รีวิวทั้ง 9 ตอนของทริปนี้
- เยือนดินแดนแห่งปราสาทในเทพนิยาย
- เมืองงามแห่งแม่น้ำ inns และถนนสายงามแ่ห่ง Austria
- อยากให้เวลาเดินช้าลง… ที่ Hallstatt
- สัมผัสเมืองมรดกโลก … Cesky Krumlov
- ลมหายใจแห่ง “ปราก”
- Karlovy Vary เมืองนี้สีลูกกวาด
- Rothenburg ในวันฝนพรำ
- มิวนิค สีสันแห่งเยอรมัน
- บทสรุปท่องเที่ยว-ถ่ายภาพ เยอรมัน-ออสเตรีย-เช็ก
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
บ่ายวันที่ 29 เม.ย. เครื่อง Airbus 380 ของ Emirate ร่อนลงสนามบิน Munich บ่ายโมง ตามกำหนดเวลา … นับเป็นการบินที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดเพราะต้องไป transit ที่สนามบิน Dubai ถึง 8 ชั่วโมง แต่ก็ต้องทำใจเพื่อแลกกับค่าตั๋วโปรโมชันที่ถูกเพียง 25,000 บาท หุหุ
กระเป๋าของผมกับเพื่อน ๆ มาถึงช้าเล็กน้อย จนนึกไปว่าตกหล่นอยู่แถวดูไบซะแล้ว แต่เมื่อได้มาก็สามารถออกจากสนามบินได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจที่ยุ่งยาก ทำให้ผมโล่งใจไปพอควรที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการโดนยึดน้ำพริกสำเร็จรูปที่ตระเตรียมมามากมาย อิอิ
หลังจากออกจาก terminal แล้วก็ใช้เวลาเดินหา counter รับรถเช่าอีกเล็กน้อย โดยผมกับเพื่อนอีกคณะที่เดินทางด้วย Etihad และ TG นัดเจอกันที่นี่ เมื่อจัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็รับ GPS แล้วขนสัมภาระไปขึ้นรถซึ่งจอดรถอยู่ในอาคารติด ๆ กัน … รถของพวกเรา 8 คนเป็นแบบ 9 ที่นั่ง รุ่น Benz Vito ขนาดประมาณรถตู้ย่อม ๆ กว้างขวางพอดีกับพวกเราทั้งหมดพร้อมสัมภาระ … หลังจากตกลงเรื่องที่นั่งและได้อาสาสมัคร Navigator ได้แ้ล้วเราก็ตั้งเป้าหมายแรกของวันนี้เป็นปราสาท Neuschwanstein ซึ่งอยู่ตอนใต้ของเมืองมิวนิค ติด ๆ กับชายแดนออสเตรีย
ช่วงแรกของการขับรถและยังไม่ชินกับการบอกทางของ GPS ทำให้งงกับเส้นทางและเสียเวลาไปเล็กน้อย แต่ในที่สุด GPS ก็นำไปยังเส้นางที่ต้องการ ซึ่งเป็นเส้นเลี่ยง Autobahn ในช่วงท้าย เพื่อผ่านเส้นทางสวย ๆ ตามถนนสาย Romantic Road ของเยรมัน (ช่วงแรกใช้สาย E45 ตามด้วยสาย 17) ซึ่งทางถนนสาย 17 จะผ่านเมืองเล็ก ๆ ซึ่งใกล้ทะเลสาบและทุ่งหญ้า ทำให้การขับรถรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก หลังจากที่เครียดเล็กน้อยกับการหาทางออกจาก Autobahn ในช่วงแรก เสียดายที่อยู่ในตำแหน่งคนขับจึงไม่สามารถถ่ายภาพได้อย่างที่อยากทำ แต่สุดท้ายก็หาที่โล่ง ๆ จอดรถเพื่อถ่ายภาพจนได้ นับเป็นภาพชุดแรก ๆ ของทริปนี้ เสียดายที่ดอกไม้บริเวณนี้ยังบานไม่เต็มที่นัก
ช่วงท้ายก่อนถึงเมือง Schwangau ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทนอยชวานสไตน์และที่พักของเราคืนนี้ ดอกไม้สีเหลืองทองในทุ่งหญ้ากำลังบานอย่างเต็มที่สวยงามมาก เสียดายเหลือเกินที่ทางแคบไม่เหมาะักับการจอดรถทำให้ไ่ม่ได้เก็บภาพมาฝาก 🙁
จุดแรกที่ตั้งใจแวะวันนี้คือโบสถ์ท่ามกลางทุ่งหญ้าใกล้ปราสาทนอย ฯ ที่มี background เป็นเทือกเขา Alps และปราสาท ฯ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเล็กน้อยที่ตัวโบสถ์อยู่ในระหว่างการปรับปรุง (เช่นเดียวกับตัวปราสาท) เสียบรรยากาศไปเยอะเลย แต่พวกเราก็ไม่วายถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนานกับวิวสวย ๆ โดยรอบ
