ก่อนไปอ่านรีวิวชม VDO ของทริปนี้เพลินๆ กันก่อนนะครับ
ปกติแล้วฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในสวิสจะเริ่มราวปลายเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน แล้วแต่สภาพอากาศและพื้นที่ แต่ผมเลือกช่วงปลายเดือนตุลาคมซึ่งติดวันหยุดและคิดว่าเป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีพอดีในจุดที่อยากไป … ข้อดีของการไปช่วงนี้คือ อากาศเย็นถูกใจคนเมืองร้อน อาจมีโอกาสได้เจอหิมะตกด้วย แต่ข้อเสียคืออากาศค่อนข้างแปรปรวน วันนึงอาจได้เจอทั้งสามสภาพอากาศคือ ร้อน, ฝนและหนาว ที่สำคัญวันที่ 23 ต.ค. เป็นต้นไปรถไฟและกระเช้าที่ขึ้นเขาต่างๆ หลายแห่งจะปิดทำการเพื่อซ่อมบำรุง และจะเปิดใหม่เมื่อเข้าฤดูหนาวหรือไม่ก็ต้นฤดูร้อนปีถัดไปเลย ดังนั้นถ้าจะขึ้นไปชมวิวบนเขาที่ไม่ใช่ภูเขายอดนิยม อาจต้องเช็คให้ดี ไม่งั้นอาจจะแห้ว แต่สำหรับยอดเขาดังๆ นั้นส่วนใหญ่เปิดให้บริการทั้งปีอยู่แล้วครับ
ไฟลท์ของสายการบิน Qatar เดินทางถึงท่าอากาศยาน Malpensa เมืองมิลานประเทศอิตาลีในตอนเช้า ผมจัดการรับรถเช่าแบบ mini VAN 8 ที่นั่งแล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่สวิสทันที … อากาศวันนี้เป็นไปตามพยากรณ์คือมีหมอกลงจัด ฟ้าขาว ใบไม้ในฝั่งอิตาลีกำลังเปลี่ยนสีพอดี ผมเลือกขับเส้นทางเลียบทะเลสาบ Lake Maggiore แล้วแวะทานข้าวเที่ยงที่เมือง Feriolo ก่อนจะขับข้ามชายแดนโดยมีจุดหมายที่เมือง Zermatt ของสวิตเซอร์แลนด์
ฟ้าเปิดให้ถ่ายภาพได้หน่อยนึงที่ Feriolo
บรรยากาศบริเวณชายแดน
เมื่อเริ่มเข้าสู่สวิตเซอร์แลนด์ ก็เริ่มเจอฝนปรอยอีกครั้ง … แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดรถถ่ายภาพเมื่อผ่านจุดสวยๆ อย่าง Simplon pass
มีเรื่องที่คาดไม่ถึงระหว่างเดินทางคือเราไม่สามารถหาซื้อสติกเกอร์ทางด่วนของสวิสฯ ได้ที่ร้านบริเวณชายแดนเหมือนที่หาข้อมูลไว้เพราะเรามาตรงวันอาทิตย์แถมติดช่วงเย็นไม่มีร้านไหนเปิดเลย … ขับเลยชายแดนมาไกลแล้วเราหยุดแทบทุกร้านที่คิดว่าจะมีสติกเกอร์ดังกล่าวขาย แต่หาซื้อไม่ได้ บางร้านแจ้งว่าเป็นช่วงปลายปีและสติกเกอร์ของปีถัดไปกำลังจะมาเลยไม่มีของปีปัจจุบันขายแล้ว (สติกเกอร์นี้ใช้ปีต่อปี) สุดท้ายต้องยอมถอดใจแล้วขับรถต่อไปจนถึงเมือง tosh ซึ่งอยู่ก่อนถึง Zermatt เล็กน้อย (ค่าฝากรถ 8.4 CHF ต่อวัน)
เราต้องฝากรถไว้ที่นี่แล้วนั่งรถไฟต่อไป Zermatt เพราะเมือง Zermatt เป็นเมืองปลอดมลพิษจึงมีการควบคุมการใช้งานรถที่ไม่ได้ใช้พลังงานไฟฟ้า สำหรับที่จอดรถถือว่าสะดวกสบาย ถ้าไม่ใช่ช่วงพีคน่าจะรองรับปริมาณรถได้เยอะเลย และสถานีรถไฟก็จะอยู่ตรงชั้นล่างของที่จอดรถนั่นเอง
