Select Page

ทริปขับรถเที่ยวโครเอเชีย, สโลวีเนีย,​ บอสเนียฯ, มอนเตเนโกร  – ตอนที่ 2 ถึงเวลา “โครเอเชีย”

จากตอนที่แล้วเมื่อเดินทางถึงเมือง Zagreb ของ Croatia ผมก็เดินทางเข้าไปเที่ยวประเทศสโลวีเนียก่อนเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน  จากนั้นจึงขับรถกลับเข้ามาเที่ยวโครเอเชีย  สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านรีวิวสโลวีเนียก็สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ  https://www.9mot.com/2018/06/slovenia-road-trip/ … ส่วนใครที่พร้อมแล้วขึ้นรถไปเที่ยวโครเอเชียด้วยกันต่อเลย

 

ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่าชื่อ “โครเอเชีย” นั้นอยู่ใน list ที่ผมอยากไปเยือนมาสักระยะแล้ว  เพราะภาพมุมมหาชนของน้ำตกที่อุทยานแห่งชาติ Plitvice เป็นอะไรที่ดึงดูดมาก  แต่ด้วยความที่โครเอเชียไม่ได้อยู่ในประเทศกลุ่มเชงเก็นและตำแหน่งนั้นอยู่ห่างจากโซนเป้าหมายหลักของผมในทริปก่อนๆ ออกมาค่อนข้างไกล ทำให้การ “แวะ” เที่ยวโครเอเชียนั้นยังไม่เกิดขึ้นเสียที … และเมื่อถึงวันที่ผมได้เก็บประเทศต่างๆ ใน wish list ไปเยอะแล้ว  จึงถึงเวลาของโครเอเชียเสียที และนี่ไม่ใช่การแวะแต่เป็นเป้าหมายหลักของทริปเลย นอกจากอุทยาน Plitvice Lake แล้วโครเอเชียยังมีเมืองริมทะเลที่สวยงามอีกหลายแห่ง และนี่คือ “โครเอเชีย” ที่ “นายมด” ได้ไปเยือน

Rastoke

จุดหมายแรกของผมในโครเอเชียคือหมู่บ้านกังหัน(น้ำ)เล็กๆ ที่ชื่อว่า Rastoke … ชาวบ้านที่นี่สร้างบ้านเรือนคร่อมอยู่เหนือลำธารและน้ำตกเพื่อใช้แรงของน้ำในการหมุนกังหัน  สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ดึงดูดเท่ากับภาพของบ้านริมลำธารและน้ำตกที่ดูราวกับฉากในนิทาน … นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แวะเที่ยวเมืองนี้และชมความงามจากด้านนอกของหมู่บ้านที่จะเห็นสายน้ำตกไหลลงสู่โตรกธารเบื้องล่าง  แต่ผมเลือกที่จะพักบนเนินเหนือหมู่บ้านขึ้นไปเล็กน้อยเพื่อที่จะได้มีเวลาใกล้ชิดกับ Rastoke มากขึ้น

การเข้าชมหมู่บ้านต้องเสียค่าเข้าคนละ 30 Kuna (ประมาณ 150 บาท)  โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นไป  แต่ถ้าใครอยากพักในนี้เลยก็ได้นะ แต่ห้องพักจะมีไม่เยอะและราคาสูงกว่าด้านนอกหน่อย

วิวเมื่อมองจากด้านนอกหมู่บ้าน

วิวด้านในหมู่บ้าน

ร้านอาหารแนะนำประจำเมืองชื่อ Petro มีนูเด็ดคือปลาเทร้าซ์ย่าง และเสต็กต่างๆ  มาแล้วอย่าพลาดแวะชิมด้วยนะ

 