หลังจากถ่ายภาพกันพอหอมปากหอมคอก็เข้าที่พักซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่นาทีชื่อ Haus Luna … เมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ตกลงกันว่ามื้อแรกของทริปขอเป็นอาหารในเมือง Fussen ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำของเมือง Schwangau นี่เอง … เราขับรถกันไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงและได้ที่จอดรถเหมาะ ๆ ใกล้ ๆ กับจัตุรัสกลางเมือง ใช้เวลาเล็กน้อยในการตามหาร้านอาหารที่ได้รับคำแนะนำมาจาก Pantip.com ชื่อ Gasthof Krone ที่มีหุ่นเหล้กอัศวินอยู่หน้าร้าน ซึ่งก็ไม่ิผิดหวังครับ อาหารรสชาติดี ราคาไม่แพงมาก พวกเราก็สั่งกันมาหลายอย่าง ผลัดกันชิม ส่วนเครื่องก็ต้องลองเบียร์เยอรมันครับ แต่ด้วยความที่ปกติไม่ได้เป็นคนกินเบียร์ก็เลยแยกไม่ออกว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย อิอิ เอาเป็นว่าบรรยากาศพาไปทำให้รู้สึกว่ามันกลมกล่อมนุ่มลิ้นกว่ากินแถว ๆ บ้าน หุหุ
แม้ว่าจะเลยทุ่มไปแล้ว แต่บรรยากาศยังเหมือน 5 โมงเย็นบ้านเรา ก็เลยถือโอกาสเดินเล่นในเมืองน่ารัก ๆ แห่งนี้กัน ที่นี่มีนักท่องเที่ยวพอสมควร ไม่หนาตาแต่ก็ไม่ได้เงียบเหงา ผู้คนใช้เวลาช่วงเย็นนั่งจิบเบียร์กันเกือบเต็มร้านในเมือง … แต่ด้วยความที่อ่อนเพลียจากการเดินทางหลายชั่วโมง กอรปกับการขับรถอีกกว่า 3 ชม. ทำให้พวกเราตัดสินใจกลับไปพักผ่อนกันก่อนสำหรับวันนี้
หลังจากหลับแบบปิดสวิทช์ไปกว่า 6 ชั่วโมง ผมก็ตื่นออกมาถ่ายภาพบรรยากาศตอนเช้าใกล้ ๆ ที่พัก ตามมาด้วยอาหารเช้าแบบง่าย ๆ มาม่าร้อน ๆ กับกาแฟ ที่ระเบียงบ้าน นั่งกินไปชมวิวไป ลมเย็น ๆโชยมาพัดเป็นระยะ ช่างมีความสุขซะเหลือเกิน
เสร็จภาระกิจอาหารเช้ากันแล้วก็เดินทางกันไปที่ปราสาท โดยตั้งใจว่าจะเข้าปราสาทเร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงนักท่องเที่ยว และทำเวลาเพื่อจะไปจุดอื่น ๆ ต่อไป … ผมเลือกที่จอดรถด้านในสุดใกล้ทะเลสาบ Alpsee ซึ่งน้ำใส มีเงาของเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะทอดตัวลงมาบนทะสาบประดุจกระจกเงาสวยมัก ๆ จนอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพกันตรงจุดนี้หลายภาพ
แม้ว่าเราจะทำเวลากันมากแล้วแต่การที่จะเ้ข้าสองปราสาทคือ Neuschwanstein กับ Hohenschwangau ให้เสร็จทันเวลาเที่ยงนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เราจึงเลือกที่จะเ้ข้าปราสาทนอย ฯ เพียงแห่งเดียว โดยถ่ายภาพที่ระลึกของปราสาท Hohenschwangau จากภาพนอกและมุมบนระหว่างทางไปปราสาทนอย ฯ แทน
การเดินทางขึ้นปราสาทนอยฯ นั้นจะเดินขึ้น, นั่งรถม้า หรือนั่งรถบัสก็ได้ ซึ่งคณะของเราเลือกที่จะขึ้นรสบัสเพราะสะดวกและทำเวลาได้ดีที่สุด … จากจุดจอดรถด้านบนใช้เวลาเดินผ่านทิวสนและจุดชมวิวสวย ๆ ประมาณ 10 นาทีก็ถึงปราสาทนอย ฯ ซึ่งเรามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อยจึงมีเวลาถ่ายภาพด้านหน้าตัวปราสาทและพื้นที่ด้านในได้พอสมควร
