24-27 พ.ย. 60
เข้าหน้าหนาวทีไรมีอันต้องหาโอกาสไปสัมผัสลมเย็นๆ ทุกครั้ง เพราะเวลาที่คนจังหวัดอื่นเค้าได้สวมเสื้อกันหนาวกันภูเก็ตบ้านผมยังร้อนตับแลบแถมบางทีต้องสวมเสื้อกันฝนด้วยซ้ำ 🙁 … ปีนี้ใช้วันลาเกือบหมดแล้ว เลยจัดทริปแบบสั้นๆ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์บวกหน้าหลังอีกอย่างละวันสำหรับเดินทางไปดูทะเลบัวแดงที่อุดรแล้วต่อด้วยนอนริมโขงชมหมอกตอนเช้าที่หนองคาย แค่คิดก็ฟินแล้วใช่มั้ย
ทริปนี้ยังคงใช้บริการของสายการบินไทยสมายล์เหมือนกับตอนไปอีสานครั้งที่แล้ว ออกเดินทางจากภูเก็ตไปสุวรรณภูมิก่อนแล้วค่อยต่อไปลงที่อุดรฯ อีกที ก็แอบอิจฉาคนกรุงเทพฯ เหมือนกันนะที่จะไปเที่ยวไหนก็ใกล้และสะดวกไปหมด อย่างไปอุดรฯ นี่มีเที่ยวบินของไทยสมายล์บินหลายเที่ยวต่อวันเลยแถมใช้เวลาราวชั่วโมงเดียวเท่านั้น
สายการบินไทยสมายล์จะสามารถโหลดกระเป๋าได้ 20 ก.ก. สำหรับชั้น Smile class และได้มากถึง 30 ก.ก. ในชั้น Smile plus ซึ่งเหมาะกับสายช้อปหรือเดินทางต่อมาจากต่างประเทศ ได้น้ำหนักกระเป๋าเยอะๆ โดยไม่ต้องเพิ่มเงินแบบนี้ก็สะดวกดีนะ ขาตั้งกล้องหนักๆ ของผมก็ใส่ไปในกระเป๋าเลยไม่ต้องขนขึ้นเครื่องให้ยุ่งยาก … ส่วนของที่นั่งก็ถือว่ากว้างดีทีเดียว
ผมบินกับไทยสมายล์ค่อนข้างบ่อยเลยสังเกตได้อย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของสายการบินนี้นั่นคือพนักงานต้อนรับที่ให้บริการด้วยความยิ้มแย้มและสดชื่นอยู่ตลอด … อันที่จริงสายการบินอื่นๆ ของไทยส่วนใหญ่ก็บริการดีนะครับ แต่บางครั้งผมรู้สึกว่าน้องแอร์โฮสเตทเค้าดูล้าๆ เลยทำให้เราพลอยไม่สดชื่นไปด้วย
ไทยสมายล์มีบริการเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารรองท้องบนเครื่องด้วย … ไปรอบนี้เป็นเมนูเบอร์เกอร์กุ้งกับแซนวิซไก่ ซึ่งเค้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ออกแบบเมนูให้สอดคล้องกับเทศกาลเป็นอีกสีสันของการเดินทาง จึงไม่แปลกที่ปีนี้ทางไทยสมายล์ได้รับรางวัล Travelers’ Choice จาก TripAdvisor ด้วย ซึ่งผมทำงานโรงแรมทราบดีว่า ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ นะครับ การได้รางวัลนี้แสดงว่าระดับบริการต้องอยู่อันดับท็อปๆ เท่านั้น ซึ่งปีนี้ไทยสมายล์ได้รับถึงสามรางวัลได้แก่ สายการบินยอดเยี่ยมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก, สายการบินยอดเยี่ยมของประเทศไทย และ 1 ใน 10 สายการบินยอดเยี่ยมระดับโลก ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดีในเรื่องคุณภาพการบริการ