Plitvice Lake National Park

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่านี่คือ hi-light ของทริปเลย  Plitvice เป็นอุทยานแห่งชาติที่กินพื้นที่กว้างขวาง ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศโครเอเชีย การเดินทางเข้าชมอุทยานแห่งนี้แนะนำว่าควรมีเวลาครึ่งวันเป็นอย่างน้อย  แต่ให้ดีก็ควรใช้เวลาทั้งวันดื่มด่ำกับธรรมชาติด้านในให้เต็มที่  ซึ่งทางอุทยานได้มีเส้นทางแนะนำให้เลือกหลายแบบขึ้นกับเวลาที่มี  ทั้งนี้ผมเลือกเส้นทางสาย H ที่ใช้เวลา 4-6 ชั่วโมงโดยประมาณ  แต่เดินจริงผมใช้เวลาไปราว 8 ชั่วโมงเพราะแวะถ่ายภาพค่อนข้างบ่อยและไปตรงวันหยุดยาวซึ่งมีนักท่องเที่ยวเยอะ จึงเสียเวลารอคิวลงเรือนานกว่าปกติ

อุทยาน Plitvice สามารถแบ่งออกเป็นสองโซนใหญ่ๆ คือทะเลสาบตอนบนและทะเลสาบตอนล่าง (upper & lower lake) ซึ่งโปรแกรมแบบเต็มวันจะเริ่มจากประตู 2 ของที่ทำการอุทยาน  มีรถนำมาส่งที่ upper lake และค่อยๆ เดินลัดเลาะผ่านน้ำตกและทะเลสาบน้อยใหญ่ลงมาจนถึง lower lake และกลับออกทางประตู 1 ที่อยู่เหนือ lower lake ซึ่งเป็นจุดรวมของ hi-light

อันที่จริงตลอดการเดินตั้งแต่ upper lake ลงมาก็ไม่ได้ลำบากอะไร เส้นทางทำไว้อย่างดี สามารถพักได้เป็นระยะไม่รู้สึกร้อนหรือเพลีย เพราะสายน้ำตกทำให้รู้สึกสดชื่นตลอดเวลา  แต่วิวช่วงเดินลัดเลาะไปตามทะเลสาบก็ดูแล้วซ้ำกันพอสมควร น้ำตกชั้นบนๆ จะไม่ได้ใหญ่โตนัก และการถ่ายภาพ (น้ำตกให้เป็นสาย) ลำบากเพราะต้องวางขาตั้งกล้องบนทางเดินไม้ที่มีคนผ่านไปมาตลอดทำให้ไม่สามารถตั้งกล้องนิ่งๆ ได้สะดวก (ปัญหานี้จะน้อยลงถ้านักท่องเที่ยวไม่เยอะ) … สำหรับคนที่มีเวลาน้อยหรือไม่ชอบอะไรซ้ำๆ ผมแนะนำว่าให้เลือกเส้นทางที่เริ่มจากประตู 1 เพราะจุด hi-light และมุมมหาชนล้วนอยู่บริเวณเป็นส่วนใหญ่

คิวลงเรือวันนั้นยาวมากจริงๆ

ตลอดทางก็จะเจอกับวิวสดชื่นแบบนี้ครับ

Big waterfall

สายน้ำตกใกล้ Big waterfall ซึ่งของจริงย่ิงใหญ่อลังการทีเดียว

Big waterfall และสายน้ำตกเมื่อมองมาจากด้านบน

มุมมหาชน อยู่ไม่ไกลจากทางเข้า 1

สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานจะอยู่ที่ 55-150 Kuna แล้วแต่เดือน  ซึ่งสามารถดูข้อมูลได้ที่นี่ https://np-plitvicka-jezera.hr/en/plan-your-visit/price-list/

เส้นทางและรถที่บริการในอุทยาน

Trogir

เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่บนเกาะที่ห่างจากแผนดินใหญ่ไม่กี่เมตร สะพานข้ามไปยังเกาะเลยดูเหมือนสะพานข้ามคลองซะงั้น  Trogir เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่นัก เดินไม่นานก็เก็บจุดสำคัญต่างๆ ได้ครบแล้ว … อันที่จริงผมชอบบรรยากาศตรงท่าน้ำริมทะเลของเมืองนี้นะครับ  มองไปเห็นเมืองที่เกาะซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งได้บรรยากาศดี