เมื่อถึงตัวปราสาทก็เห็นได้ชัดว่าตัวปราสาทด้านตะวันออกกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุง ซึ่งผมก็ทราบข่าวนี้มาแล้วจาก pantip.com ทำให้พอที่จะทำใจได้ และก็ืถือว่าโชคดีเพราะด้านนี้จะมองเห็นไม่ชัดจากจุดชมวิวหลัก ก็นับว่าเป็นความโชคดีครับ 🙂
การเที่ยวชมปราสาทด้านในต้องรอคิว ซึ่งรอบของเรามีผู้บรรยายภาษาอังกฤษ ที่ผมฟังแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง โดยเฉพาะชื่อตระกูลต่าง ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย คงเหมือนเอาฝรั่งมานั่งฟังประวัติพระเนรศวรนั่นแหละ อิอิ ห้องต่าง ๆ ของปรสาทนอย ฯ ไม่ได้วิจิตร หรูหราอลังการมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และแฝงไปด้วยความตั้งใจของผู้สร้าง แม้ว่าปราสาทแห่งนี้ไม่เคยสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็ตาม
ในปราสาทห้ามถ่ายภาพ จึงไม่มีภาพมาให้เพื่อน ๆ ได้ชมกัน แต่ถ้ามีโอากาสได้ไปแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมนะครับ
พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรียมีพระประสงค์ให้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษ ห่างจากผู้คนและเพื่ออุทิศให้แก่กวี ริชาร์ด วากเนอร์ ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่อง อัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งตามเรื่องร่าวในบทประพันธ์ดังกล่าว ปราสาทแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย คริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) ซึ่งเป็นนักออกแบบทางการละคร มากกว่าที่จะเป็นสถาปนิก ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ถึงปีละ 1.3ล้านคน โดยมากถึงวันละ 6,000 คนในช่วงฤดูร้อน
Credit : Wiki
จบจากการชมห้องต่าง ๆ ในปราสาท ก็เป็นจุดช็อปปิ้งของที่ระลึก ซึ่งต้องใช้เวลานานพอควรกว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้เพราะสาว ๆ ของเราเป็นนักสะสมตัวยง อิอิ … เราเดินออกมาตรงร้านค้าใกล้ปราสาทเพื่อเก็บภาพจากจุดชมวิวและฝั่งเมือง Schwangau กันอีกเล็กน้อย ซึ่งช่วงนี้น้ำในทะเลสาบใกล้เมือง Schawangau ยังไม่เต็ม เรียกว่าแห้งขอดด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะปีนี้หน้าร้อนมาช้ากว่าทุก ๆปีนั่นเอง และจากจุดนี้ผมก็ได้เก็บภาพโบสถ์จากมุมสูงท่ามกลางทุ่งหญ้าที่เคยเจอใน internet สำเร็จ หุหุ
จากตัวปราสาทเราเดินย้อนกลับไปทางจุดลงรถ ซึ่งมีทางแยกไปยังสะพานซึ่งเป็นจุดชมวิวตัวปราสาทจากอีกด้าน ที่นี่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว กว่าจะถ่ายภาพได้ก็ต้องเบียดกันพอสมควร แต่ก็จะได้ภาพจากอีกมุมมองที่มีฉากหลังเป็นทุ่งหญ้าของเมือง Schwangau
ถ่ายภาพกันพักใหญ่เราก็นั่งรถลงเขาเพื่อเดินทางต่อ แต่ขับรถออกจากปราสาทได้ไม่ถึง 5 นาทีก็พบกับลานหญ้ากว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ผมจึงตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นทำเลทานอาหารเที่ยงแบบปิ๊กนิคซะเลย เรียกว่า Castle view lunch อิิอิ …
วันนี้เราจะเดินทางไปยังเืมือง Innsbruck ของประเทศออสเตรียซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก โดยเลือกใช้เส้นทางผ่านเืทือกเขา Alps และแวะตามเมืองย่อยรายทาง รวมถึงจุดชมวิวสวย ๆ ริมทางช่วงที่ผ่านทะเลสาบ Plansee ด้วย ซึ่งช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวมาพักตากอากาศกันเยอะเลยทีเดียว
