หลังจากว่างเว้นไปหนึ่งปีเต็มๆ สำหรับประเทศญี่ปุ่น กลางเดือนตุลาคมปี 2018 ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่ได้กลับไปเยือนประเทศยอดฮิตของคนไทย และคราวนี้จุดหมายอยู่ที่เกาะฮอกไกโด ดินแดนเหนือสุดของญี่ปุ่นที่ผมยังไม่เคยไปและจุดที่จะไปเที่ยวก็ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและนิยมในหมู่คนไทยนัก … การเดินทางครั้งนี้สนับสนุนและนำเที่ยวโดยการท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือของฮอกไกโด ซึ่งแน่นอนว่าจะได้พบกับของดีประจำเมืองพร้อมข้อมูลเชิงลึกมากกว่าเที่ยวเอง … Northern Hokkaido มีอะไรที่น่าสนใจ ตามผมมาเลย
หากมีเวลาน้อยลองดู VDO สั้นๆ ของทริปนี้ดูก่อนก็ได้ครับ
สำหรับคนไทยแล้วการเดินทางสะดวกสุดไปยังฮอกไกโดก็คือนั่งการบินไทยซึ่งมีเที่ยวบินตรงไปยังสนามบินChitose ของฮอกไกโด แต่ผมได้มีโอกาสใช้บริการของสายการบิน ANA สัญชาติญี่ปุ่นซึ่งต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่โตเกียว อาจเสียเวลาและเหนื่อยสักหน่อยแต่ก็เป็นโอกาสดีที่ได้ทดลองใช้บริการของสายการบินนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าประทับใจในบริการที่มี DNA ของญี่ปุ่นอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้การเดินทางสองต่อไม่รู้สึกเบื่อแต่อย่างใดโดยเฉพาะเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียวที่แจกอาหารมื้อหลัก 1 ครั้งแถมด้วยแซนวิสก่อนเครื่องลงอีกรอบ ที่นั่งกว้างแม้จะเป็นชั้นประหยัดก็ตาม
ลงเครื่องเรียบร้อยก็เปิด SIM ของ TruemoveH ที่ Roaming มาก่อนเลย ใช้งานได้ดี สบายใจละว่าตลอดการเดินทางจะไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร โดย True จะใช้ Network ของ NTT Docomo ซึ่งผมวัดความเร็วที่สนามบินได้ 56.3 mbps ถือว่าเร็วจัดจ้านเลยทีเดียว ทั้งนี้ระหว่างเดินทางความเร็วจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ใช้งาน อย่างไรก็ตามตลอดทริปซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ Hokkaido สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นมากครับ … นอกจากซิมแบบรายเดือนแล้วทาง True ยังมีซิม Internet แบบ pre paid สำหรับใช้งานที่ญี่ปุ่นด้วย ได้ข่าวว่าจะออกวางขายเร็วๆ นี้แบบ 4GB ราคา 399 บาทใช้ได้นาน 8 วัน ซึ่งถือว่าคุ้มดีนะ สามารถติดตามข่าวสารได้จากหน้านี้เลย http://truemoveh.truecorp.co.th/international_service/travelling_abroad
สำหรับเที่ยวบินในประเทศที่บินจากโตเกียวไปฮอกไกโดนั้นไม่มีอาหารแจกนะ และต้องรับกระเป๋าเพื่อผ่านศุลกากรแล้วไปส่งที่ counter ของ ANA ตรงทางออกจากประตู arrival (ไม่ต้อง check in ใหม่ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้ถึงกับยุ่งยากมากมายนัก)
จากประตูลากกระเป๋ามานิดนึงก็จะเจอที่สำหรับโหลดกระเป๋าแบบนี้ครับ พนักงานจะมารับไปดำเนินการให้เลยเพราะมี tag barcode อยู่แล้ว