วิวของเมือง Trogir จากถนนด้านบนที่ตัดจากทางด่วนลงสู่ Trogir

บรรยากาศในเมือง

Split

เมืองริมทะเลซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศโครเอเชีย  ผมเลือกค้างที่นี่คืนนึงโดยพักที่อพาร์ทเม้นต์ห่างจากตัวเมืองไปหน่อย  เย็นวันที่เดินทางไปถึงก็เดินเข้ามาชมบรรยากาศยามค่ำในเมือง ซึ่งเค้าจัดงานเนื่องในวัน May day บรรยากาศก็เลยครึกครื้นไปด้วยร้านค้า แถมมีเวทีการแสดงดนตรีสดด้วยด้วย  งานนี้เลยได้ช้อปปิ้งกันเล็กๆ น้อยๆ แล้วมานั่งฟังเพลงเพลินๆ ริมทะเลท่ามกลางอากาศเย็นสบาย เป็นอะไรที่ฟินมาก … พอเริ่มซื้อของกันจึงได้ข้อสังเกตว่าราคาสินค้าของโครเอเชียนั้นไม่แพงมากเหมือนกับประเทศในยุโรปตะวันตกหรือแถบแสกนฯ  ผมเองยังซื้อโลชั่นแบบ otop ของเค้ามาเลย เนื้อครีมซึมเร็วและหอมดีแถมราคาไม่แพง

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้าเราไปย่านเมืองเก่าอีกครั้ง  คราวนี้เดินเข้าไปเที่ยวด้านในเมือง  ซึ่งก็สวยดีนะครับ โทนของอาคารกับผนังจะสีอ่อนๆ หน่อยไม่เหมือนกับหลายๆ ประเทศของยุโรปที่ออกแนวเคร่งขรึม … นักท่องเที่ยววันนี้ถือว่าเยอะเลยล่ะ เจอคนไทยด้วยหลายกรุ๊ปเหมือนกัน … อันที่จริง Split นั้นมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจทีเดียว แต่ขอไม่เล่าตรงนี้นะ ถ้าสนใจก็ลองหาจาก google ดู

Omis

เมืองริมทะเลเล็กๆ ที่ห่างออกจาก Split ไปไม่ไกลและเป็นทางผ่านไปยัง Dubrovnik  นักท่องเที่ยวไม่ค่อยพูดถึงเมืองนี้มากนัก คงเป็นเพราะเมืองเก่าของเค้าเล็กมากเมื่อเทียบกับอีกหลายเมืองของโครเอเชีย  แต่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องแวะเมืองนี้ก็คือวิวจากจุดชมวิวบนป้อมปราการของเมืองซึ่งผมเห็นใน internet แล้วรู้สึกว่าลงตัวดี  และก็ไม่ผิดหวังครับวิวของเมืองเก่าที่อยู่ริมทะเล ถูกล้อมด้วยภูเขาหินโดยมีแม่น้ำผ่านกลางเมืองเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ  … ที่สำคัญจุดชมวิวนี้หาไม่ยากและเดินขึ้นไปไม่สูงนัก  เสียค่าเข้าชม 20 ​Kuna ต่อคนครับ

มาเมืองนี้แล้วแนะนำให้ทานอาหาร seafood ที่ร้าน  Milo ในเมืองด้วย เราเลือกร้านนี้เพราะดูสวยดี มีเมนู seafood ที่กำลังอยากทานพอดี … ด้วยความหิวเลยสั่งกันสนุกสนาน Seafood platter จานหลักในเมนูเขียนไว้ว่าสำหรับทาน 2 คนราคา 300 Kuna (ประมาณ 1500 กว่าบาท) … พวกเราก็ทำใจไว้แล้วล่ะว่าค่าอาหารคงจะแพงหน่อย เพราะร้านดูดีทีเดียว เนื่องจากเราไปกัน 6 คนเลยสั่งจานหลักที่ว่ามา 2 ชุดเป็น seafood ทั้งคู่แต่คนละแบบ แล้วก็สั่ง pasta มาอีก 2 จานและสลัดอีก 1 จาน … พอพนักงานมาเสิร์ฟพวกเราถึงกับอึ้ง เฮ้ย จานขนาดนี้พวกเอ็งทานกันสองคนเหรอ บ้านไอกินกันได้ทั้งครอบครัวเลย แต่เพื่อรักษาฟอร์มก็ได้แต่อึ้งแบบเบาๆ ไป 3 วิแล้วรับอาหารมาแต่โดยดี