จุดหมายหลักอีกแห่งหนึ่งของวันนี้คือปราสาท Linderhof ซึ่งเป็นปราสาทอีกแห่งหนึ่งที่สร้างโดย King Ludwig ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง สไตล์การตกแต่งไม่เหมือนกับปราสาทนอย ฯ แต่็ก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปจากฝรั่งเศสและเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่นเดียวกัน ดูจากห้องต่าง ๆ และข้าวของเครื่องใช้แล้วเห็นได้เลยว่า King Ludwig ท่านนี้เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเอามาก ๆ เรียกได้ว่ามีโลกส่วนตัวอยู่กับศิลปและดนตรีที่ท่านโปรด จนเป็นที่มาของการยึดอำนาจในภายหลังเนื่องจากไม่่ค่อยได้ให้ความสนใจกับการบริหารบ้านเมือง แต่นำเงินมาใช้เพื่อสร้างและทำนุบำรุงสิ่งที่ตัวเองรักนั่นเอง
ที่นี่ก็เหมือนที่ปราสาทนอย ฯ คือไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพห้องต่าง ๆ ภายใน จึงมีเฉพาะส่วนของบรรยากาศภายนอกเท่านั้นที่นำมาฝากเพื่อน ๆ ได้
เมื่อชมห้องต่าง ๆ เสร็จแล้วก็เดินขึ้นไปชมถ้ำใต้ดีและเรือหอย ซึ่งตั้งอยู่บนเนินหลังปราสาท เรียกเหงื่อท่ามกลางอากาศหนาวจากนักท่องเที่ยววัยกลางคนอย่างเราได้ไม่น้อย หุหุ
วังลินเดอร์ฮอฟ (อังกฤษ: Linderhof) ตั้งอยู่ใกล้เมืองโอเบอร์อัมเมอร์เกาทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นบาวาเรีย เป็นวังที่เล็กที่สุดที่สร้างโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย
ก่อนที่จะสร้างลินเดอร์ฮอฟพระเจ้าลุดวิกทรงรู้จักบริเวณนั้นดีจากการเดินทางไปล่าสัตว์ในบริเวณเทือกเขาบาวาเรียแอลป์กับพระบิดาพระเจ้าแม็กซิมิลเลียนที่ 2 แห่งบาวาเรียเมื่อยังทรงพระเยาว์ เมื่อขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1869 ลุดวิกไดัรับ “ตำหนักเคอนิกเฮาเชน” (Königshäuschen) เมื่อเริ่มแรกก็ทรงขยายตำหนักเดิมแต่ต่อมาก็ทรงสั่งให้ย้ายตำหนักเคอนิกเฮาเชนไปตั้งในบริเวณอื่น และบนสิ่งก่อสร้างรูปตัว “U” ที่ยังเหลืออยู่ทรงเพิ่มห้องสามห้องและบันได ด้านหน้าตกแต่งที่เคยเป็นไม้ก็ทรงสั่งให้หุ้มด้วยหิน ตัวสิ่งก่อสร้างเป็นแบบโรโคโค
ถึงแม้ว่าวังลินเดอร์ฮอฟจะเป็นวังที่เล็กกว่าพระราชวังแวร์ซายส์แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นวังที่สร้างเลียนแบบพระราชวังของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสผู้เป็นวีระบุรษและแรงบันดาลใจของลุดวิก การก่อสร้างต่างๆ เช่นบันได ก็เป็นการสร้างย่อส่วนของบันไดทูต (Ambassador’s staircase) ที่แวร์ซายส์ ซึ่งต่อมาไปสร้างเต็มสัดส่วนที่วังแฮเร็นเคียมเซ ภายในวังจะมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อยู่ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับความคิดของลุดวิกที่ว่าอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินเป็นอำนาจโดยตรงจากพระเจ้า แต่ตามความเป็นจริงแล้วความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ล้าสมัยไปแล้วในคริสต์ศตวรรษที่ 19