ช่วงนี้ศุลกากรของญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มงวดทีเดียว โดยมีการสุ่มค้นหาของต้องห้ามต่างๆ รวมถึงทองด้วยแปลกดีเหมือนกัน ผมก็บอกว่าผมไม่มีของเหล่านี้ แต่สงสัยหน้าตามีฐานะเลยโดนเปิดกระเป๋า ดีนะที่จัดของเรียบร้อยไม่อายเค้า 555
จากอาคารผู้โดยสาร International ต้องนั่ง Shuttle ไปยัง Domestic ซึ่งอารมณ์คล้ายดอนเมืองบ้านเราเลย 555 … ทานอาหารค่ำแบบง่ายๆ ในสนามบินก่อนจะขึ้นเครื่องต่อ กว่าจะถึง Sapporo ก็ค่ำแล้ว (ช่วงกลางตุลาฯ ฟ้ามืดตั้งแต่ยังไม่หกโมง) ผมใช้วิธีนั่ง taxi ไปยังที่พัก Best Western Plus Fino Chitose Hotel ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 10 กว่านาที เสียค่า taxi ไป 2,000 yen ซึ่งถือว่าแพงเอาเรื่องเมื่อเทียบกับบ้านเรา
ที่พัก Best Western Plus Fino Chitose Hotel คืนนี้เป็นโรงแรมที่ใหม่ดี แต่ขนาดก็ห้องพอๆ กับโรงแรมทั่วไปในญี่ปุ่น .. อาหารเช้าใช้ได้มีทั้ง western และญี่ปุ่น .. โรงแรมนี้อยู่ใกล้สถานี JR, จากสนามบินถ้าไม่นั่ง taxi จะใช้ JR ก็ได้โดยนั่งเพียงสองป้าย ลงที่สถานี Chitose ทั้งนี้ให้เลือกขบวนที่เป็น rapid เพราะจะเป็นขบวนด่วนไม่แวะทุกสถานี
ห้องพักที่ Best Western Plus Fino Chitose Hotel
link จองที่พัก https://www.booking.com/hotel/jp/best-western-plus-hotel-fino-chitose.html
เช้าวันนี้ผมต้องต่อเครื่องภายในประเทศอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปยัง Wakkanai (วัคคะไน) เมืองเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นโดยจาก Chitose หรือ Sapporo ไป Wakkanai ระยะทางราว 360 km หากนั่งรถไฟหรือขับรถจะใช้เวลาราว 5 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนนั่งเครื่องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง โดยบินตรงด้วยสายการบิน ANA ซึ่งเป็นเครื่องบินใบพัดลำเล็กคล้ายๆ กับที่บินจากภูเก็ตไปสมุย ทั้งนี้สภาพอากาศที่ Wakkanai ค่อนข้างแปรปรวน หากบินไปแล้วโชคร้ายอากาศไม่ดีอาจต้องบินกลับมาลงที่ Chitose อีกครั้ง … ส่วนผมโชคดีเครื่องสามารถลงจอดได้ ที่สำคัญได้ชมวิวจากทางอากาศของแหลม Soya ใกล้สนามบิน Wakkanai ซึ่งสวยมากๆ เป็นความประทับใจแรกสำหรับ Northern Hokkaido สำหรับผมเลยทีเดียว ผมแนะนำให้นั่งฝั่งขวานะครับ เพราะตลอดเส้นทางจะได้เห็นวิวสวยๆ เนื่องจากฝั่งซ้ายจะเป็นวิวมหาสมุทรซะเป็นส่วนใหญ่ อ้อ บนเครื่องไม่เสิร์ฟอาหารนะครับ มีแต่น้ำ ผู้โดยสารส่วนใหญ่คือคนทำงาน (ดูจากชุด) แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย
วิวจากเครื่องบินสวยมากครับ เสียดายนั่งผิดฝั่ง แถมไม่ติดหน้าต่างด้วย
Wakkanai เป็นเมืองทางตอนเหนือสุดของ Hokkaido ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นเมืองด้านการประมงที่สำคัญ แต่ลดบทบาทความสำคัญลงไปหลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามและต้องเสียพื้นที่ทางทะเลบางส่วนให้กับรัสเซีย … ทั้งนี้ตอนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ Sapporo บนเกาะ Hokkaido เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ที่นี่แทบไม่ได้รับผลกระทบเพราะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวค่อนข้างไกล