ปัญหาตอนนี้มีสองอย่าง หนึ่ง-คือทานไม่หมดแน่ๆ แต่ที่น่ากลัวกว่าคือไอ้ราคา 300 Kuna นี่มันต่อจานหรือต่อคนหว่า (เคยเจอประสบการณ์คิดราคาแบบนี้ที่สวิส ยังหลอนอยู่) แล้วเรามากัน 6 คน มันจะเอา 300X6 2 ชุดหรือเปล่า … จะวิ่งหนีก็ไม่ได้แล้ว พนักงานในร้านหลายคนเหลือเกิน คงโดนรุมกระทืบแน่ … กินไปก็ทำใจไป สุดท้ายทานกันไม่หมดจริงๆ แม้ว่าอาหารจะอร่อยมากก็เถอะ

ถึงเวลาลุ้นว่าบิลจะออกมาเท่าไหร่ … เลขที่ออก 780 Kuna เฮ้ย! นี่มันจานละ 300 Kuna 2 ชุดก็ 600 ที่เหลือเป็นจานอื่นๆ และเครื่องดื่ม … บอกตรงๆ ว่าตกใจมาก เพราะภูเก็ตบ้านผมจานขนาดนี้คงปาเค้าไป 2-3 พันบาทเพราะมีปลาจานละ 2 ตัว ยังไม่รวมกุ้ง หอย ปลาหมึกอีกนะ … ดังนั้นถ้าใครแวะมาเที่ยว Omis อย่าลืมแวะทานร้านนะ

Dubrovnik

นี่คืออีกหนึ่งเมือง Hi-light ของทริป  และดูเหมือนความดังของเมืองนี้จะแซงหน้า Plitvice ไปแล้วหลังจากถูกเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีย์ดัง Game of thrones ทำให้ใครๆ ก็อยากจะมาสัมผัสสถานที่จริงสักครั้งในชีวิต … ส่วนผมไม่ได้ดูภาพยนตร์ก็เลยอาจไม่ได้อินนัก  แต่ก็ชอบเมืองนี้นะเพราะมันเหมือนเดินเข้ามาอยู่ในฉากของหนังสงครามสมัยโบราณจริงๆ  (หนังประเภทที่มีมังกรหรืออสูรกายนี่ใช่เลย)

เมือง Dubrovnik ตั้งอยู่ตอนล่างของประเทศโครเอเชีย โดยมีบอสเนียฯ คั่นอยู่ด้วย  เวลาเดินทางมาเที่ยว Dubrovnik ทางรถยนต์จึงต้องขับผ่านประเทศบอสเนียฯ หน่อยนึง  ซึ่งอาจจะเสียเวลาตรงด่านพอสมควรในช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะ

แวะทานน้ำส้มสดๆ จากส่วนริมทางก่อนถึง Dubrovnik

ที่ Dubrovnik ผมพัก 2 คืนในอพาร์ทเม้นต์ที่อยู่ห่างจากเมืองเก่าไปเล็กน้อย และมีระเบียงชมวิวสามารถมองเห็นเมืองเก่าริมทะเลได้อย่างเต็มตา .. วันแรกเราไปถึงกันค่ำแล้วก็เลยยังไม่ได้เที่ยวในเมือง แค่ชมวิวสวยๆ จากระเบียงห้องพัก  วันถัดมาเราจึงเข้าไปเที่ยวเมืองเก่าโดยจอดรถไว้ที่อพาร์ทเม้นต์ (ค่าที่จอดรถบริเวณย่านเมืองเก่าราวชั่วโมงละ 200 กว่าบาท  แพงที่สุดเท่าที่เคยเที่ยวมาเลย)

บรรยากาศยามเย็นที่ Dubrovnik และวิวจากระเบียงห้องพัก

ใครมา Dubrovnik สิ่งที่พลาดไม่ได้คือการซื้อตั๋วขึ้นชมวิวจากกำแพงเมืองครับ  ค่าตั๋ว 150 Kuna สามารถเดินชมได้โดยรอบ