กว่าจะถึง Zermatt ก็ค่ำแล้วจึงต้องเข้าที่พักซึ่งเป็นอพาร์ทเมนต์โดยไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน
ที่จริงโปรแกรมเช้าวันถัดมาเราต้องขึ้นไปชมยอดเขา Matterhorn บนสถานี Gornergrat แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าช่วงเช้าหิมะตกหนักและจะดีขึ้นหลังเที่ยง เราเลยต้องเปลี่ยนแผนเพราะขึ้นไปตอนอากาศไม่ดีก็ไม่ต้องหวังว่าจะเห็นยอดเขา สู้ไปลุ้นเอาช่วงบ่ายดีกว่า
ช่วงเช้าเลยถือโอกาสเดินเที่ยวภายในเมืองแทน ซึ่งช่วงแรกๆ มีหิมะตกปรอยๆ ปกคลุมเมืองและต้นสนจนกลายเป็นสีขาว
พอสายหน่อย เริ่มมีแดด หิมะจึงละลายเผยให้เห็นต้นสนที่ใบกำลังเปลี่ยนเป็นสีทองทั่วทั้งหุบเขา
ราวเที่ยงเราเดินทางไปขึ้นรถไฟ ซึ่งปกติแล้วนักท่องเที่ยวที่ไม่มี swiss pass อย่างเราจะต้องเสียค่าตั๋วเต็มๆ แต่โชคดีที่ผมหาซื้อราคาโปรโมชั่นได้จากเวปของ coop เลยได้ราคาลดครึ่งนึงเหมือนกับใช้ swiss pass เลย
รถไฟขบวนสีแดงนำเราขึ้นสู่ยอดเขา แม้ฟ้าจะปิดแต่วิวโดยรอบก็สวยงามมาก ขาดอย่างเดียวก็คือไม่เห็นยอดเขา Matterhorn อย่างที่หวังไว้ และเมื่อถึงสถานีปลายทางเราก็เจอกับหิมะแบบเต็มๆ ที่มาพร้อมกับอากาศหนาวจับใจ คนที่ happy สุดเห็นจะเป็นเด็กน้อยสองคนที่มีโอกาสได้เล่นกับหิมะอย่างสนุกสนาน
หลังจากถ่ายภาพกันพักใหญ่เราก็เดินทางกลับ ฟ้าปราณีเผยให้เราได้เห็นยอด Matterhorn เป็นช่วงสั้นๆ พอที่จะเก็บภาพไว้ได้สองสามช็อต
ก่อนรถไฟถึงสถานีด้านล่างในเมือง Zermatt เราก็ได้เห็นวิวเต็มๆ ของหมู่บ้านแห่งนี้ที่ถูกล้อมด้วยหุบเขาที่กลายเป็นสีทองของต้นสนซึ่งกำลังเปลี่ยนสี งามเกินบรรยายจริงๆ
ออกจาก Zermatt เรากลับไปเอารถที่ฝากไว้แล้วขับไปยัง VISP เมืองใหญ่ระหว่าง ซึ่งก็โชคดีที่ได้สติกเกอร์ทางด่วนจากไปรษณีย์ในเมืองและถือโอกาสซื้อของในซุปเปอร์เพื่อทำอาหารทานกัน
จุดหมายวันนี้อยู่ที่เมือง Kandersteg ซึ่งเราจะใช้เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยวอีก 2-3 วันถัดไป การเดินทางไปเมืองนี้ถ้าใช้เส้นทางปกติจะไกลมาก แต่เราเลือกเอารถขึ้นรถไฟลอดอุโมงค์ที่ช่วยร่นระยะทางและเวลาได้เยอะมาก โดยปลายทางของอุโมงค์อีกฝั่งก็คือเมือง Kandersteg ที่พักของเรานั่นเอง นับเป็นอีกประสบการณ์แปลกใหม่ของการขับรถเที่ยวเอง
ทั้งนี้เราขึ้นที่เมือง Leukerbad ใช้เวลาราว 15 นาทีสำหรับค่าบริการเที่ยวละ 25-30 CHF ดูได้จากเวปนี้เลย
ตอนแรกของจบไว้ที่ Kandersteg ครับ ไว้รีวิวถัดไปเราจะไปชมวิวสวยๆ ตอนกลางของสวิสกัน ส่วนรีวิวนี้ทิ้งท้ายกันด้วยภาพหลังที่พักในเมือง Kandersteg ยามค่ำครับ
รีวิวอื่นๆ ของทริปนี้
ทริปขับรถชมใบไม้เปลี่ยนสีสวิส-อิตาลี – ตอน 3 Unseen Switzerland
ทริปขับรถชมใบไม้เปลี่ยนสีสวิส-อิตาลี – ตอน 4 Lake Como ฉันหรือเธอที่เปลี่ยนไป