มาทำความรู้จักกับ จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมือง Wakkanai กันดีกว่า
แหลมโซยะ (Cape Soya) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองวัคคะไน (Wakkanai) จังหวัดฮอกไกโด ถือเป็นจุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น (นับเฉพาะส่วนที่เป็นแผ่นดินของเกาะหลักทั้ง 4) เป็นที่ตั้งของประติมากรรมรูปสามเหลี่ยม อันความหมายถึงจุดเหนือสุดของญี่ปุ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ในวันที่อากาศแจ่มใสจะสามารถมองเห็นเกาะ Sakhalin ของรัสเซียซึ่งสมัยก่อนครึ่งหนึ่งเคยเป็นของญี่ปุ่นมาก่อน
ใกล้กันมีร้านขายของที่ระลึก ด้านในเป็นห้องเย็นแสดงภาพก้อนน้ำแข็งที่ไหลมาจากรัสเซียช่วงฤดูหนาว ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว
ในบริเวณเดียวกันยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยมากนั่นคือ เนินโซยะและทางเดินแหลมโซยะ เป็นเนินทุ่งหญ้าสลับซับซ้อน มีกังหันลมที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเมือง 84 ตัวเรียงรายอยู่บนเนิน นอกจากนี้ทุ่งหญ้าบนเนินโซยะยังใช้เลี้ยงวัวสีดำ ที่เนื้อหวานซึ่งว่ากันว่าเกิดจากการได้กินหญ้าซึ่งมีคุณภาพดี โดยแต่ละปีจะส่งขายได้ราว 2,000 ตัว
ด้านบนเนินเหนือจุดถ่ายภาพมีประภาคารและร้านราเม็งหอยเชลล์ชื่อมิมิยะโด ซึ่งหอยเชลล์เป็นวัตถุดิบชื่อดังของเมือง Wakkanai ทังนี้น้ำซุปของร้านนี้จะรสจัดสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ทานเค็มแบบผม แต่ที่ปลื้มคือหอยตัวใหญ่และสดมากเลยทีเดียว
นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังสามารถพบเห็นสัตว์ป่าอย่างกวางได้ไม่ยาก เป็นเครื่องยืนยันความสมบูรณ์ของธรรมชาติในแถบนี้ ถ้าต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศให้เต็มที่และทั่วถึง แนะนำว่าต้องขับรถเที่ยว แต่ถนนแคบสักหน่อยอาจต้องหลบกันเป็นระยะ นอกจากนี้ยังเหมาะกับการปั่นจักรยานมาก โดยสามารถเช่าได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวชั่วโมงละ 500 Yen
ทางเดินแหลมโซยะที่ถนนถูกโปรยด้วยเปลือกหอยเชลล์สีขาวสะดุดตาตัดกับสีทุ่งหญ้า ท้องฟ้าและทะเล มีการเปลี่ยนใหม่ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี
ป.ล. ร้านอาหารกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะปิดให้บริการในฤดูหนาว
สถานที่ท่องเที่ยวในเมือง Wakkanai
คฤหาสน์เก่าของเซโทะ
เป็นบ้านอดีตคหบดีของเมืองซึ่งเป็นไต้ก๋งที่ร่ำรวยจากการประมงในยุคก่อน ถูกสร้างด้วยวัสดุและรูปแบบที่หรูหราเมื่อเทียบกับคนทั่วไป ภายในมีห้องให้ชม เช่นห้องเลี้ยงรับรองแขก ห้องพักของคนใช้และเจ้านาย ครัว สวนญี่ปุ่น ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่นำชมและอธิบายประวัติความเป็นมาให้ฟัง … นอกจากนี้ยังสามารถร่วมกิจกรรมชงชา อันเป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนของชาวญี่ปุ่นได้ด้วย
