Select Page

Japan No-plan

ปกติแล้วการเที่ยวต่างประเทศในแทบทุกทริปของผมจะมีการวางแผนค่อนข้างละเอียด แต่สำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่นรอบล่าสุดนั้นเป็นครั้งแรกที่แทบจะไม่ได้กำหนดโปรแกรมในแต่ละวันไว้ตายตัวเลย แค่หาข้อมูลเป็น list คร่าวๆ แล้วปรับการเที่ยวตามสถานการณ์และสภาพอากาศในแต่ละวัน … แน่นอนว่าการเที่ยวแบบนี้แผนต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอด จึงต้องเลือกวิธีการเดินทางที่มีความยืดหยุ่น ซึ่ง JR Pass แบบ 7 วันสำหรับทุกภูมิภาคตอบโจทย์ที่สุดแล้ว เพราะครอบคลุมการเดินทางตั้งแต่สนามบิน การใช้รถไฟ,บัสและ Shinkansen รวมถึงเส้นทางรถไฟสาย Yamanote line ในโตเกียวด้วย … ส่วนที่พักหลักของทริปนี้อยู่ใกล้ Komagome station สาย Yamanote line จึงนับว่าสะดวกเพราะไม่ต้องไปเสียเงินต่อรถไฟใต้ดินซึ่ง JR pass ไม่ครอบคลุม มีเพียงคืนเดียวที่ผมเดินทางไปไกลถึง Nagano เพราะอยากได้บรรยากาศหนาวๆ และอยากเห็นบรรยากาศหิมะบนยอดเขา จึงเลือกพักที่ Hakuba ซึ่งเป็นหุบเขาชื่อดังด้านสกีในจังหวัด Nagano แถมยังสามารถใช้ JR pass เดินทางได้ฟรีทั้งไปและกลับด้วย

แม้จะเป็นการเที่ยวแบบ No plan แต่บอกเลยว่าเป็นทริปที่สนุกมากแถมได้ภาพสวยๆ เยอะด้วย แต่เน้นไปที่ portrait กับบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี มาดูกันเลยว่าไปไหนมาบ้าง (ป.ล. บางวันอากาศไม่ดี ผมถือโอกาสเดิน shopping ในโตเกียว ไม่ได้เอาข้อมูลมาลงไว้ในรีวิวนะ)

Showa Kinen Park

เป็นสวนขนาดใหญ่ชานเมืองโตเกียวที่ผมชอบมาก ครั้งก่อนไปช่วงซากุระบาน รอบนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปชมใบไม้เปลี่ยนสี … highlight ของสวนแห่งนี้คืออุโมงค์ Ginkgo ที่นอกจากใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเต็มต้นแล้ว บนพื้นยังเต็มไปด้วยไใบที่ร่วงเหมือนพรมสีเหลืองทองขนาดใหญ่สวยงามสุดๆ … นอกจาก Ginkgo แล้วสวนแห่งนี้ยังมีเมเปิ้ลอีกหลายสายพันธุ์ซึ่งจะทยอยเปลี่ยนสีไม่พร้อมกันซะทีเดียว โดยจุดที่สวยที่สุดคือบริเวณ Japanese Garden ที่อยู่ด้านในสวน มีต้นเมเปิ้ลค่อนข้างแน่น แถมด้วยศาลาชมวิว บึงเล็กๆ และสะพานตามแบบฉบับของการจัดสวนญี่ปุ่น ซึ่งช่วงกลางคืนจะมีการจัด Light up ด้วย (พอ 16:30 น. สวนจะปิด ต้องออกไปแล้วเสียเงินเข้ามาใหม่เพื่อชม light up)

เนื่องจากสวน Showa Kinen มีพื้นที่ใหญ่มาก แนะนำว่าควรมาแต่เช้าเพราะการเดินให้ทั่วต้องใช้เวลาพอสมควร และในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเดือนพฤศจิกายน พระอาทิตย์จะตกเร็ว ราวบ่าย 4 โมงครึ่งก็มืดแล้ว

วิธีเดินทาง : ใช้ JR pass เดินทางด้วยสาย Yamanote line ไปลงสถานี Shinjuku แล้วต่อ JR Chuo line ลงสถานี Tachikawa จากสถานีออกทางประตู North gate แล้วเดินอีกราว 600 เมตรก็จะถึงประตูเข้าสวน