ผมเดินทางถึงอุดรฯ ช่วงบ่ายของวันศุกร์ โดยทริปนี้ใช้รถเช่าของทาง AVIS ที่มีจุดรับรถอยู่ในสนามบินเลยทำให้สะดวกมากรถเช่าเป็น Toyota VIOS เพราะไม่มีแผนไปลุยเส้นทางโหด รถเล็กแบบนี้ประหยัดน้ำมันมาก และแอบดีใจที่ได้รถใหม่มากเพิ่งจะวิ่งมาได้ 3200 ก.ม. เอง
โปรแกรมวันแรกสบายๆ ครับ เข้าไป check in ที่โรงแรม Brown house ซึ่งเป็นที่พักคืนแรกอยู่ใกล้ UD town … โรงแรมออกแบบได้สวยงามมีกลิ่นอายของอีสานผ่านการนำเสนอที่ดูทันสมัยของงานออกแบบ
ห้องพักที่นี่กว้างกำลังดีครับ ราคาคืนละพันกว่าๆ รวมอาหารเช้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมที่ให้มาถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว ที่สำคัญผมว่าทำเลที่นี่ดีมาก เงียบสงบ โปร่งสบาย จะเข้าเมืองก็ใกล้ จะเดินทางออกไปนอกเมืองก็สะดวกเพราะอยู่ไม่ไกลจากถนนบายพาสของอุดรฯ … สนใจข้อมูลสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์ของโรงแรมบราวน์เฮาส์เลยครับ
ก่อนทานมื้อค่ำวันนี้ก็ไปเก็บภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่หนองประจักษ์ซึ่งเป็นสวนสาธารณะในตัวเมือง แต่ถึงช้าไปหน่อยเลยได้แค่แสงช่วงก่อนพระอาทิตย์ลับของฟ้ามาไม่กี่ภาพ อาจเป็นเพราะเริ่มเข้าหน้าหนาวด้วยก็เลยค่ำเร็วกว่าปกติ
วันรุ่งขึ้นผมตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพราะมีโปรแกรมไปดูทะเลบัวแดงที่หนองหาน อำเภอกุมภาวปีซึ่งห่างออกไปจากตัวเมืองอุดรฯ ราวหนึ่งชั่วโมง … ผมแวะซื้อของรองท้องที่ 7 Evelven นิดหน่อยก่อนจะมุ่งหน้าตามเส้นทางที่ Google map นำไป ขับมาได้ราวครึ่งชั่วโมงเศษก็เห็นป้ายทางเข้าไปทะเลบัวแดงชัดเจน ระหว่างทางจากจุดนี้ไปจนถึงท่าขึ้นเรือจะมีป้ายบอกทางตลอดรับรองว่าไม่หลงแน่ … ที่สำคัญยังคงได้เห็นวิถีท้องถิ่นและวิวแบบชนบทที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ด้วย
อันที่จริงทะเลบัวแดงของอำเภอกุมภวาปีนั้นสามารถขึ้นเรือได้หลายจุดครับ แต่ท่าเรือบ้านเดียวที่ผมขึ้นจะเป็นท่าเรือหลักและมีระบบบริหารจัดการที่ดีทีเดียว มีที่จอดรถขนาดใหญ่ มีซุ้มขายอาหารเรียงรายให้เลือกทานของร้อนๆ รองท้องก่อนออกเดินทางด้วย … จากที่จอดรถเดินไปนิดเดียวก็ถึงจุดซื้อตั๋วสำหรับขึ้นเรือ
