบบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ นอกจากนี้ยังมีสัตว์ต่างๆ ที่น่ารักน่าชังอาทิ ม้าท้องถิ่นขนยาวตัวขนาดย่อมซึ่งเป็นมิตรมากๆ, นกนาๆ ชนิดไม่ว่าจะเป็นที่เห็นได้ทั่วไปอย่างนกนางนวล หรือนกหน้าตาน่ารักอย่างนกพัฟฟิน และ แมวน้ำ, ปลาวาฬ
wowww !!!
นายมดใช้รถรุ่นอะไรคะ
Woww , Great photos ,just like i seen it in real 😀
สวยๆๆ ชอบน้ำตก