ถ้าพูดถึง “จิ่วจ้ายโกว” เชื่อว่าหลายๆ คนรู้จักกันดี และชื่อนี้ก็อยู่ใน wish list อันดับต้น ๆ ที่ผมอยากไปมานานแล้ว พยายามหาข้อมูล ซื้อหนังสือมาอ่าน รวมถึงศึกษาจากทาง Internet เพื่อวางแผนเดินทางไปยังดินแดนที่หลายคนเรียกว่าอุทยานสวรรค์แห่งนี้ให้ได้สักครั้ง … เดิมทีผมอยากจะเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากภาระงานประจำเยอะจนไม่มีเวลาเตรียมมากนัก และเมื่อศึกษาแล้วหากมีเวลาจำกัดและพูดภาษาจีนไม่ได้จะควบคุมเรื่องเวลาการท่องเที่ยวยากมาก จึงตัดสินใจซื้อทัวร์เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผ่านมาจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองมาตลอด งานนี้จึงไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องการกำหนดแผนการเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมและอื่น ๆ อีกมากมายเหมือนเคย แต่โยนภาระนี้ไปให้บริษัททัวร์ อิอิ … ดังนั้นรีวิวรอบนี้จึงแปลกหน่อยตรงที่จะไม่ลงรายละเอียดเรื่องราวการเตรียมตัวการเดินทาง,อาหารและที่พักมากนักเพราะไม่ได้เลือกเอง แต่ถูกบังคับเอ้ย ถูกคัดสรรค์แล้วจากบริษัท ฯ ทัวร์ (ซึ่งส่วนใหญ่โปรแกรมก็คล้าย ๆ กับทัวร์จีนทั่วไป) ก็แน่นอนว่ามีทั้งถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ทั้งนี้ผมจะรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับทัวร์ เพื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อน ๆ ไว้ตอนหลังสุดก็แล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าเนื้อหลักว่าด้วยเรื่องแหล่งท่องเที่ยวล้วน ๆ
หวงหลง
หวงหลงเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจาก “จิ่วจ้ายโกว” ที่ว่าไม่ไกลก็เพราะเทียบกับระยะทางทั้งหมดจากเมืองเฉินตูซึ่งเป็นจุดที่เรานั่งเครื่องมาลงนั่นเอง แต่ถ้านับระยะทางก็เป็นร้อยกิโลเหมือนกัน
เรามาถึง “หวงหลง” ในช่วงเวลาที่แดดกำลังดีมาก ๆ ฟ้าก็ใส ผมไม่รอช้าค่อย ๆ เดินผ่านสะพานไม้ที่ทางอุทยานทำเป็นเส้นทางเดินไว้ให้ ซึ่งค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยมีศาลาแวะพักและห้องน้ำเป็นระยะ ๆ
ความสวยงามของหวงหลงนั้นเกิดจากแอ่งน้ำหินปูนสีสะอาดตา วางเรียงลดหลั่นลงมาตามไหลเขา ในแอ่งจะมีน้ำใสทั้งสีฟ้า สีเขียว สวยงามมาก ยิ่งประกอบกับต้นไม้รายรอบที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นเหลืองและส้มแล้ว ยิ่งทำให้ “หวงหลง” สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก
เสียดายที่คณะของเรามาถึงหวงหลงช่วงเที่ยงแล้ว ทำให้ไม่สามารถขึ้นไปเก็บภาพ ณ จุดสูงสุดซึ่งเป็น highlight ได้ทัน แต่ก็เพียงพอสำหรับเก็บภาพสวย ๆ มากมายจากอุทยานแห่งนี้
จิ่วจ้ายโกว
คณะของเรามาถึงทางเข้าอุทยาน จิ่วจ้ายโกวตั้งแต่เช้า และจอดรถไว้บริเวณลานจอดรถที่ทางอุทยานจัดเตรียมไว้ให้ อากาศช่วงเช้ายังมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่พอควร คงเป็นเพราะที่นี่อยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงที่ชุ่มชื้นนั่นเอง จากที่นี่จะต้องเดินผ่านเส้นทางที่ขนาบไปด้วยร้านขายของที่ระลึกสักประมาณ 100 เมตร จากนั้นเดินเรียบลำธารอีกเล็กน้อยก็ถึงปากทางเข้าซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นคนจีนและชาวเอเชีย พบฝรั่งน้อยมาก คงเป็นเพราะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักหรือไม่ก็สู้กลิ่นห้องน้ำจีนไม่ไหว หุหุ