ป.ล. คฤหาสน์แห่งนี้อาจไม่ได้วิจิตรหรือใหญ่เท่ากับหลายแห่งทางตอนล่างของประเทศซึ่งมีความเป็นมาของวัฒนธรรมที่ยาวนานกว่า แต่ก็เป็นแหล่งความรู้ที่ดีในแง่ประวัติความเป็นมาของเมืองนี้ที่เคยรุ่งเรืองมากเมื่อครั้งอดีต
สถานีรถไฟ Wakkanai เป็นสถานีรถไฟสุดท้ายทางเหนือของญี่ปุ่น ด้านในอาคารตกแต่งใหม่เป็นศูนย์รวมร้านค้าและสถานที่ทำกิจกรรมประจำต่างๆ ของเมือง และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานการท่องเที่ยวภาคเหนือของ Hokkaido ด้วย
แนวกันคลื่นฝั่งเหนือ
เดิมเคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อน จึงต้องสร้างแนวกันคลื่นเป็นโดมโค้งเอาไว้ ส่วนในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลับกลายเป็นอีกหนึ่ง land mark ของเมืองแทน เพราะสถานีรถไฟได้ย้ายเข้ามาด้านในแล้วนั่นเอง
บรรยากาศใกล้แนวกันคลื่นก็สวยสงบดีครับ
ใกล้ๆ กับแนวกันคลื่นเป็นท่าเรือสำหรับไปเกาะเระบุนและริชิริซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล โดยส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวกันช่วงหน้าร้อนเพราะดอกไม้บานสวยงามมาก
จุดชมวิวแหลมโนชัปปุใกล้เมือง Wakkanai ตอนผมไปอากาศไม่ดี เลยไม่แห็นภูเขาริชิริ และเกาะเระบุน (เกาะซาฮารินของรัสเซียซึ่งห่างออกไปราว 48 กม.) … ที่นี่เป็นอีกหนึ่ง landmark ที่ใครมาเที่ยว Wakkanai ก็ต้องแวะมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกคู่กับทะเลและรูปปั้นน้องโลมาไว้เป็นที่ระลึก
มื้อค่ำที่ Wakkanai ผมได้ลองเมนูชาบูหมึกยักษ์มิซุทะโคที่จับได้มากใน Wakkainai และเป็นอาหารทะเลเลื่องชื่อของที่นี่ เนื้อปลาหมึกจะถูกสไลด์แบบบางๆ จุ่มกับน้ำซุบร้อนๆ 5-6 ครั้งก็เอาเข้าปากได้เลย รสชาติลื่นคอไม่เหนียวเหมือนเนื้อปลาหมึกทั่วไปครับ
คืนนี้ผมพักที่ Dormy Inn Wakkanai อยู่ใกล้สถานีรถไฟ ห้องพักค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับมาตรฐานญี่ปุ่น มีออนเซ็นให้ใช้บริการ และมี gimmick คือบะหมี่เสิร์ฟรอบดึกให้ฟรีๆ
ห้องพักของ Dormy Inn WAkkanai
Link ไปจอง https://www.booking.com/hotel/jp/dormyinn-wakkanai.en-gb.html
เช้าวันรุ่งขึ้นผมเดินทางด้วยรสบัสมุ่งลงใต้ไปยังเมือง Nayoro (นาโยโระ) โดยเส้นทางจะเลียบทะเลฝั่งตะวันตกของ Hokkaido ไปเรื่อยๆ วิวนั้นมีสลับกันไปทั้งแบบเนินหญ้าและป่าโปร่งซึ่งช่วงนี้กำลังเปลี่ยนสีสวยงามพอดี โดยลักษณะของการเปลี่ยนสีจะหนักไปทางสีเหลืองและส้มตามธรรมชาติของพืชพรรณแถบนี้ นานๆ ทีจึงเห็นสีแดงโผล่มาซักต้นนึง
เราแวะทานข้าวเที่ยงมื้อกลางวันที่ร้านเทชิโอออนเซนยุบะเอะ เป็นเมนูเอกลักษณ์คือราเมงหอยทรายรสชาติอร่อยกลมกล่อม ร้านตั้งอยู่ใกล้ทะเลสามารถมองเห็น ริชิริ Rishiri Fuji ได้ในวันที่อากาศดี โดยใกล้ๆ กันเป็นจุด camping ในช่วงฤดูร้อน