ค่าเข้าชม : 450 Yen

Yoyogi park

เป็นสวนกลางใจเมืองโตเกียวย่าน Harajuku ที่สามารถเข้าชมได้ฟรี แม้ภาพรวมจะไม่ได้มีใบไม้เปลี่ยนสีเต็มพื้นที่สวน แต่ต้น Gฝingko ขนาดใหญ่ กับกลุ่มต้นเมเปิ้ลก็เพียงพอที่จะได้ภาพสวยๆ ไปเป็นภพ profile ได้แล้ว

วิธีเดินทาง : ใช้ JR pass เดินทางด้วยรถไฟสาย Yamanote line ลงสถานี Harajuku (สถานีเดียวกับศาลเจ้าเมจิ) เดินอีกราว 100 เมตรก็จะถึงประตูทางเข้าสวน

ค่าเข้าชม : ฟรี

Tokyo Station

ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีด้านหน้าสถานีโตเกียวมาก รู้สึกว่ามันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของธรรมชาติกับความเป็นเมืองใหญ่ ต้น Ginkgo ถูกปลูกเป็นแถวยาวขนานกันนำสายตาไปสู่ Tokyo station …. ผมไปที่นี่ช่วงค่ำ ได้บรรยากาศแสงไฟในเมืองกับสีเหลืองของต้น Ginkgo สวยไปอีกแบบ

วิธีเดินทาง : ใช้ JR pass เดินทางด้วยรถไฟสาย Yamanote line ลงที่สถานี Tokyo ใช้ทางออก Central Exit ก็จะเจอกับแนวต้น Ginkgo เรียงรายอยู่ด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกล

ค่าเข้าชม : ไม่มี

Rikugien Gardens

เป็นสวนญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโตเกียว อันที่จริงก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าช่วงที่ไปใบไม้เปลี่ยนสีในสวนยังไม่พีค เพราะปีนี้อากาศเขตโตเกียวหนาวช้ากว่าค่าเฉลี่ยมาก … แต่เนื่องจากสวนอยู่ใกล้ที่พักเลยถึอโอกาสแวะเข้าไปชม light up ช่วงค่ำซะหน่อย … แม้จะค่อนข้างมืดแต่ก็ได้เห็นความสวยงามของการจัดวาง landscape ตามสไตล์ญี่ปุ่น ต้นสนหลายต้นถูกดัดและตัดแต่งสวยงามมากคุ้มกับค่าเข้าชม 300 yen นี่ถ้าใบไม้แดงพีคเต็มที่คงสวยกว่านี้เยอะเลยทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน

วิธีเดินทาง : ใช้ JR pass เดินทางด้วยรถไฟสาย Yamanote line ลงสถานี Komagome Station จากนั้นเดินอีก 200 เมตรก็จะถึงทางเข้าสวน

ค่าเข้าชม : Light up 300 Yen

Mt. Takao

เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นภูเขาซึ่งอยู่ใกล้โตเกียวที่สุด ใช้เวลาเดินทางจาก Shinjuku ราว 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ที่นี่มีเส้นทางเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบผจญภัย แต่ใครเดินไม่ไหวก็สามารถเลือกนั่ง ropeway หรือ chair lift ขึ้นไปก็ได้ จากสถานีด้านบนยังต้องเดินอีกพอสมควรจึงจะถึงยอด Mt. Takao โดยภูเขาแห่งนี้มีสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ หลายจุดเริ่มตั้งแต่บริเวณสถานี Rope way ด้านล่าง, จุดที่เป็นศาลเจ้าระหว่างทางเดินด้านบน นอกจากนี้ตลอดเส้นทางยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ คุ้มค่าต่อการมาเยือนมากๆ

วิธีเดินทาง :ใช้ JR pass เดินทางด้วยรถไฟสาย Chuo line จากสถานี Shinjuku ไปลงสถานี Takao จากนั้นต่อรถไฟท้องถิ่นสาย Keio line อีกหนึ่งป้ายลงที่สถานี Takaosanguchi เพิ่มเงิน 130 Yen … จากด้านล่างขึ้นสู่บนเขาด้วย Rope way หรือ Chair lift ไปกลับคนละ 950