สำหรับค่าเรือจะคิดที่ 100 บาท/คนสำหรับรอบเล็กและ 150 บาท/คนสำหรับรอบใหญ่ ซึ่งผมแนะนำให้เลือกรอบใหญ่ไปเลยดีกว่าครับใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเศษ และเรือจะมีสองแบบคือลำเล็กนั่ง 2 คนกับลำใหญ่นั่งได้สูงสุด 8 คน ข้อดีของเรือเล็กคือไม่มีอะไรบังวิวเพราะเป็นเรือหางยาวแบบโล่งๆ เลยไม่มีหลังคา แต่จะรู้สึกโคลงๆ หน่อยสำหรับคนตัวใหญ่ หากเป็นเรือใหญ่จะรู้สึกนิ่งกว่าเวลาเดินหรือขยับตัวและมีหลังคาบังแดดให้แต่นั่นแหละมันก็จะบังวิวด้วย เวลาถ่ายภาพผมว่าเรือลำเล็กสวยกว่านะ … เพื่อให้เก็บภาพได้สะดวกผมก็เลยใช้เรือเล็ก 2 ลำครับ ทีแรกก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องจ่ายลำละ 300 บาท แต่เจ้าหน้าที่ใจดีครับคิดแค่ลำละ 150 บาท (คิดราคาต่อหัวนั่นเองซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะจะยืดหยุ่นแบบนี้หรือเปล่า) อย่างไรก็ตามผมเอาเงินส่วนที่เหลือไปทิปให้คนขับเรือแทน 🙂
ออกเดินทางกันเลยคร้าบ … ช่วงแรกไม่เห็นบัวยังไม่ต้องตกใจ ขับตามๆ กันไปก่อน
อากาศยามเช้าช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน (25 พ.ย. 2560) เย็นสบายมากครับ ราว 17 องศาแต่ไม่ได้รู้สึกว่าหนาว อาจเป็นเพราะมีไออุ่นจากแสงแดดยาวเช้าด้วย … ทั้งนี้เรือจะเริ่มให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถ้าใครอยากมาเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นด้วยก็ควรจะมาถึงตั้งแต่ 6 โมงเลย แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศอุ่นๆ เริ่มออกจากท่าราวๆ 6:30 – 7:00 ผมว่ากำลังดี … จากท่าเรือใช้เวลาแล่นไปยังจุดที่มีดอกบัวหนาแน่นราว 15 นาที ซึ่งจะมีร่องน้ำเล็กๆ ให้เรือแทรกตัวไปท่ามกลางดอกบัวที่กำลังชูช่อเต็มบึงสวยงามมาก เรือแต่ละลำจะหยุดให้เราได้ถ่ายภาพเป็นระยะครับ ซึ่งสามารถบอกคนขับเรือได้เลยว่าอยากได้มุมไหน
ถึงแล้ว … สวยมาาาาาาก
การถ่ายภาพทะเลบัวให้ดูเป็นทะเลบัวก็ต้องอาศัยเทคนิคหน่อยนะครับ คือวางระดับกล้องให้ต่ำหน่อยเพื่อให้ดอกบัวดูซ้อนกันแน่นขึ้น … และเนื่องจากแสงช่วงเช้าจะออกโทนอุ่นทำให้ใบบัวออกเป็นสีเขียวอมเหลืองหากถ่ายภาพตามแสงจะได้ภาพของใบที่สีไม่ตัดกับสีดอกบัวสีชมพูนักนัก ลองหามุมกล้องที่แสงเข้าด้านข้างเล็กน้อยเราจะได้ภาพดอกบัวสีชมพูตัดกับน้ำในหนองหานที่เป็นสีฟ้าอมน้ำเงินสวยงามขึ้น
คนขับเรือบอกว่าปีนี้น้ำเยอะสาหร่ายน้อยทำให้ดอกบัวดกกว่าหลายๆ ปี โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูกาลแบบนี้จะหนาแน่นที่สุด ดังนั้นรีบมานะครับเพราะหลังกลางเดือนธันวาคมดอกบัวก็จะค่อยๆ ลดจำนวนลงครับ