อากาศวันนี้ไม่ดีนัก ภาพของน้ำทะเลเอเดรียติกสีฟ้าตัดกับหลังคาสีส้มที่ฝันไว้ไม่ค่อยได้อย่างที่หวัง แต่วิวบนกำแพงเมืองก็สวยคุ้มค่าที่จะขึ้นไปชมอยู่ดี  โดยเฉพาะฝั่งติดกับถนนที่มองเห็นทั้งเมืองโดยมีทะเลเป็น background … อีกมุมนึงที่ผมชอบก็คือกำแพงเมืองฝั่งติดทะเลที่มองเห็นป้อมปราการ  ซึ่งจุดนี้จะเห็นหาดเล็กๆ ที่คั่นป้อมกับตัวเมืองด้วย

เราลงจากกำแพงเมืองมาทานอาหารเที่ยงกันด้านล่างในเมืองเก่า  ราคาอาหารแพงกว่าที่อื่นๆ ในโครเอเชียอย่างเห็นได้ชัด  ดังนั้นถ้าเลือกได้ ทานที่ร้านด้านนอกห่างออกไปหน่อยน่าจะประหยัดได้มากกว่าครับ

สำหรับตัวเมืองเก่าในอ้อมกอดของกำแพงนั้นยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว แต่ร้านค้ากับนักท่องเที่ยวก็เดินกันขวักไขว่เช่นกัน  หากจะถ่ายภาพแบบไม่ติดคนคงต้องมาแต่เช้ากันเลย …

อ้อ เมืองนี้มีแมวเยอะเลยนะครับ  เดินในเมืองก็จะเจอแมวเจ้าถิ่นเป็นระยะโดยเฉพาะโซนที่ลับตาคนหน่อย  แต่มันไม่ดุนะอยู่แบบเงียบๆ คนที่กลัวแมวก็ไม่ต้องกังวลครับ

อีกจุดของ Dubrovnik ที่ไม่ควรพลาดคือตรงป้อมปราการซึ่งสามารถใช้ตั๋วที่ซื้อไว้แล้วขึ้นไปชมได้  ผมว่าวิวจากระเบียงของป้อมที่เห็นเมืองเก่าทั้งหมดกับหาดเล็กๆ สวยดีทีเดียว

วันนั้นนอกจากอากาศไม่ดีฟ้าปิดและฝนตกแล้ว ลมยังแรงด้วย  กระเช้าขึ้นไปจุดชมวิวก็เลยปิดทำการ  ผมจึงไม่ต้องหนักใจเพราะทีแรกยังลังเลว่าจะขึ้นไปดูวิวด้านบนดีไหม เพราะหลายคนบอกตรงกันว่าจุดชมวิวตรงนั้นค่อนข้างสูงทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยสวยนัก จุดที่สวยจริงๆ จะต้องเดินลงมาถ่ายระหว่างทางซึ่งทางเดินค่อนข้างลำลากพอสมควร พอกระเช้าปิดทำการก็เลยต้องพับแผนขึ้นไปถ่ายภาพด้านบนโดยปริยาย

Zadar

หลังจากเที่ยว ​Dubrovnik แล้วผมขับรถต่อข้ามไปเที่ยวและพักในประเทศมอนเตเนโกร ต่อด้วยบอสเนียฯ อย่างละ 1 คืนก่อนที่จะขับรถกลับเข้ามาในโครเอเชียอีกครั้ง  โดยเมืองถัดมาของโครเอเชียที่เข้าไปเที่ยวคือ Zadar

หลังจากสัมผัสหลายเมืองริมทะเลที่บรรยากาศใกล้เคียงกันแล้ว  ความตื่นเต้นกับส่วนเมืองเก่าของ Zadar เลยไม่ค่อยมี  แต่เราก็ใช้เวลาชมพระอาทิตย์ตกกันริมท่า  ซึ่ง Zadar เค้ามีจุดขายเป็น Sea organ และลานกิจกรรมที่มีคนมาปล่อยของเรียกเสียงเฮจากนักท่องเที่ยวได้เป็นระยะ