หลังจากซื้อบัตรเข้าชมอุทยานแล้วก็ต้องต่อคิวเล็กน้อย แต่พอเข้าไปได้นี่สิ ต้องเบียดเสียดแย่งกันขึ้นรถอุทยาน เพราะคนมากมายเหลือเกิน และระบบจัดการคิวยังไม่ดีพอ ทำให้แต่ละกรุ๊ปต่างแย่งกันขึ้นรถ โชคดีที่ของเราเป็นกรุ๊ปขนาดกลางแค่ 16 คน และวางแผนกันมาไว้ก่อนแล้วจึงสามารถขึ้นรถคันเดียวกันได้โดยไม่มีใครตกหล่น อิอิ
อันที่จริงผมได้รับคำแนะนำว่าควรเลือกที่นั่งฝั่งซ้ายเพราะจะเห็นวิวชัดในเส้นทางช่วงแรก แต่พอเจอสถานการณ์จริงแค่มีที่ให้ยืนก็ OK แว้ว หุหุ
วันนี้เป็นวันแรกจากสองวันที่เราจะเข้าชม อุทยานจิ่วจ้ายโกว ทั้งนี้เส้นทางท่องเที่ยวในอุทยานเป็นเหมือนรูปตัว Y โดยจุดเชื่อมตรงกลางของตัว Y จะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและเป็นศูนย์อาหารเพียงแห่งเดียวของอุทยานอันกว้างใหญ่ ..วันนี้หัวหน้าทัวร์วางแผนให้เราเที่ยวในเส้นทางด้านขวาของตัว Y ก่อน โดยนั่งรถไปถึงจุดท่องเที่ยวสูงสุดแล้ว ค่อย ๆ นั่งรถย้อนลงมาเรื่อย ๆ
ผมยืนชมบรรยากาศริมทางไปด้วยความตื่นเต้น เพราะรถวิ่งผ่านธารน้ำใส ที่มีใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแซมอยู่สองริมฝั่ง เป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ เสียดายที่เราไม่สามารถหยุดถ่ายภาพได้ดั่งใจเพราะเป็นการใช้รถสาธารณ และมีจุดสวยงามที่เป็น highlight อีกมากมาย ผมจึงได้แต่เพียงเก็บภาพอันงดงามเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ
รถค่อย ๆ ไต่ระดับสูงขึ้น ภูเขาในอุทยานถูกแต่งแต้มด้วยสีเหลืองปนส้มของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหลักที่ผมยอมมาจิ่วจ้ายโกวในฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวเยอะและค่าใช้จ่ายสูงแบบนี้ จะว่าไปแล้วมันคุ้มค่ามากครับ เพราะมันสวววววยมากกกกกกก
ป่าดึกดำบรรพ์ และทะเลสาบหญ้า
รถใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจึงมาถึงจุดท่องเที่ยวสูงสุดของเส้นทางท่องเที่ยวด้านขวามือ ซึ่งจุดนี้เรียกว่าป่าดึกดำบรรพ์ โดยมีเส้นทางสั้น ๆ ให้เดินชมป่าสนที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาของสูงชันของจิ่ว ฯ ในมุมมองของนักท่องเที่ยวอย่างผม ที่นี่ยังไม่น่าสนใจมากนัก หากมีเวลาน้อยสามารถตัดที่นี่ออกจาโปรแกรมได้ครับ
เราใช้เวลาที่นี่กันสั้น ๆ แล้วจึงนั่งรถต่อลงมายัง ทะเลสาบหญ้าซึ่งอยู่ห่างลงไปไม่มากนัก ผมมาถึงที่นี่ก็สาย ๆ แล้วแต่แดดก็ยังไม่สามารถส่องถึงน้ำในทะเลสาบ ทำให้ภาพไม่สดใสเท่าที่ควร แต่น้ำที่นี่ก็ใสจนเห็นพื้นทะเลสาบเบื้องล่าง ด้านทิศใต้ของทะเลสาบจะมีทุ่งหญ้าปกคลุม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบนี้นั่นเอง
ทะเลสาบแพนด้า
จุดถัดมาที่เรานั่งรถลงมาแล้วแวะคือทะเลสาบแพนด้า ทะเลสาบที่นี่เป็นฟ้าครามสวยงามมาก และช่วงที่มาถึงฟ้าเปิดเต็มที่ แดดก็กำลังได้มุมพอดี ทำให้สีสันของต้นไม้สะท้อนลงบนทะเลสาบสวยงามจับใจ … ผมเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเดินริมทะเลสาบถ่ายภาพสลับ VDO ไปเรื่อย ๆ โดยมีฉากหน้าเป็นใบไม้สีเหลืองที่กำลังเปลี่ยนสี มี background เป็นทะเลสาบและภูเขาหลากสีสลับกับยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ … สวยจบบรรยายไม่ถูกเลยครับ ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่พลาดไม่ได้ถ้าคุณมาเที่ยวจิ่วจ้ายโกว