อิ่มใจกับทะเลบัวแล้วก็เดินทางกลับไปทานอาหารเช้าที่ Brown House ซึ่งทำได้ดีทีเดียวครับ เป็นแบบ buffet ก็จริงแต่จัด station ได้น่ารักและผสมผสานอาหารท้องถิ่นทำให้ดูไม่น่าเบื่อ เสียดายที่ไม่มีกาแฟสดไม่งั้นจะถูกใจผมมากกว่านี้
วันนี้ผมมีโปรแกรมไปนอนค้างคืนริมแม่น้ำโขงที่อำเภอสังคมของจังหวัดหนองคาย และจะขึ้นชมทะเลหมอกที่ภูห้วยอีสันเช้าวันรุ่งขึ้น … ระหว่างทางผมแวะเข้าตัวเมืองหนองคายเพื่อจะไปชิมแหนมเนืองร้านดัง แต่ปรากฏว่าร้านปิดเลยต้องหาร้านอื่นแทนและก็โชคดีครับเจอร้านนี้โดยบังเอิญ อาหารอร่อยดีราคาก็ไม่แพงด้วย … “ร้านแม่อู๊ดอาหารเวียดนาม” ตั้งอยู่ริมทางในเขตเมืองหนองคาย
แวะซื้อของทานเล่น เป็นครั้งแรกที่ได้ลองทานเม็ดบัวสด อร่อยชื่นใจดี
อิ่มอร่อยจากมื้อเที่ยงแล้วก็เดินทางต่อไปยังที่พักชื่อ “เขาเคียงโขงโฮมสเตย์” ในเขต ต.บ้านม่วง อ.สังคม จังหวัดหนองคาย (หากจะซื้ออาหารหรือของใช้ ให้แวะที่ตัวอำเภอสังคมนะครับ มีร้านสะดวกซื้อใหญ่ๆ อยู่ 2 เจ้า) ที่พักคืนนี้อยู่ใกล้จุดขึ้นรถแต๊กไปชมทะเลหมอกบนภูห้วยอีสัน เจ้าของ คือนายกโจ้ที่เป็นหนึ่งในผู้นำในการสร้างชื่อให้ทะเลหมอก “ภูห้วยอีสัน” เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทย รวมถึงจุดชมทะเลหมอกใหม่อย่าง “ภูผาดัก” และ “ภูหนอง” ด้วย
อันที่จริงที่พักมีทั้งแบบบ้านพักและเต็นท์ ทีแรกผมอยากได้แบบเป็นบ้านเพราะห่วงเรื่องที่ชาร์จไฟ แต่เต็มเสียก่อนเพราะเป็นคืนวันเสาร์ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะ หลังจากสอบถามข้อมูลเพิ่มจึงทราบว่าที่พักแบบเต็นท์ก็มีปลั๊กให้ใช้ ส่วนห้องน้ำแม้จะเป็นแบบรวมแต่ก็เพียงพอสำหรับปริมาณเต็นท์ที่เปิดให้บริการอยู่ … ครั้งนี้ผมพักเต็นท์บนระเบียงด้านบนสุดราคา 450 บาทต่อคืนครับ ใครสนใจก็ไปดูข้อมูลได้ตามลิ้งค์นี้ครับ https://goo.gl/tkLcqA
การกลับมาอ. สังคมเป็นครั้งที่สองนี้ผมเห็นได้ชัดว่ามีที่พักประเภทรีสอร์ทเกิดใหม่เยอะมาก แต่น่าแปลกที่ไม เจอข้อมูลเลยตอนค้นหาใน internet … หลังจากคุยกับนายกโจ้จึงถึงบางอ้อว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำการตลาดออนไลน์ บางทีก็เปิดเวปเปิดเพจไว้แต่ไม่มีคนคอยตอบคำถามหรือให้ข้อมูลลูกค้า หรือบางคนก็ไม่ทำอะไรเลยรอลูกค้าแบบ walk-in อย่างเดียว … ดังนั้นถ้าไปในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลผมว่าสามารถหาที่พักได้ไม่ยากนะครับ มีให้เลือกเยอะเลย