หลังมือเที่ยงก็ออกเดินทางต่อระหว่างทางใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามกว่าตอนบน โดยถนนจะถูกขนาบด้วยเนินเขาเล็กๆ และบางช่วงก็วิ่งขนาบไปกับแม่น้ำได้บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากๆ ไม่พลุกพล่านเหมือนเที่ยวในเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น
บ่ายวันนี้เรามีโปรแกรมพิเศษที่เมือง Bifuka (บิฟุกะ) เป็นกิจกรรมนั่งรถรางไปบนเส้นทางรถไฟสายเก่าที่สถานี Niupu Machiaijo รถรางแต่ละคันติดตั้งมอเตอร์จึงไม่ต้องปั่นหรือโยกให้เหนื่อย แต่ละคันนั่งได้ 2-6 คนวิ่งไปบนเส้นทางรถไฟระยะทางไปกลับ 10 ก.ม. นอกจากความสนุกแบบ adventure เล็กๆ แล้วยังได้ชมทิวทัศน์ธรรมชาติของข้างทางที่สวยมากๆ โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่กำลังพีคพอดีแบบนี้ … ทั้งนี้รถรางจะเปิดให้บริการเป็นรอบๆ ห่างกัน 1 ชั่วโมงตั้งแต่เวลา 9-16 น. แต่ช่วงเดือนกรกฏาและสิงหาจะบริการถึง 17 น. ค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 yen/คนสำหรับการจอง 2 คนขึ้นไป
ใกล้ๆ กันเป็นฟาร์มแกะที่เคยเป็นฉากในนวนิยายชื่อดังของญี่ปุ่น บริเวณโดยรอบเงียบสงบ บรรยากาศสวยมากในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี แต่แกะไม่เยอะนักและกลัวคนก็เลยถ่ายภาพใกล้ๆ ไม่ได้
คืนนี้เราพักกันที่เมือง Nayoro (นาโยโระ) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Bifuka โดยแวะทานสุกี้รสชาติเข้มข้นที่ร้านในเมือง Nayoro บรรยากาศสบายๆ สไตล์ญี่ปุ่นครับ
จากร้านอาหารเราแวะขึ้นไปยังหอดูดาวคิตะสุบะรุประจำเมือง Nayoro แต่เสียดายฟ้าปิดฝนก็ตกเลยหมดโอกาสได้เห็นดาวซึ่งว่ากันว่าเมืองนี้เป็นจุดชมดาวที่สวยมากที่สุดจุดนึงเลย อย่างไรก็ตามได้เข้าชมภาพยนต์ในท้องฟ้าจำลองซึ่งใช้เวลา 45 นาที ช่วงแรกอธิบายเรื่องหมู่ดาวต่างๆ ช่วงหลังเป็นสารคดีเกี่ยวกับยานสำรวจอวกาศ แต่บรรยายด้วยภาษาญี่ปุ่นไม่มี sub title Eng เลยน่าเบื่อไปหน่อยสำหรับผมครับ
คืนนี้ผมพักที่โรงแรม Nayoro Onsen Supillar ตั้งอยู่ในเขตป่าใกล้เมือง บรรยากาศเงียบสงบ ห้องกว้างดีแต่ค่อนข้างเก่าและมีกลิ่นบุหรี่ ที่นี่ไม่มีห้องอาบน้ำในห้องพัก ต้องไปใช้ Onsen ซึ่งอยู่ชั้นล่างของโรงแรม
ห้องพักของ Nayoro Onsen Supillar
link จองห้อง http://www.nayoro.co.jp/sunpillar/
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เราทำกิจกรรมกันในเมือง Nayoro โดยเมืองนี้ เป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศในเมืองน่ารัก บ้านเรือนไม่แออัด หลายหลังจัดสวนรอบบ้านทำให้ดูสดชื่น และเป็นเมืองที่มีสวนสาธารณะให้ผ่อนคลายกับบรรยากาศอันเงียบสงบของเมือง
ห่างตัวเมืองไปไม่ไกลเป็นแนวเขาและแม่น้ำที่ธรรมยังคงบริสุทธิ์มากๆ เราสามารถเช่าจักรยานปั่นเที่ยวในเขตเมืองและบริเวณโดยรอบได้ในราคา 1,500 Yen ที่สำคัญสามารถใช้ใบเสร็จของการใช้จ่ายภายในเมืองไปใช้เป็นส่วนลดได้สูงสุดถึง1,000 Yen นั่นหมายความว่าค่าเช่าจักรยานจะเหลือเพียงวันละ 500 Yen ซึ่งถูกมากๆ