ทะเลสาบนกยูง
หลังจากทะเลสาบแพนด้า จุดต่อไปที่เราจะแวะคือทะเลสาบนกยูง ซึ่งเดิมเราคิดกันว่าอาจจะใช้วิธีเดินเท้าลงเขาไปเรื่อย ๆ จากทะเลาสาบแพนด้า แต่เนื่องจากได้เวลาทานข้าวแล้ว กลัวคณะจะหน้ามืดตาลายไปเสียก่อน ไกด์จึงนำคณะนั่งรถบัสของอุทยานลงไปแทน ทำให้พลาดโอกาสถ่ายภาพทะเลสาบนกยูงจากมุมสูงแบบจะ ๆ ได้แต่เพียงการถ่ายภาพหน้าต่างของรถแทน
ทันทีที่มาถึงทะเลสาบนกยูงเราก็พบกับฝูงคนจำนวนมาก เพราะนี่เป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดของจิ่วจ้ายโกว แต่ด้วยวิธีการจัดการของอุทยาน ทำให้ไม่มีผู้คนเดินท่องเที่ยวออกนอกเส้นทางที่จัดไว้ ทำให้เรายังมีมุมถ่ายภาพแบบไม่ติดฝูงชนได้แบบสบาย ๆ … ทางหัวหน้าทัวร์แนะนำว่าให้พวกเราเดินไปยังลานกว้างตอนท้าย ๆ ของเส้นทางเดินชมทะเลสาบแล้วค่อย ๆ เดินย้อนกลับมาถ่ายภาพ แต่ความสวยงามของวิวเบื้องหน้าทำให้อดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์ไปตลอดทาง น้ำสีฟ้าสดใสกับภูเขาเบื้องหลังที่สลับไปด้วยสีเหลือง,ส้ม,แดง,เขียว มันสวยจนบรรยายไม่ถูกจริง ๆ ครับ
หลังจากถ่ายภาพจนจุใจที่ทะเลาสาบนกยูง คณะของเรานั่งรถกลับลงมาทานข้าวเที่ยงที่ศูนย์อาหาร ซึ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ รสชาติพอประทังชีวิตได้ หุหุ
น้ำตกธารไข่มุก
หลังจากมื้อเที่ยงที่ค่อนข้าง late แล้วเราก็นั่งรถย้อนกลับขึ้นไปยังเส้นทางท่องเที่ยวด้านขวามือของรูปตัว Y โดยแวะที่น้ำตกธารไข่มุก ซึ่งต้อนรับเราด้วยธารน้ำใสที่ไหลไต่ระดับลงตามแนวเขาหินปูนสวยงามมาก ๆ และเมื่อเดินตามเส้นทางที่จัดไว้ให้ ก็จะนำมามาพบกับหน้าผาน้ำตกที่มีขนาดใหญ่กว่าและสูงชันกว่า น้ำที่ไหลไหลผ่านโขดหินปูนความกว้างกว่า 100 เมตรดูแล้วยิ่งใหญ่มาก จนผมกดชัตเตอร์แบบไม่ยั้งเลยทีเดียว
เลยจากจุดชมผาน้ำตกแล้ว ยังคงมีทางเดินเรียบธารน้ำ และมีมุมถ่ายภาพสวย ๆ อีกมาก เพราะน้ำใสเป็นสีฟ้าสลับเขียว เมื่อกระทบโขดหินจะปรากฏฟองสีขาวประดุจไข่มุกสมชื่อจริง ๆ
ทะเลสาบกระจก
เรานั่งรถต่อจากน้ำตกธารไข่มุกมาลงที่ทะเลาสาบกระจก ซึ่งแสงแดดเริ่มจะคล้อยไปหลังเขาแล้ว ทำให้ภาพที่ได้ไม่สดใสเท่าที่ควร และเส้นทางเดินถ่ายภาพจากจุดจอดรถค่อนข้างสั้น ทำให้ผมไม่สามารถเก็บภาพเงาสะท้อนของทะลาสบกระจกได้อย่างที่ต้องการ จึงเก็บบรรยากาศสวย ๆ ของใบเมเปิ้ลที่กำลังเปลี่ยนสีและค่อย ๆ ปลิวลงสู่พื้นแทน หุหุ
น้ำตกนูรื่อหลาง
จากทะเลสาบกระจก นั่งรถไม่นานก็กลับมาถึงศูนย์บริการนั่งท่องเที่ยว (ศูนย์อาหาร) เราลงรถกันที่นี่และเดินลัดเลาะไปตามถนนเพื่อไปยังนำตกนูรื่อหลาง ที่เรามองเห็นระหว่างการเดินทางในช่วงเช้า … น้ำตกนูรื่อหลางเป็นอีกหนึ่งน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามของจิ่วจ้ายโกว เป็นน้ำตกที่เกิดจากการไหล่ลงมาจากทะเลสาบตอนบนผ่านหน้าผาหินปูนอันงดงาม เสียดายที่วันนั้นลมค่อนข้างแรงและพัดเอาละอองน้ำเข้าหน้าเลนส์ทำให้ถ่ายภาพยากมากต้องใช้ผ้าเช็ดเลนส์ตลอด แต่สวยงามขนาดนี้กล้องพังก็ยอมฟะ หุหุ (ถ้าพังจริงคงนั่งร้องไห้เป็นแน่ ) …