ห้องบรรทมเป็นห้องที่สำคัญที่สุดในระบอบกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงรับการถวายราชการหนแรกและหนสุดท้ายของวันหนึ่งๆ ภายในห้องบรรทม ห้องบรรทมที่ลินเดอร์ฮอฟก็เป็นการเลียนแบบห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในวัง หันไปทางทิศเหนือซึ่งทรงกลับสัญลักษณ์ของแวร์ซายส์ที่ทรงเห็นพระองค์ว่าเป็น “พระราชาแห่งราตรี” (Night-King)
ที่ตั้งของปราสาทอยู่ไม่ไกลจากวัดเอ็ททาลซึ่งทำให้เห็นอีกแง่หนึ่ง เพราะทรงเห็นลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดว่าควรเป็นที่เก็บรักษาถ้วยศักดิ์สิทธิ์ (Holy grail) ซึ่งเป็นการเชื่อมพระราชวังบาโรกกับพระราชวัง “ยุคกลาง” เช่น นอยชวานชไตน์เป็นความคิดที่เข้ารูปเข้ารอยกับโอเปร่าของริชาร์ด วากเนอร์ที่ลุดวิกทรงโปรด
Credit : Wiki
ออกจาก Linderhof ผมแวะเมืองเล็ก ๆ อย่าง Oberammergau และ Mittenwald เพื่อชมบรรยากาศในเมือง เสียดายที่เวลา late กว่าที่คิดไว้ จึงไม่ได้ถ่ายภาพเมือง Mittenwald ซึ่งผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสวยกว่า Oberammergau หากเพื่อน ๆ ต้องเลือก ผมแนะนำ Mittenwald ดีกว่าครับ สีสันและรูปแบบของเมืองสวยกว่าพอสมควรครับ
เรามาถึงเมือง Innsbruck ที่พักของเราคืนนี้ก็ค่ำ ๆ แล้วแต่ก็ยังพอมีแสงอยู่เพราะกว่าจะมืดก็เกือบสี่ทุ่ม เนื่องจากโรงแรมนี้ไม่มีที่จอดรถให้จึงต้องจอดในที่จอดรถสาธารณใต้ดิน ใกล้ ๆ โรงแรม ซึ่งผมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว … เมื่อง Innsbruck จะเป็นอย่างไร อ่านต่อตอนต่อไปนะครับ
คุณมดค่ะ รบกวนขออีเมล์คุณมดหน่อยได้ไม๊ค่ะ พอดีจะไปเดือน พ.ค.นี้ มีเรื่องอยากปรึกษาหลายข้อค่ะ ขอบคุณค่ะ
อยากทราบว่า ตอนถ่ายรูปปราสาท นอยส์ ระยะไกล.จากสะพาน ใช้ lens ขนาดไหนครับ
เพื่อนบางคนบอกว่า ขนาด zoom แล้วยังได้รูปเล็กนิดเดียว
ผมกะจะไปเดือน มิย. 56 ขี้เกียดแบกเลนส์ 200 mm ไปครับ มันเป็นภาระมาก
ผมใช้ Nokon D600 24-85 mm พอไหวไหมครับ. ขอบคุณครับ
9MOT-ตอนผมเช่ารถเขาขอดูใบขับขี่ธรรมบ้านเรานี่แหละครับ (smart card) ไม่ได้ขอใบขับขี่สากลด้วยซ้ำ แต่ผมทำใบขับขี่สากลไปด้วยกันเหนียว
ผมอยากทราบว่าตอนไปเช่ารถขับ ใบขับขี่สากลบ้านเราใช่ที่ เยอรมันได้ไหมครับ กำลังจะไปพอดีขอข้อมูลหน่อยครับ
อยากทราบว่าถ้่ไม่นอนที่ innsbruck แต่นอนที่ mittenwald จะดีมั๊ยค่ะ ดูแล้วเมืองสวยน่าเดินเล่น
แล้วการขับรถเที่ยว มันยากมั๊ยค่ะ สำหรับคนไม่เคยไปเที่ยว ตปท ด้วยตัวเองเลย สามารถศึกษารายละเอียดจากที่ไหน ว่าวิ่งเส้นไหน จุดจอดรถ ราคาที่จอดรถ
…กลัวไปหมด แต่อยากไป
ขอบคุณคะ่
ขอข้อมูลทริป 3 ประเทศ มาศึกษาได้ไหมค่ะ จะจัดกลุ่มเพื่อนไปกันตามรอยคุณมดค่ะ เห็นรูปของนายมดที่ไร อยากไปเที่ยวด้วยจัง
ขอบคุณค่ะ
คุณมดน่าจะทำหนังสือ ท่องเที่ยวได้นะ. ได้เที่ยว ได้ถ่ายรูป. ได้งานด้วย อิ อิ. เราพลอยได้ตามรอย 555
9MOT-อยากได้ข้อมูลตัวไหนบอกได้นะครับ
9MOT-ตอบไปทาง mail แล้วนะครับ
ตามมาจากพันทิปค่าา ภาพสวยมาก ๆ เห็นแล้วอยากจะไปซะตอนนี้ อิอิ
แล้วจะตามอ่านตอนต่อไปนะคะ ^^
เป็นความฝันที่จะได้ไปสักครั้ง ถ้ารบกวนขอทริปมาศึกษาจะได้มั้ยคะ
ขอบคุณมากที่ลงภาพสวยๆให้ได้ชม กรุณาลงตอนตอ่ไปเร็วๆหน่อย(ส.วใจรอ้นคะ่). พี่หมอรัตน์