นอกจากนี้ยังสามารถทำกิจรรมล่องเรือแคนูในแม่น้ำ Teshio ได้อีกด้วย โดยช่วงแรกจะลงเรือที่แม่น้ำ Noroyo ก่อนจะไปบรรจบกับแม่น้ำ Teshio … เรือที่ใช้เป็นแคนูแฝดนั่งได้ 6 คนผลัดกันพายแบบสบายๆ เพราะมีแรงของน้ำช่วยให้เรือไหลไปตามลำธาร สองฝั่งเป็นป่าโปร่งที่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมาก แต่ในฤดูอื่นๆ ก็อาจจะได้เห็นธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นนก, ปลา, สุนัขจิ้งจอก รวมถึงหมีด้วย
ระยะทางสั้นสุดสำหรับกิจกรรม canoe นั้นยาว 5 ก.ม. เป็น course แบบง่ายๆ ถ้าเส้นทางยาวกว่านี้จะต้องผ่านแก่งซึ่งได้ความสนุกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกระดับ แต่คงจะนั่งถ่ายภาพชิลๆ บนเรือยากสักหน่อย
อันที่จริงโปรแกรมเดิมสำหรับวันนี้ต้องเดินป่าต่อ แต่ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกทำให้ต้องยกเลิกแผนนี้ไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่เรียกว่า ECOATHLON อันหมายถึงการทำกิจกรรมผจญภัยไปพร้อมๆ กับการชื่นชมธรรมชาตินั่นเอง
บ่ายวันนี้เราเดินทางต่อไปยังเมือง Rumoi (รุโมอิ) เมืองเล็กๆ ริมฝั่งทะเลทางตะวันตกของ Hokkaido ซึ่งไปทันเวลาพระอาทิตย์ตกพอดี กิจกรรมที่เมืองนี้ภูมิใจนำเสนอคือ BBQ ไปพร้อมๆ กับการชมวิวพระอาทิตย์ตกริมทะเล โดยทางหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการท่องเที่ยวของเมืองจะจัดหา Seafood สดๆ ของดีประจำเมืองพร้อมเครื่องดื่มและอุปกรณ์ปิ้งย่างครบครัน พร้อมกับเจ้าหน้าที่คอยช่วยอำนวยความสะดวก เรียกได้ว่ามาตัวเปล่าก็สามารถสนุกสนานกับการปิ้งย่างชมวิวริมทะเลกันได้เลย ราคาต่อหัวอยู่ที่ 5,000 Yen หรือจะเลือกซื้ออาหารทะเลจากตลาดในเมืองเองก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้สามารถติดต่อได้ที่ kyousuke.hatano@city.rumoi.lg.jp หรือ kankou@e-rumoi.jp โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้จะเปิดให้บริการช่วงหน้าร้อนถึงปลายเดือนกันยายนโดยประมาณ
ในเมือง Rumoi มีร้านขายผักดองที่มีผักหลากหลายชนิดให้เลือก ใครมาลองแวะไปซื้อเป็นของฝากติดมือกันได้ครับ ชื่อร้าน Tamaka
คืนนี้ผมนอนที่ New White House Hotel ภายในเมือง Rumoi ซึ่งเป็น Business hotel ห้องพักจึงค่อนข้างแคบ แต่ก็สะอาดสะอ้านดีครับ
เช้าวันรุ่งขึ้นมีโปรแกรมทำกิจกรรมกันที่ Mashike ซึ่งอยู่ห่างออกมาจาก Ramoi เล็กน้อย เริ่มจากชมและชิมผลไม้กันแบบสดๆ ที่สวนผลไม้มารุเซนซาโต้ มีทั้งแอปเปิ้ล, องุ่น และลูกพรุน … สำหรับแอปเปิ้ลนั้นลูกโตรสชาติหวานหอมดี ส่วนองุ่นก็หวานเช่นกันทั้งแบบสีแดงและสีเขียว โดยวิธีการชิมคือให้เด็ดลูกที่อยู่ปลายสุดของช่อ ถ้าหวานก็แสดงว่าช่อนั้นรับประทานได้ ถ้าเปรี้ยวก็ให้เว้นไว้เพื่อรอให้ทั้งช่อสุกมากกว่านี้ … องุ่นทั้งสองสีที่ผมลองจะเป็นแบบเนื้อนุ่ม มีเมล็ด มีกลิ่นหอมมาก แต่ไม่ได้หวานกรอบแบบบางสายพันธุ์ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ส่วนลูกพรุนผมก็เพิ่งเคยทานแบบสดๆ ที่นี่ มีรสชาติเฉพาะไม่ได้หวานมาก เนื้อค่อนข้างเยอะ ผมว่าไม่ถูกปากเท่าแอปเปิ้ลครับ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับทานแบบไม่อั้นในสวนอยู่ที่คนละ 850 Yen แต่ถ้าต้องการนำกลับบ้านก็สามารถซื้อเพิ่มเติมได้