ทะเลสาบแรด
โปรแกรมจิ่วจ้ายโกวสำหรับวันนี้เราปิดท้ายกันที่ทะเลาสาบแรด ซึ่งสวยงามเช่นเดียวกัน เพียงแต่ช่วงที่เรามาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว แสงจึงไม่อำนวยกับการถ่ายภาพมากนักแต่ก็เรียกเสียงชัตเตอร์จากคณะของเราไม่น้อยไปกว่าทะเลสาบอื่นเช่นกัน
คืนนั้นผมหลับสบายทั้งคืนหลังจากโหลดภาพจาก memory card ลงยัง portable storage ที่เตรียมไป … เพื่อ clear memory card พร้อมรับภาพสวย ๆ ของวันรุ่งขึ้นที่กำลังจะมาถึง
วันที่สองในจิ่วจ้ายโกว
เช้าวันที่สองของจิ่วจ้ายโกวยังคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและดูเหมือนจะเยอะกว่าวันก่อนหน้าซะด้วย พวกเราต้องเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเพื่อต่อคิว (ไม่แน่ใจว่าเรียกคิวดีไหม :() ขึ้นรถอุทยาน โชคดีที่ไกด์เราพูดจีนได้จึงสามารถขอเจ้าหน้าที่ขึ้นรถคันเล็กได้เต็มคันพอดี นับว่าโชคดีโดยแท้ที่เสมือนได้เราเหมา เพราะปกติราคารถเหมาที่นี่แพงมาก ๆ
ช่วงแรกเรายังคงผ่านเส้นทางเดิม (ขาของตัว Y) แต่วิววันนี้ดูจะต่างไปจากเมื่อวานมาก เพราะวันนี้ฟ้าไม่เปิด แต่ใช่ว่าจะไม่สวย เพราะบรรยากาศแบบนี้จะมีสายหลอกสีขาวคลอเคลียไปกับภูเขา ทำให้ธารน้ำและทะเลสาบดูชุ่มชื่นไปอีกแบบ โดยเฉพาะที่ทะเลสาบแรดซึ่งเราแวะเมื่อวานตอนเย็นรวมถึงทะเลสาบเสือที่อยู่ติด ๆ กัน วันนี้น้ำดูนิ่งสนิทและเงาสะท้อนของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีน้ำสวยงามจับใจ ดังนั้นถ้าใครไปจิ่วจ้ายโกวแล้วอากาศไม่ดีก็ไม่ต้องเสียใจนะครับ เพราะคุณอาจจะได้เจออีกหนึ่งบรรยากาศที่งดงามไม่แพ้กัน
วันนี้เราจะเดินทางไปบนเส้นทางด้านซ้ายของรูปตัว Y โดยจุดแรกที่จะเดินทางไปคือ ทะเลสาบยาว ซึ่งการเดินทางนั้นต้องผ่านป่าสนที่กำลังเปลี่ยนสีงดงามและไต่ระดับความสูงไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงตอนบนสุดของเส้นทาง ยอดต้นสนเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยปุยหิมะสีขาวสะอาด จนถึงจุดชมวิวทะเลสาบยาวเราจึงได้ชมวิวกันอย่างใกล้ชิด .. อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าวันนี้บรรยากาศต่างกับเมื่อวานมาก ๆ ยอดเขาวันนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว เพิ่มความรู้สึกเยือกเย็นเข้ากับบรรยากาศอันแสนเหน็บหนาวของที่นี่จริง ๆ
ทะเลสาบ 5 สี
เราถ่ายภาพทะเลสาบยาวกันสักพัก ก็เดินตามเส้นทางเล็ก ๆ มุ่งสู่ทะเลสาบ 5 สี ซึ่งระหว่างทางมีหิมะโปรยลงมาให้เราได้ตื่นเต้นกันตามประสากะเหรี่ยงจากเมืองร้อน หุหุ ถ่ายภาพไป หนาวไป สะใจดีจริง ๆ
ช่วงหลัง ๆ ก่อนถึงทะเลสาบ 5 สีก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่กำลังตกมามันคือฝนหรือหิมะกันแน่ หุหุ แต่ความสวยงามของสีสันของทะเลสาบ 5 สีก็ทำให้เราลืมเรื่องเปียกปอนไปชั่วคราว เพราะถ่ายรูปกันซะเพลินเลย …
อันที่จริงสีน้ำของทะเลสาบ 5 สีนี่สวยมาก ๆ เป็นสีฟ้าเทอร์คอยส์ไม่ต่างจากทะเลสาบนกยูงที่เราเห็นเมื่อวาน แต่นับยังไงก็ไม่ครบ 5 สี หุหุ สงสัยต้องรวมสีเทา กีบสีดำของหินเข้าไปด้วย ที่จริงน่าจะเรียกทะเลาสาบมรกตอย่างที่ไกด์ของเราเรียกมากกว่า
เราเดินต่อจากทะเลสาบ 5 สีเพื่อมาขึ้นรถกลับลงไปทานอาหารเที่ยงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งใกล้ ๆ ลานจอดรถก็ยังมีมุมสวย ๆ ให้เราได้ถ่ายภาพบุคคลกันอีกหลายภาพทีเดียว