คืนนี้ด้วยความขี้เกียจขับรถ เลยสั่งหมูกะทะจากร้านที่ติดป้ายโฆษณาไว้บริเวณที่พัก เป็นแบบ delivery ครับ ชุดเล็ก 170 บาท ทานกันสองคนกำลังพอดี มีเตามีกะทะและอุปกรณ์มาให้เรียบร้อย แต่กรณีของผมเค้าลืมใส่ถ้วยกับช้อนมาให้ คงเป็นเพราะลูกค้าวันนั้นเยอะมากเป็นพิเศษ
เช้าวันรุ่งขึ้นนายกโจ้นัดให้รถแต๊กมาจอดรอรับนักท่องเที่ยวระหว่าง 5:00 – 5:30 น. เพื่อขึ้นชมทะเลหมอกที่ภูห้วยอีสัน … ผมตั้งเวลาปลุกตอนตี 5 นิดๆ กว่าจะเตรียมของเสร็จก็ได้ขึ้นรถตอนตี 5:30 พอดี … อากาศเช้านี้เย็นกำลังสบาย ไม่มีลมทำให้ไม่ต้องสวมเสื้อกันหนาวก็พอจะเอาอยู่ แต่ที่ทำให้ใจแป้วคือตอนโผล่หน้ามาจากเต้นท์แล้วแทบไม่เห็นหมอกเลย กลัวว่าจะเหมือนตอนมารอบที่แล้วคือไร้ซึ่งทะเลหมอก
รถแต๊กค่อยนำเราผ่านเส้นทางลูกรังไต่ขึ้นไปบนยอดเนินของภูห้วยอีสัน ใช้เวลาราว 15 นาทีเราก็มาถึงบริเวณจุดชมวิวซึ่งคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว มุมดีๆ ถูกจองไปเกือบหมด กว่าจะได้มุมถูกใจก็ต้องเดินหาอยู่พักนึง แต่ที่ทำให้ยิ้มได้ก็เห็นจะเป็นทะเลหมอกที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งจัดว่าสวยมากเลยทีเดียว เสียดายที่ผมมาถึงช้าไปหน่อย แสงสียามเช้าได้เริ่มมาสักระยะแล้ว
ยิ่งช่วงที่พระอาทิตย์จะโผล่พ้นเหลี่ยมเขา หมอกก็ดูหนาและเริ่มฟุ้งขึ้นมาปกคลุมจุดชมวิว เพราะเป็นจุดที่ไม่ได้อยู่สูงมากเท่าไหร่ แต่ข้อดีก็คือเราจะรู้สึกว่าอยู่ใกล้ชิดกับหมอกมากๆ ครับ
ผมอยู่เก็บภาพพักใหญ่ก็นั่งรถแต๊กกลับลงไปยังที่พัก …อ้อ ค่านั่งรถแต๊กคนละ 60 บาทต่อคนสำหรับขึ้นและลงนะครับโดยจ่ายให้ตอนขาขึ้นกับคนขับซึ่งผมว่าไม่แพงนะและยัง เป็นรายได้ให้กับชาวบ้านด้วย ผมชอบไอเดียนี้ของคนพื้นที่ที่ช่วยกันคิดช่วยกันทำมาก เสียอย่างเดียวที่เสียงของมันดังเหลือเกิน (อารมณ์เดียวกับเสียงเรือหางยาว) ทำให้รบกวนบรรยากาศสงบๆ ของที่นี่
มื้อเช้าวันนี้ผมแวะทานที่ร้านกาแฟริมทางใกล้ที่พักซึ่งเปิดใหม่ บรรยากาศดีทีเดียว กาแฟก็ไม่แพงนะแต่เสียดายรสชาติการแฟยังไม่น่าจะประทับใจนัก คงเป็นเพราะยังใหม่มากนั่นเอง
รองท้องมื้อเช้าแบบเบาๆ แล้วผมก็ขับรถขึ้นไปชมวิวต่อบนวัดผาตากเสื้อซึ่งอยู่อีกด้านของอำเภอสังคม … แม้จะค่อนข้างสายแล้วแต่ด้วยความที่ปริมาณหมอกวันนี้หนาแน่นพอสมควร ก็เลยได้ภาพบรรยากาศสวยๆ ของผาตากเสื้อและ Sky walk มาสมใจ
จากที่นี่ผมเดินทางกลับไปยังอุดรฯ โดยเลือกอีกเส้นทางหนึ่งที่ผ่านวัดป่าภูก้อน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอนายูงของจังหวัดอุดรฯ … เส้นทางนั้นขับสบายๆ ไปจนถึงวัดเลยครับ
