Black forest เป็นเขตป่าสนที่มีอาณาเขตขนาดใหญ่ของพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศเยอรมันช่วงที่เป็นรอยต่อกับฝรั่งเศส ที่ถูกเรียกว่า Black forest หรือป่าดำก็เพราะความหนาแน่นของป่าสนเมื่อมองจากมุมสูงจะดูเป็นป่าสีดำขนาดใหญ่ ต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ข้างเคียงของประเทศเยอรมัน
อันที่จริงตามแผนการเดินทางเดิมนั้น ป่าดำเป็นเพียงเส้นทางผ่านเท่านั้นแต่เนื่องจากเกาะไมเนา (Mainau) ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมาย ยังไม่มีดอกไม้ของฤดูใบไม้ผลิออกมาให้ชื่นชม ผมจึงต้องตัดออกไปจากแผนหลังจากที่ e-mail เช็คกับทางหน่วยงานที่ดูแลเกาะไมเนาและได้รับการยืนยันว่าหิมะที่ยังคงตกอยู่ทำให้ดอกไม้ต่าง ๆ ยังไม่เริ่มบานแน่ ๆ ในช่วงวันที่ผมเดินทาง
ที่พัก ณ เมือง St. Blasien ในเขตป่าดำตอนล่างจึงถูกจองแบบค่อนข้างกระทัน เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางท่องเที่ยวป่าดำ …อันที่จริงแหล่งท่องเที่ยวในป่าดำนั้นมีมากมายหลายแห่ง บางจุดเป็นสกีรีสอร์ทอันเลื่องชื่อ บางจุดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและทำกิจกรรมเดินป่าปีนเขาในช่วงหน้าร้อน อย่างที่บ่นมาในรีวิวก่อนหน้านี้แล้วว่าปีนี้นั้นความหนาวยาวนานกว่าปกติ ในเมื่อเส้นทางที่ผ่านมาซึ่งเป็นที่ราบยังคงหนาวอยู่นั้น แน่นอนว่าบนเขาสูงแถบ black forest จึงยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่เต็มไปหมด …
ทันทีที่เราเริ่มเข้าเขตป่าดำ ทิวทัศน์ที่เคยเป็นเนินสลับทุ่งราบเริ่มเปลี่ยนเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นสน กองหิมะเริ่มปรากฏให้เห็นสองข้างทางจนเพื่อนในกลุ่มอดไม่ได้ที่จะขอจอดรถลงไปถ่ายภาพกับหิมะเป็นที่ระลึก แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ลานหญ้าที่เราจอดรถใกล้ ๆ กับกองหิมะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้รถไม่สามารถเคลื่อนได้เพราะล้อหมุนฟรีเหมือนวิ่งบนโคลนไม่มีผิด เราพยายามกันหลายครั้งจนต้องยอมแพ้และตัดสินใจเดินฝ่าฝนที่กำลังลงเม็ดเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านแถบนั้น … ผมกับเพื่อนอีกคนเดินไปราว 5 นาที เพื่อน ๆ ที่เฝ้ารถก็กวักมือเรียกพวกเรากลับ เมื่อถามดูก็ได้ความว่าสาว ๆ ในกลุ่มได้ใช้ GPS ที่ติดรถมาค้นหาเบอร์ฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ของ GPS ที่ผมนึกไม่ถึง …เรารอกันอีกพักใหญ่ๆ ก็มีรถตำรวจมาถึง ไม่รู้ด้วยความชำนาญของเขาหรืออย่างไร พี่ตำรวจตัวเบิ้มใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็สามารถนำรถเราออกจากสนามหญ้าชื้นแฉะและลื่นได้ ช่วยให้พวกเราโล่งออกกันถ้วนหน้า … คุณตำรวจสองคนที่เข้ามาช่วยเหลือขอดูเอกสารเช่ารถและใบขับขี่เพื่อเป็นประกอบการบันทึกการทำงาน ผมได้โอกาสโชว์ใบขับขี่สากลที่อุตสาห์เสียค่าธรรมเนียม 500 บาททำมาจากไทย แต่คุณพี่ทำหน้างง ๆ เพราะมันเป็นเล่ม ๆ ผมเลยโชว์ใบขับขี่ปกติพี่แกบอก ok ok … อ้าวเป็นงั้นไป รู้งี้ไม่ทำมาให้เสียเที่ยว อิอิ
สองภาพแรก สองหนุ่มดีด้าที่ได้เจอะหิมะในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ ส่วนรูปสุดท้ายก็ดีใจสุด ๆ เมื่อรถขึ้นจากหล่มได้
ออกจากพื้นที่เกิดเหตุแล้วเราก็ขับรถไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้เมืองต่าง ๆ แถบนี้จะอยู่ท่ามกลางหุบเขาเหล่านี้ ซึ่งตามแผนเราจะแวะกันหนำใจในวันรุ่งขึ้น … ยิ่งใกล้จุดหมายหิมะเริ่มหนาแน่นขึ้น แม้พวกเราจะยังขยาดกับการจอดรถถ่ายภาพหิมะ แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไม่อยู่เพราะบรรยากาศสองข้างทางที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนนั้นสวยงามมากจริง ๆ เราจึงจอดถ่ายภาพกันหลายครั้งก่อนจะถึงที่พักของเราในเมือง St. Blasien