เรามาถึงศูนย์อาหารก่อนเที่ยงราวครึ่งชั่วโมงทำให้คนยังไม่เยอะนัก และอาหารก็ไม่ร่อยหรอเหมือนเมื่อวาน ทำให้พวกเราได้โอกาสเติมพลังกันเต็มที่เพื่อเตรียมตัวเที่ยวต่อในช่วงบ่าย
ทะเลสาบเสือ, น้ำตกซู่เจิ้ง และหมู่บ้านธิเบต
บ่ายวันที่สองนี้เราจะเก็บตกเส้นทางช่วงต้น (ขาของตัว Y) ซึ่งมีน้ำตก, ธารน้ำและทะเลสาบสวย ๆ วางตัวต่อเนื่องกัน โดยเราเริ่มแวะกันที่ทะเลสาบเสือ ซึ่งขณะที่เราไปถึงมีฝนปรอยหน่อย ๆ ทำให้เก็บภาพได้ไม่เยอะนัก ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินเก็บภาพเรียบธารน้ำมุ่งสู่น้ำตกเล็ก ๆ แต่งดงามมากอีกแห่งหนึ่งชื่อ น้ำตกซู่เจิ้ง …
นอกจากน้ำในลำธารและน้ำตกจะใสแล้ว สีฟ้าของน้ำสลับกับบางส่วนของลำธารที่เป็นสีเขียวจากตะไคร่น้ำตัดกับฟองสีขาวของสายน้ำช่างเป็นภาพที่สวยงามเกินบรยาย … แน่นอนว่าขาตั้งกล้องได้ถูกน้ำมาใช้เพื่อบันทึกภาพสายน้ำให้ดูพริ้วไหว คุ้มค่าต่อการแบกมากจากเมืองไทยจริง ๆ
ข้อดีอีกอย่างของบรรยากาศแบบครึ้มฟ้าครึ้มฝนกับการถ่ายภาพน้ำตกก็คือ contrast ของภาพจะไม่สูงเกินไป เพราะในวันที่แดดจัด ฟองสีขาวกับโขดหินหรือต้นไม้ที่อยู่ภายใต้เงาจะมี contrast สูงมากจนทำให้ภาพดูแล้วแข็งไม่นุ่มและสดใสเหมือนกับอากาศแบบนี้ แสดงว่าการที่ฝนตกในวันที่สองของการเที่ยวน้ำตกก็เป็นข้อดีเหมือนกัน (แอบคิดแบบ positive หน่อย อิอิ)
คณะของเราเดินตามเส้นทางริมลำธารสลับถ่ายภาพมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณหมู่บ้านธิเบตจึงขึ้นไปเยี่ยมชมหมู่บ้าน, ถ่ายภาพจากจุดชมวิว และซื้อของที่ระลึกกันเล็กน้อย ก่อนที่จะเลือกเดินเท้าสลับถ่ายภาพต่อไปตามเส้นทางริมถนนเพื่อชมทะเลสาบและน้ำตกสายเล็ก ๆ ที่วางตัวลดหลั่นลงไปตามหุบเขา
เราปิดท้ายอุทยานจิ่วจ้ายโกวกันที่น้ำตกแจกัน ที่เป็นธารน้ำกว้างที่ปูด้วยสีเขียวของตะไคร่น้ำ มีกลุ่มของต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อม ๆ เหมือนเอาแจกันมาปักไว้ สวยงามสมชื่อ … จากที่นี่เรานั่งรถกลับไปยังปากทางเข้าอุทยาน นับเป็นช่วงเวลาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้มาชมความงามของอุทยานสวรรค์จิ่วจ้ายโกวแห่งนี้อีกครั้ง
โชว์ทิเบต
ค่ำคืนวันที่ 3 ในจิ่วจ้ายโกว เราตีตั๋วเข้าชมโชว์ธิเบิต โดยนั่งแถวเกือบหน้าสุด แต่ก็อยู่ด้านซ้ายสุดเหมือนกัน ทำให้มุมมองไม่ค่อยดีนักสำหรับการถ่ายภาพ งานนี้ผมหยิบเจ้า Nikkor 50mm f/1.4 เลนส์มือหมุนอายุอานามเกือบ 30 ปีมาถ่าย โดยใช้แสงจากเวทีล้วน ๆ ได้ภาพและวิดีโอมาเยอะเหมือนกัน ถ้าอาศัยเฉพาะ lens kit อย่างเดียวคงเอาแสงแบบนี้ไม่อยู่แน่ ๆ เพราะผมพยายามคุม ISO ไม่ให้เกิน 800 เพื่อหลีกเลี่ยง noise นั่นเอง
ความคิดเห็นโดยรวมกับโชว์ธิเบต ผมชอบนะครับ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วก็ไม่ใคร่จะสนใจโชว์วัฒนธรรมเหล่านี้เท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าลีลาการร้องเพลง คุณภาพเสียงร้อง รวมถึงรูปแบบดนตรีของธิเบตนั้นสนุกสนานและน่าประทับใจมากจริงๆ แม้ว่าในหลาย ๆ ช่วงพิธีกรพูดจีนทำให้เราฟังไม่รู้เรื่องก็เถอะ
เส้นทางสายหิมะสู่เฉินตู และ ศูนย์เพาะพันธุ์หมีแพนด้า
เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องโบกมือลาจิ่วจ้ายโกวอย่างเสียมิได้ คงเหลือไว้แต่เพียงความทรงจำดี ๆ ของความยิ่งใหญ่และสวยงามของธรรมชาติ หากจะกล่าวว่าธรรมชาติที่ผมเคยไปเยือนมาหลายแห่งนั้นสวยงามมาก สำหรับจิ่วจ้ายโกวคงต้องเรียกว่าวิจิตรล่ะครับ เพราะมันเหนือกว่าคำว่าสวยงามจริง ๆ
เส้นทางวันนี้แค่จิตนาการผมก็แอบเหนื่อยแล้วล่ะ เพราะต้องใช้เวลาราว 9 ชั่วโมงจากที่นี่ถึงเมืองเฉินตู แต่หลังจากออกเดินทางได้ไม่ถึงชั่วโมง ภาพวิวสองข้างทางเริ่มทำให้ผมเปลี่ยนจากการพยายามข่มตาหลับเป็นหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพอย่างไม่ละสายตาจากช่องมองภาพเลย เพราะความหนาวเย็นที่เราเริ่มสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้ขณะนี้หิมะได้โปรยปรายลงมาปกคลุมป่าสนสองข้างทาง ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายจริง ๆ ครับ และนี่เป็นสิ่งที่เติมเต็มให้ทริปนี้ครบรสชาติเสมือน 3 ฤดูจริง ๆ เพราะเราพบกับสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในวันแรกที่เข้าจิ่วจ้ายโกว, เจอฝนในวันที่สอง และในวันนี้เราเจอหิมะแบบเต็ม ๆ แถมคนขับรถของเราก็ใจดีหาที่จอดเหมาะ ๆ ให้เราได้ลงไปถ่ายภาพหิมะกันแบบใกล้ชิดเสียด้วย ทำให้แต่ละคนยิ้มแก้มปริถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน
ตลอดทางช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกยังคงผ่านเส้นทางที่สองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะสลับกับทุกหญ้าและต้นไม้เปลี่ยนสี นอกจากนี้ยังผ่านเมืองโบราณอาทิ เมืองชานชูชื่อ เมืองสงพัน ที่ทุกวันนี้รัฐบาลจีนเนตรมิตรตึกรามบ้านช่องใหม่ ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม ผมคาดว่าในอีก 5 ปี เส้นทางสายนี้คงเสร็จสมบูรณ์และเมืองเหล่านี้จะกลายเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นแน่
ทางช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังก่อนถึงเฉินตูนั้น เป็นเส้นทางที่ตั้งอยู่เชิงเขา ด้านข้างเป็นแม่น้ำ ซึ่งตลอดทางจะยังคงเห็นสภาพความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2008 อยู่เป็นระยะ แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลจีนได้ทำการบูรณะและถือโอกาสจัดระเบียบเมืองอย่างดีเยี่ยม เพราะผ่านไปเพียง 3 ปี เส้นทางนี้เสร็จเกือบจะสมบูรณ์แล้ว และยังคงเห็นการก่อสร้างทางด่วนคู่ขนานรวมถึงทางรถไฟที่คาดว่าอีกไม่นานก็คงเสร็จเช่นเดียวกัน ต่อไปการเดินทางไปจิ่วจ้ายโกวคงไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว และคงมีเวลามากขึ้นสำหรับแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม คิดแล้วก็แอบอิจฉาคนจีนเหมือนกันที่สามารถเนรมิตหลายอย่างได้อย่างใจไม่ติดโน่นติดนี่เพราะขัดแข้งขัดขากันเองเหมือนบ้านเรา
เอ้า! พาออกนอกเรื่องไปจนได้ กลับเข้ามาที่เมืองเฉินตูกันดีกว่าครับ … เมืองเฉินตูนั้นมีความเจริญไม่ต่างจากรุงเทพฯ บ้านเราครับ สภาพถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องก็ทันสมัยไม่แพ้กัน ต่างกันก็ตรงคนที่นี่ไม่ค่อยยอมพูดอังกฤษ ไม่รู้พูดไม่ได้หรือไม่ยอมพูดกันแน่ หุหุ