Hakuba

Hakuba เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านสกีชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัด Nagano … การเดินทางไม่ง่ายนัก แต่โชคดีที่ JR pass สามารถใช้ได้ตลอดเส้นทางไปจนถึงหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาแห่งนี้ … เดิมทีคาดหวังว่าจะได้มีโอกาสไปสัมผัสหิมะที่นี่ แต่เนื่องจากสภาพอากาศปีนี้หนาวช้าเลยกลายเป็นว่าได้เห็นเพียงแต่หิมะที่ปกคลุมบนยอดเขาแทน … อย่างไรก็ตามการมาที่นี่ทำให้ได้สัมผัสอากาศหนาวสมใจ (ต่ำสุด 3 องศา) ที่สำคัญได้เปลี่ยนบรรยากาศจากห้องพักแคบๆ ที่โรงแรมในโตเกียวมาเป็น Chalet หรูดีไซน์ทันสมัยชื่อ Mizuho chalet มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และครัวสะดวกสบายมาก แถมรายล้อมด้วยภูเขาและบรรยากาศแบบชานเมืองที่ไม่วุ่นวาย ไปรอบนี้เลยได้ภาพสวยรอบที่พักมาเยอะเลย

วิธีเดินทาง : เดินทางด้วย Shinkansen จาก Tokyo ด้วย Hokuriku-Shinkansen ลงสถานี Itoigawa จากนั้นต่อ JR bus ด้านหน้าสถานีรถไฟไปลงสถานี Hakuba

การเดินทาง

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าทริปนี้ตัดสินใจซื้อ JR pass แบบทุกภูมิภาค 7 วันเพราะยังไม่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปไหนบ้าง แอบเล็ง Kyoto ไว้เหมือนกันเพราะช่วงนั้นใบไม้เปลี่ยนสีกำลังสวยเลย แต่สุดท้ายไม่อยากเจอคลื่นมหาชนเลยตัดสินใจไป Nagano แทน ซึ่งถือว่าใช้ JR pass คุ้มมากทั้ง NEX ไป-กลับสนามบิน, Yamanote line ไปจุดสำคัญต่างๆ ในโตเกียว, Shinkansen+Bus ไป Hakuba และรถไฟสาย Chuo line ไป Mt. Takao กับสวน Showa Kinen ซึ่งทั้งทริป 8 วันจ่ายค่าเดินทางเพิ่มไปแค่ 130 Yenเท่านั้น

สำหรับ JR pass แนะนำให้สั่งซื้อแบบ online ได้จาก Klook เลยครับ เมื่อซื้อแล้ว voucher สำหรับแลก JR pass จะถูกส่งมาทางไปรษณีย์ … ราคา JR pass ใน Klook ดีมากและมีโปรโมชั่นอยู่เรื่อยๆ ยังไงก็ติดตามกันให้ดีๆ … สำหรับ JR pass แบบทุกภูมิภาคสามารถดูราคาได้จากลิ้งค์นี้ครับ http://bit.ly/2M7sfMa

อ้อ นอกจาก JR pass แล้วใน Klook ยังมีตั๋วเดินทาง, ตั๋วเข้าชมสถานที่และพวก day tour ต่างๆ และ voucher ร้านอาหารด้วยนะ ใครอยากเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัดไปช้อปกันได้ในเวป https://www.klook.com/th/

ที่พัก

ทริปนี้ผมพัก 3 แห่ง คืนแรกไฟลท์มาถึงค่ำเลยนอนใกล้สนามบินจะได้ไม่ต้องเปิด JR pass ให้เสียสิทธิ์ไป 1 วัน ที่เหลือพักในโตเกียวโดยมี 1 คืนที่เบรกออกไปเก็บบรรยากาศที่ Hakuba ครับ

ที่พักใกล้สนามบิน Narita : Hotel Nikko Narita
เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ห่างจากสนามบินไม่ถึง 10 นาที มีรถ Shuttle บริการรับส่งสนามบินฟรี สะดวกมาก … ห้องพักค่อนข้างกว้าง สะดวกสบายดีแนะนำเลยครับ

จองโรงแรมนี้ https://www.booking.com/hotel/jp/nikko-narita.en-gb.html?aid=922261

ที่พักในโตเกียว : APA Hotel Komagome Ekimae
เป็นโรงแรมราคาประหยัด ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Komagome สะดวกกับการเดินทางมากๆ ห้องพักใหม่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นค่อนข้างครบ ระบบต่างๆ ในโรงแรมทันสมัยตั้งแต่การเช็คอิน, สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก รวมถึงการเช็คเอาต์ที่เรียบง่าย ข้อเสียคงมีเพียงเรื่องขนาดห้องพักที่คับแคบตามสไตล์ญี่ปุ่นครับ