หลังจากชมสวนผลไม้ไปแล้ว เราเดินทางต่ออีกหน่อยมาย่านกลางเมือง Mashike ซึ่งเงียบสงบและมีบ้านเก่าแซมอยู่เป็นระยะดูแล้วมีเสน่ห์ดี หนึ่งในบ้านเก่าคือโรงบ่มสาเกชื่อดังของ Hokkaido ชื่อ Kunimare Sake … มีทายาทรุ่นที่ 3 มาแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับการบ่มสาเกให้ฟังด้วยตัวเอง ภายในอาคารส่วนหน้าเป็นโซนขายสินค้า และพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมที่แสดงข้าวของเครื่องใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนด้านในเป็นถังบ่มและมุมชิมสาเก ซึ่งถ้าถูกใจก็สามารถซื้อหากลับบ้านได้ครับ อ้อ สาเกที่นี่ดีกรีรางวัลมากมาย ดังนั้นมั่นใจได้ในคุณภาพครับ
จากโรงบ่มสาเกเราเดินไปชมบ้านคหบดีประจำเมืองตระกูลฮอนมะที่เมื่อก่อนเป็นแหล่งรวมของการขายสินค้าต่างๆ ด้านในจัดแสดงห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เหมือนเคยเห็นในหนัง … สภาพของบ้านและข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ในสภาพดีมาก และถือว่าเราโชคดีที่ได้เห็นเพราะเค้าเก็บรักษาอย่างดีในรูปแบบพิพิธภัณฑ์
มื้อเที่ยงวันนี้เราทานข้าวหน้าทะเลกันที่ร้านดังประจำเมืองชื่อซุชิ มัตซึคุระ เมนูเด็ดคือข้าวหน้าทะเลจานใหญ่ที่ใครทานหมดจะมีส่วนลดพิเศษให้ ซึ่งหนึ่งในทีมของเราก็ลองรับคำท้าดูแต่สู้ไม่ไหวครับเพราะข้าวเยอะเหลือเกิน 555 … เมนูนี้ถ้าทานกัน 2-3 คนน่าจะกำลังดี
ช่วงบ่ายของวันนี้เราเดินทางไปยังเมือง Iwamizawa แวะที่ร้านขายเครื่องปั้นเซรามิค Kobushi-Kama (โคบุชิ) ที่เปิดให้เราได้มีโอกาสไปทดลองปั้นถ้วยแก้วของเราเองได้ด้วย หากอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกทางร้านจะนำไปลงสี และเผาก่อนจะจัดส่งให้เราทาง EMS โดยมีค่าใช้จ่ายขึ้นกับระยะทาง (ส่งมาไทยน่าจะราวๆ 700-1,000 บาท)
คืนนี้เราพักกันที่ Log Hotel Maple Lodge รีสอร์ทชื่อดังของเมือง Iwamizawa ซึ่งยอมรับเลยว่าประทับใจตั้งแต่เดินเข้า Lobby เพราะตกแต่งด้วยไม้ ห้องพักกว้างขวางสไตล์ modern แต่มีกลิ่นอายของบ้านไม้ในป่าใหญ่ … โรงแรมแห่งนี้มีออนเซ็นให้บริการด้วยจึงนับว่าลงตัวสุดๆ
ที่พัก Log Hotel Maple Lodge (Highly recommended)
Link ไปจอง https://www.booking.com/hotel/jp/spa-amp-inn-the-maple-lodge.en-gb.html
มื้อค่ำที่โรงแรมวันนี้หรูหราทีเดียว โดยเมนูเป็นแบบ western บ้างหลังจากลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นมาหลายมื้อติดกัน
บริเวณด้านหน้าโรงแรมปลูกเมเปิ้ลไว้หลายต้นซึ่งกำลังเปลี่ยนสีเต็มที่พอดี มีตั้งแต่แบบสีเหลือง สีส้ม ไปจนถึงสีแดงได้บรรยากาศฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบสุดๆ .
เช้าวันสุดท้ายของทริป Hokkaido เหนือ ผมเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวน Gyokusenkan Atochi ซึ่งมีศาลาชงชาด้วย แต่ต้องโทรแจ้งล่วงหน้าถ้าหากอยากชมพิธีชงชา ส่วนเราได้ลองชงชากันแล้วตั้งแต่ที่ Wakkani ก็เลยมาชมสวนกันเฉยๆ ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่าเพราะบรรยากาศโดยรอบสวนสวยสงบมากๆ ในฤดูอื่นก็จะมีพรรณไม้ต่างๆ สลับหมุนเวียนกันออกดอกให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามกัน
ออกจากสวนเราเดินทางต่อไปยังไร่องุ่นทำไวน์ ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นปลายฤดูกาลเก็บองุ่นแล้ว เพราะหลังจากนี้หิมะจะตกทำให้ไม่สามารถเก็บองุ่นได้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงฤดูกาลในปีถัดไป … ไร่ไวน์ที่เราไปเยี่ยมชมชื่อว่า Housui Winery ซึ่งนอกจากจะได้ชมบรรยากาศสวยๆ ของไร่องุ่นสำหรับทำไวน์แล้ว ยังได้มีโอกาสลิ้มรองไวน์รสเลิศของ Hokkaido ด้วย
จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังสวนกุหลาบ Iwamizawa ซึ่งมีกว่า 630 สายพันธุ์ให้ชม แต่ช่วงที่ผมไปเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งเหลือเพียงไม่กี่สายพันธุ์ที่บาน เชื่อว่าถ้ามาช่วงฤดูร้อนระหว่างมิ.ย.-ส.ค. ที่นี่คงหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นกุหลาบหลากชนิดแน่ๆ …
มื้อเที่ยงเราทานกันที่ร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดัง Pizza Lucci ในสวนกุหลาบ เมนูเด็ดของที่นี่คือ Pizza ซึ่งก็อร่อยดีครับแต่ผมกลับชอบ Pasta ของเค้ามากกว่า
เมือง Iwamizawa มีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองด้วยรถ Taxi ซึ่งจะนำเราไปเที่ยวจุดต่างๆ ภายในเมืองแบบครึ่งวันหรือเต็มวัน ในราคาเหมาเพียง 8,000 yen (จากปกติ 22,240) สำหรับครึ่งวัน หรือจะเลือกโปรแกรมแบบเต็มวันก็ได้ในราคา 12,000 yen นั่งได้สูงสุด 4 คน ทั้งนี้คนขับแต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ เราจึงไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลหรือหลงทาง และสามารถจัดโปรแกรมให้เหมาะกับความชอบของเราได้ ซึ่งนับว่าเหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่หารกันก็ถือว่าคุ้มค่าและสะดวกมาก
ทั้งนี้คนขับรถอาจไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ แต่ทางญี่ปุ่นก็ได้เตรียมเครื่องมืออย่างเช่น app ในการช่วยแปลภาษาเอาไว้ และเชื่อว่าการพยายามสื่อสารด้วยภาษากายและการบริการอย่างเต็มใจของคนขับรถ ก็สามารถสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวดีๆ ได้เช่นกัน
ออกจากสวนกุหลาบผมแวะไปซื้อของปิดท้ายทริปที่ Rera Outlet ใกล้สนามบิน Chitose ซึ่งกว้างขวางและมีของให้เลือกพอสมควรทีเดียว แต่เนื่องจากมีเวลาแค่ชั่วโมงนึงก็เลยเดินเพียงผ่านๆ ก่อนจะกลับสนามบินเพื่อเดินทางกลับ
โดยสรุปต้องบอกว่าทริปฮอกไกโดเหนือในครั้งนี้เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่แตกต่างจากทริปญี่ปุ่นครั้งก่อนๆ … ได้พบกับธรรมชาติที่แตกต่าง ได้ชิมเมนูเด็ดประจำท้องถิ่น ได้สัมผัสวิถีชีวิตและกิจกรรมต่างๆ มากมาย ที่สำคัญเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ต้องเผชิญกับฝูงชนมากมายเหมือนเหมืองใหญ่และสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ
สำหรับคนที่เคยเที่ยวญี่ปุ่นมาหลายครั้ง ผมอยากให้ลองมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ Northern Hokkaido ดู แม้ว่าการเดินทาง การสื่อสารอาจเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่ามันจะเป็นการท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่น่าประทับใจแบบไม่ซ้ำใครแน่นอน