ที่เมืองเฉินตูเรามีอีก 2 โปรแกรม นั่นคือโชว์เปลี่ยนหน้ากากซึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ในความเห็นส่วนตัวแล้วโชว์นี้ไม่ได้สนุกสนานเหมือนโชว์ทิเบต แต่เน้นไปที่การนำเสนอวัฒนธรรมอันงดงามของจีน ส่วน highlight ก็แน่นอนว่าอยู่ที่รายการสุดท้ายนั่นคือโชว์เปลี่ยนหน้ากาก ที่ผู้แสดงเปลี่ยนหน้ากากรวดเร็วจนผู้ชมไม่สามารถมองได้ทัน
เช้าวันก่อนกลับ เราเดินทางไปชมความน่ารักของหมีแพนด้ากันที่ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าเมืองเฉินตู โชคดีที่มีแพนด้าน้อยซึ่งคงจะเพิ่งคลอดมาได้ไม่นานให้เราชมด้วย ทำให้พวกเราได้อมยิ้มกับความน่ารักของมัน ส่วนพี่ป้า น้าอา ของมันส่วนใหญ่จะขี้เกียจไม่ค่อยทำอะไรนอกจากนอนตีพุง นาน ๆ ทีจึงเดินออกมากินน้ำกินไผ่ให้ได้ตื่นเต้นกัน หุหุ
ต้องขออภัยอย่างสูงครับที่ภาพเมืองเฉินตู กับเจ้าหมีน้อยแพนด้านั้นไม่ได้นำมาลงในนี้ เพราะไฟล์เสียหายเนื่องจาก Harddisk ที่่ใช้ backup ภาพเสียแบบไม่ทันตั้งตัว 🙁 ถ้าหากกู้ไฟล์ได้ค่อยนำมาลงภายหลังนะครับ
สรุปข้อมูลทัวร์
อย่างที่เกริ่นไปแต่ต้นนะครับว่าเที่ยวรอบนี้ผมใช้บริการทัวร์ ซึ่งโปรแกรมส่วนใหญ่จะไม่ต่างกับทัวร์จีนจิ่วจ้ายโกวมากนัก เพียงแต่เพิ่มการเข้าชม จิ่วจ้ายโกวเป็น 2 วัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมเลือกทัวร์นี้ เพราะขนาดเข้าไปสองวันผมยังรู้สึกว่ามันยังเร่ง ๆ ไม่สามารถเก็บภาพได้อย่างใจ 100% เลย ถ้าไปวันเดียวคงเสียดายเงินมากแน่ ๆ ที่อุตส่าห์เดินทางไปตั้งไกลเพื่อได้เที่ยวชมเพียง 6-7 ชั่วโมง
การไปกับทัวร์นั้น มีข้อดีก็คือเราไม่ต้องนั่งเตรียมโปรแกรมท่องเที่ยวให้เหนื่อย ไม่ต้องหาที่พักและร้านอาหารเอง เพราะทางทัวร์เตรียมให้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่พักถือว่า OK เลยทีเดียว ส่วนอาหารก็พยายามจัดให้ดีที่สุดที่หาได้ในเขตนั้น แต่ช่วยไม่ได้ที่สไตล์อาหารของทิเบตไม่ถูกปากพวกเราเอาซะเลย สารพัดน้ำพริก, หมูหยอง, หมูเค็มที่เตรียมไปเลยขายดีเป็นพิเศษ แต่อาหารที่เฉินตูนั้นอร่อยครับ เรียกได้ว่ายิ่งวันท้าย ๆ อาหารยิ่งอร่อย หุหุ
นอกจากนี้จุดสำคัญที่สุดของการไปทัวร์จีนคือเรื่องการสื่อสารครับ เพราะต้องยอมรับว่าคนจีนใช้ภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ถ้าคุณจะไปเองก็คงเหนื่อยเหมือนกันหากเกิดปัญหาอะไรหรือต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ก็ตาม ขนาดคนจีนด้วยกันเองบางทียังพูดกันไม่เข้าใจเลยเพราะภาษาท้องถิ่นต่างกัน .. อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และพร้อมที่จะผจญภัยไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ ผมคิดว่าไปเที่ยวเองก็คงสนุกไปอีกแบบครับ 🙂
ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่องข้อเสียของการเดินทางไปกับทัวร์บ้าง ซึ่งเป็นมุมมองของคนชอบถ่ายภาพที่วางแผนและท่องเที่ยวด้วยตัวเองมาตลอดอย่างผมนะครับ สิ่งแรกเลยคือเราต้องระมัดระวังเรื่องการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เพราะเป็นเพื่อนใหม่ทั้งหมด โชคดีของผมมากที่คณะที่เดินทางไปด้วยกันนั้นน่ารักทุกคน มีการแบ่งปันกันตลอด มิตรภาพค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อย จนสามารถคุยกันได้อย่างถูกคอชนิดไม่มีกำแพงเรื่องอายุ … แต่แน่นอนว่าเราก็ยังไม่สามารถทำตามที่ต้องการได้เต็มที่ เช่นบางครั้งอยากหยุดถ่ายภาพ หรืออยากจะถ่ายภาพบางจุดให้นานขึ้นก็ไม่ค่อยกล้าจะบอกหัวหน้าทัวร์เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมเดินทาง บางจุดที่เรามองในฐานะช่างภาพว่าสวย แต่คนอื่นอาจมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ ว่ามันจะถ่ายอะไรของมันฟะ อิอิ … บางทีก็แอบเผลอลืมตัวไป อย่างเช่น เปิดหน้าต่างเพื่อถ่ายภาพข้างทางขณะนั่งรถในจิ่วจ้ายโกว โดยลืมคิดไปว่าเพื่อนร่วมคณะทนความหนาวที่พัดผ่านช่องกระจกเข้ามาในรถได้ไม่เท่ากับเรา ก็แอบรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน หุหุ
สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย คงต้องแล้วแต่ทัวร์ล่ะครับ แน่นอนว่าบางทัวร์ทำราคาได้ถูกกว่าเพราะรับคนต่อกรุ๊ปมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความล่าช้า ความยุ่งยากที่อาจจะมากขึ้น บางทัวร์แวะร้านขายของด้วยก็จะยิ่งทำให้เสียเวลาเที่ยวเข้าไปอีก อันนี้ก็นานาจิตตังครับซึ่งคงต้องแล้วแต่โชคด้วยว่าจะเจอหัวหน้าทัวร์แบบไหน, ไกด์คนไหน และเพื่อนร่วมทริปอย่างไร
ปิดท้ายกันด้วยความคิดเห็นต่อเมืองจีนแบบตรงไปตรงมา … ธรรมชาติสวยงามมากครับ ไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติชื่อดังระดับโลกอื่น ๆ เลย แต่สิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวและทำใจคือ ห้องน้ำระหว่างทางและเขตชานเมืองที่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิมไม่มีการดูแลรักษาความสะอาด และแน่นนอนว่าบางที่ไม่มีประตูห้องน้ำสำหรับธุระหนักด้วยซ้ำ แต่เก็บตังค์ 1 หยวน หุหุ, การสื่อสารซึ่งค่อนข้างยากเพราะถนนหนทางบางครั้งก็ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับ ผู้คนในเมืองจีนโดยเฉพาะนอกเขตเมืองใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้จึงเป็นอุปสรรคในการขอความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง, อาหารที่เฉินตูอร่อยครับ แต่พอขึ้นเหนือปั๊ปซ้ำซากและน่าเบื่อเป็นที่ซู้ด กาแฟสดไม่มีเลยในเขตนอกเขตเมือง มีแต่ instant coffee ที่ชงแบบจาง ๆ ขาย :(, การซื้อขายของที่ไม่ค่อยซินเซียเท่าไหร่ ได้แต่ทำใจ ผมซื้อผลไม้โดนโกงเห็น ๆ แต่จะบ่นก็ลำบากเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ของฝากก็ต้องต่อราคาเยอะหน่อยเพราะบอกผ่านกันหลายเท่าตัว (แล้วแต่ชนิดสินค้า) เอาเป็นว่าซื้อของนี่ต้องระแวงตลอดว่าซื้อแพงไปป่าวว้า ซึ่งคงรวมไปถึงการซื้อทัวร์ท่องเที่ยวและที่พักด้วยในกรณีที่คุณเดินทางไปเอง … แต่ข้อสังเกตุรบกวนใจที่ผมเขียนมานี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความสุขที่คุณจะได้รับจากธรรมชาติของที่นี่ ดังนั้นถ้าให้ฟันธงว่าน่าไปเที่ยวเมืองจีนไหม บอกได้เลยว่าต้องไปสักครั้งในชีวิต 9MOT confirm!
ข้อมูลบริษัททัวร์ : Travel Pro โทร 081-830-0751
Website : http:// www.travelprothai.com
Facebook : http://www.facebook.com/TravelProThai
ไปแล้วประทับใจมาก อยากไปอีก ไกด์น่ารักนิสัยดี เป็นห่วงลูกทัวร์ตลอดการเดินทาง และก็โชคดีที่เจอลูกทัวร์นิสัยดีและน่ารักทุกคนเลยค่ะ โอกาสหน้าไม่พลาดแน่นอนไม่ว่าจะไปเมืองไหนของจีนต้องเป็นเทรเวลโปรแน่นอนค่ะ
น่าไปมั่กมากกกกกกอ่าาา 🙂