ป.ล. สามารถซื้ออาหารเช้าเพิ่มได้มีเมนูให้เลือกสองแบบคือ Western กับ Japanese รสชาติ ok แต่ถ้าอยู่เกิน 2 วันเบื่อแน่ ทานข้างนอกดีกว่า

จองโรงแรมนี้ https://www.booking.com/hotel/jp/apahoteru-ju-ip-yi-qian.en-gb.html?aid=922261

ที่พักเมือง Hakuba จังหวัด Nagano : Mizuho chalet

เป็นที่พักสไตล์ Chalet แบบ 3 ห้องนอน มีสองชั้น โดยชั้นล่างเป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัวหนึ่งห้อง อีกสองห้องสามารถขึ้นไปใช้บนชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของ living room ขนาดใหญ่และครัวที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน เหมาะกับการมาเที่ยวเป็นกลุ่มขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว โดยเฉพาะช่วงเล่นสกีจะมีที่วางสกีให้หน้าบ้านเลย
ที่ชอบมากนอกจากความสะดวกสบายหรูหราแล้ว ระบบทำความร้อนของที่พัก work มาก เป็นแบบสมัยใหม่ที่อยู่ใต้พื้นทำให้การเดินในบ้านรู้สึกอุ่นตลอดแม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวมากก็ตาม

สำหรับ Mizuho Chalet จะมีด้วยกันหลายหลังนะครับ รองรับตั้งแต่กลุ่มเล็กๆ ไปจนถึงกลุ่มใหญ่เป็น 10 คนเลย ตอนนี้บางหลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างแต่ใกล้เสร็จมากๆ แล้วครับ คิดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ทั้งหมดก่อนสิ้นปี 62 ถ้าสนใจก็ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ

บรรยากาศที่พัก Mizuho Chalet

รอบๆ ที่พักในรัศมี 200 เมตร

จองโรงแรมนี้ https://www.hakuba.com/accommodation/mizuho-chalet/
Facebook : @hakuba
Instagram : @hakuba

ตั๋วเครื่องบิน

อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือตั๋วเครื่องบินที่ทุกวันนี้มีสายการบินให้เลือกบินไปยังหลายเมืองในญี่ปุ่น แต่บางทีก็เยอะจนเรางงเปรียบเทียบราคาลำบาก ใครต้องการหาตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ แถมมีเปรียบเทียบราคาของแต่ละสายการบินให้ด้วยแนะนำใช้ app ของ Traveloka เป็นตัวช่วยเลยครับ หรือสำหรับญี่ปุ่นลองเช็คราคาได้ที่ https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-japan

ประกันการเดินทาง

ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการักษาพยาบาลสูงมาก ดังนั้นควรทำประกันเดินทางเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในกรณีที่เกิดเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุโดยไม่คาดฝัน … ทั้งนี้เนื่องจากผมเองเดินทางไปต่างประเทศบ่อยจึงเลือกทำประกันเดินทางแบบรายปีกับ MSIG ซึ่งราคาเริ่มต้นเพียง 3 พันกว่าบาทเท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่เดินทางแค่ปีละไม่กี่ครั้งจะเลือกทำเป็นครั้งๆ ไปก็ได้ในราคาหลักร้อย นับว่าคุ้มแสนคุ้มกับความคุ้มครองที่ได้มา

สำหรับประกันเดินทางของ MSIG นั้นสามารถซื้อได้ง่ายๆ ผ่านระบบออนไลน์ที่ https://www.msig-thai.com/ecommerce/travel.php (ช่วงนี้มีโปรโมชั่นแถม Starbucks e-card ด้วยนะ)

ที่สำคัญควรอ่านเงื่อนไขและทำความเข้าใจกรมธรรม์ให้ดี จะได้เข้าใจว่ากรณีไหนบ้างที่เป็นข้อยกเว้น จะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง  แต่บอกได้เลยว่าเท่าที่ติดตามและศึกษามา MSIG เป็นหนึ่งในบริษัทประกันที่มีประวัติดีมากในแง่ของการบริการ