Pag

เมืองที่งอกจากแผนการเดินทางเพราะมีแฟนเพจส่งข้อมูลมาให้ เห็นภาพปุ๊บนึกถึงดวงจันทร์เลย … วันที่ต้องเดินทางออกจาก Zadar ไป Zagreb ก็เลยถือโอกาสแวะเข้าไปเมืองนี้เพราะอยู่ห่างจาก Zadar ไปไม่ไกลนัก … วันนั้นอากาศดีมาก ฟ้าแจ่มน้ำสีสวยสุดๆ ผมหยุดถ่ายภาพตรงสะพานอยู่พักใหญ่เพราะมันเหมือนเส้นทางข้ามไปดวงจันทร์เลย … ขับเลยสะพานไปอีกหน่อยจะมีบ้านเรือนหลังคาสีส้มตั้งอยู่ริมฝั่ง ผมว่าจุดนี้เป็นอีกจุดที่ควรแวะถ่ายภาพเพราะสีสันมันตัดกันดีเหลือเกิน เสียดายที่ผมไม่ได้แวะ แค่ถ่ายจากหน้าต่างรถ … ขับไปถึงเมือง Pag ก็เดินชมเมืองเค้าอยู่พักนึง อาจไม่ได้ตื่นตามากเพราะเจอเมืองสวยๆ มาตลอดหลายวัน แต่มาฟินตรงได้กิน ​Gelato ในเมือง

Zagreb

เมืองหลวงของโครเอเชียที่เรามีเวลาเดินเที่ยวไม่กี่ชั่วโมง  แต่ผมก็ว่าเพียงพอที่จะเก็บบรรยากาศแบบรวมๆ ได้นะ  ส่วนใครจะเที่ยวแบบเจาะลึกหรือชมพิพิธภัณฑ์แน่นอนว่าเวลาแค่นี้ไม่พอ … จะว่าไปบรรยากาศของ Zagreb นั้นคึกคักกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ แถมเมืองก็ใหญ่พอสมควร  ยังดีที่จุดท่องเที่ยวเด่นๆ จะอยู่ไม่ไกลทำให้เดินเที่ยวได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก

 

โดยสรุปต้องบอกว่าโครเอเชียเป็นประเทศที่มีทิวทัศน์สองแบบหลักๆ คือน้ำตกที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ถ้าใครเคยไปเที่ยวจิ่วจ้ายโกวที่จีนคงพอนึกภาพออก  ที่นี่ก็อลังการไม่แพ้กัน  ตัวน้ำตกที่ Plitvice ใหญ่กว่าด้วยซ้ำ  (แต่ส่วนตัวแล้วผมยังชอบจิ่วจ้ายโกวมากกว่าเพราะสีน้ำมีทั้งฟ้าและเขียว ไม่เหมือน Plitvice ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเขียว) .. อีกวิวที่โดดเด่นคือเมืองเก่าริมทะเล อาคารสีอ่อนหลังคาส้มกับสีน้ำทะเลเอเดรียติกเป็นอะไรที่ลงตัว … ที่สำคัญค่าครองชีพประเทศนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่แพงเกินไป (ยกเว้นที่ Dubrovnik) ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็ควรหาโอกาสไปเที่ยวก่อนที่จะพลุกพล่านและแพงกว่านี้  สำหรับใครที่สนใจและอยากทราบรายละเอียดการเตรียมตัวและแผนการเดินทาง ดูได้จากรีวิวแรกเลยครับ

 

รีวิวทั้งหมดของทริปนี้

ขับรถเที่ยวโครเอเชีย, สโลวีเนีย, บอสเนียฯ, มอนเตเนโกร ฉบับโหมโรง … ที่มาที่ไป, การเตรียมตัว, แผนการเดินทางและงบประมาณ

ทริปขับรถเที่ยวโครเอเชีย, สโลวีเนีย, บอสเนียฯ, มอนเตเนโกร – ตอนที่ 1 I FEEL SloveNIA

ทริปขับรถเที่ยวโครเอเชีย, สโลวีเนีย, บอสเนียฯ, มอนเตเนโกร – ตอนที่ 3 บอสเนียฯ-มอนเตเนโกร ประเทศนอกสายตา