ธรรมชาติอันสวยงามของสองข้างทางในเขตป่าดำ – black forsrest
ที่พักคืนนี้เป็นบ้านแบ่งเช่าที่ผมจองผ่าน Airbnb ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นคุณป้าใจดี แนะนำทุกอย่างในบ้านอย่างเอาจริงเอาจัง ห้องพัก 2 ห้องของพวกเราอยู่บนชั้นสองของบ้าน มีห้องนั่งเล่นและครัวพร้อม ตกแต่งด้วยไม้สนดูอบอุ่นและสะอาดตา นับเป็นที่พักอีกแห่งที่เราประทับใจมากทีเดียว
มื้อค่ำคืนนี้เราทำกับข้าวทานกันเอง มาม่าร้อน ๆ กับเมนูอีกหลายอย่างบวกกับ heater ในบ้านช่วยบรรเทาความหนาวเย็นยะเยือกได้ส่งท้ายค่ำคืนนี้ได้เป็นอย่างดี
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางกันอย่างไม่เร่งรีบ โดยมีจุดหมายแรกที่ Titisee หนึ่งในทะเลสาบชื่อดังของ Black forest … ที่นี่มีร้านค้าไม่น้อย จึงพอเดาได้ไม่ยากว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ แต่ช่วงนี้อากาศยังหนาวนักท่องเที่ยวจึงยังคงบางตาอยู่ ผมเดินเก็บภาพบรรยากาศนกเป็นน้ำริมทะเลสาบอยูได้ไม่นานก็ต้องเดินหนีลมหนาวเข้าไปสมทบกับเพื่อน ๆ ในร้านกาแฟ เพื่อหาเครื่องดื่มคลายหนาว
บรรยากาศที่ Titisee
ออกจาก titisee เราเดินทางไปแวะอึกหนึ่งเมืองในหุบเขาที่ชื่อ St. Peter ตามด้วยอาหารเที่ยงที่เมือง St. Margen ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก ซึ่งจุดเด่นของทั้งสองเมืองก็คือโบสถ์ประจำเมืองนั่นเอง ทั้งนี้หากต้องการถ่ายภาพอาจจะต้องขับรถเลยออกมาตัวเมืองสักหน่อยเพื่อให้เห็นตัวเมืองทั้งหมดโดยมีโบสถ์ประจำเมืองตั้งโดดเด่นเป็นพระเอกในภาพ รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวซึ่งในหน้าร้อนจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีเหลืองทอง และมีฉากหลังเป็นยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมสวยงามมีมนต์เสน่ห์ไม่แพ้แถบสวิส ฯ หรือออสเตรียเลยทีเดียว
วิวระหว่างทางและ St. Peter & St. Margen สองเมืองสวยกลางหุบเขา Black forest
เมืองสุดท้ายของ Black forest ที่เราแวะคือเมืองแห่งนาฬิกากุ๊กกู ชื่อเมือง Triberg ทั้งนี้นอกจากจะมีนาฬิกาเป็นของขึ้นชื่อของเมืองแล้วยังมีน้ำตกเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวเข้าไปชื่นชมความสวยงาม แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมน้ำตกเพราะดูจากภาพและอ่านรีวิวแล้วก็คิดว่าไม่ได้สวยชนิดพลาดไม่ได้ การมาเมืองนี้จึงปิดท้ายด้วยของดีอีกอย่างของเมืองนั่นก็คือ เค้ก black forest ต้นฉบับนั่นเอง … กว่าจะหาร้านได้ก็ต้องช่วยกันมองอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็หาจนเจอและก็ไม่ผิดหวังครับ เนื้อเค้กที่นี่นุ่มเนียนลิ้นมาก ๆ ในเนื้อเค้กน่าจะมีส่วนผสมของเหล้ารัม (หรืออะไรสักอย่างที่เป็นแอลกอฮอล์) ทำให้มีกลิ่นหอมและให้ไออุ่นได้ดีจริง ๆ
ปิดท้ายที่ Triberg
ได้ชิมของดีประจำเมืองกันแล้วเราก็โบกมือลา Triberg จุดหมายสุดท้ายของเส้นทางใน black forest ไปยังที่พักคืนนี้ที่อยู่ใกล้เมือง Strasbourg ซึ่งนับเป็นการย้อนกลับเข้าไปยังฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง … สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่า black forest มีมนต์เสน่ห์จริง ๆ และคิดว่าต้องหาโอกาสกลับมาเยือนอีกครั้งในหน้าร้อนปีใดปีหนึ่งให้จงได้