วัดป่าภูก้อนถือเป็นอีกแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดอุดรฯ เลยก็ว่าได้ เพราะทำเลที่ตั้งอยู่บนเขาท่ามกลางธรรมชาติ ดูโดดเด่น องค์พระพุทธรูปหินอ่อนสีขาว (พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี) ก็สวยงามมากครับ … การเข้าชมต้องสวมเสื้อผ้าให้สุภาพเรียบร้อย ทั้งนี้จะมีทีมงานคอยดูแลตั้งแต่ก่อนขึ้นไปยังโบสถ์ หากไม่เรียบร้อยก็จะให้สวมกระโปรงหรือกางเกงทับซึ่งทางวัดได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว … (กางเกงยีนส์ของผมที่มีรอยขาดๆ ที่ขาก็ต้องสวมกางเกงเลทับเช่นกันครับ)
คืนนี้ผมกลับไปพักที่ Brown house ในเมืองอุดรฯ อีกครั้ง แลยแวะถ่ายภาพที่บริเวณศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีนและ ศาลเจ้าปู่-ย่าซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ที่พัก ผมว่าเค้าจัด landscape สวยดีและไม่พลุกพล่านเหมือนหนองประจักษ์
จากนั้นขับรถไปทานมื้อเย็นที่ V.T. community ซึ่งเปิดใหม่ชานเมืองอุดรฯ … ต้องยอมรับเลยว่าทาง V.T. ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ ระบบการบริหารจัดการด้านในก็ทำได้ดีครับ ราคาอาหารเท่ากับที่สาขาในเมือง แต่สถานที่ดูใหม่และ modern กว่า สำหรับของฝากจะซื้อจากที่นี่ก็ได้เช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นสายๆ เพราะไม่มีโปรแกรมอะไรแล้ว … หลังจากมือเช้าก็ขับรถไปคืนที่สนามบิน ซึ่งสะดวกดี ไปจอดไว้บริเวณเดียวกับที่รับรถตรงข้ามกับอาคารสนามบินเลย เมื่อแจ้งทาง AVIS แล้วทางพนักงานก็จะมาตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการคืนรถครับ
สำหรับของฝากที่เป็นแหนมเนืองชื่อดังของ V.T. หากซื้อในเมืองไม่ทันก็ไม่ต้องกังวลครับ มาซื้อที่สนามบินได้เลย ราคาเท่ากันเป๊ะ โดยสายการบินไทยสมายล์จะให้โหลดลงใต้ท้องเครื่องครับ แต่ไม่ถึงกับต้องบรรจุกล่องพิเศษ สามารถใช้ถุงของ V.T. แล้วเขียนชื่อได้เลย
เป็นไงบ้างครับทริปสั้นๆ แบบนี้ แม้จะมีเวลาน้อยแต่เหมือนได้หลุดออกมาอีกโลกนึงเลย ได้ดูทั้งทะเลบัวแดง ทะเลหมอกกับอากาศเย็นๆ … ใครอยากมาสัมผัสประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ก็เลือกเดินทางกับไทยสมายล์ได้นะครับ มีหลายเที่ยวบินเลยล่ะในแต่ละวัน ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์ของไทยสมายล์ ได้เลย