ใคร ๆ ก็ไปสิงคโปร์กัน แต่ผมเองกลับไม่เคยได้มีโอกาสไปเยือนเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคนี้เลยสักครั้ง แม้ว่าการเดินทางสุดแสนจะสะดวกเพราะอยู่ใกล้ภูเก็ตบ้านของผมมากก็ตาม … ทำไมผมไม่คิดจะไปนะเหรอ ??? ก็คนที่กลับมาก็มักจะพูดแต่เรื่อง shopping หรือไม่ก็ Universal studio ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปกระตุกต่อมท่องเที่ยวของผมให้ทำงานได้เลย…
แต่แล้วโชคชะตาฟ้าลิขิตทำให้ผมต้องไปเยือนที่นี่แบบแทบจะไม่มีเวลาตั้งตัว งานนี้จึงได้เวลาที่จะหาคำตอบซักที ว่าทำไมใคร ๆ ก็ไปสิงคโปร์ ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะ blog 9MOT.com ของผมได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จากการประกวด Bloscars Travel Awards 2014 ที่จัดโดย SkyScanner ซึ่งเป็น Search engine ตั๋วเครื่องบินระดับโลก และรางวัลสำหรับผมก็คือตั๋วเครื่องบินไปร่วมงานมอบรางวัลที่สิงคโปร์พร้อมที่พัก แล้วจะให้ปฏิเสธได้อย่างไรจริงไหมครับ 🙂 การเดินทางไปสิงคโปร์ครั้งนี้ผมบินด้วย SILK air ซึ่งต้องยอมรับว่าที่นั่งกว้างขวางสะดวกสบายทีเดียว โดย Flight ของผมถึงสิงคโปร์บ่ายโมงตรง และใช้เวลาในการผ่านระบบศุลกากรอย่างรวดเร็ว สมกับเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว …
ผมใช้เวลาในการหา Ground transport desk เพื่อติดต่อ shuttle bus ไปโรงแรมอยู่สักพัก เพราะจำผิดคิดว่าเครื่องลง terminal 1 เลยพิมพ์ map ของ airport มาผิดใบ … เจ้าหน้าที่สนามบินให้สติกเกอร์เล็ก ๆ ของโรงแรม Grand Mercure Roxy ที่พักของผม แล้วชี้ทางไปยังชานชลารถบัสซึ่งอยู่ด้านนอกอาคาร โดยบอกว่าให้ขึ้นรถที่ชานชลา 9 ที่ชานชาลา 9 มีรถจอดรออยู่แล้ว แต่คนขับโบกมือให้สัญญาณว่าไม่ใช่รถมารับเอ็งทันทีที่เห็นผมกำลังจะตะเกียกตะกายขึ้นรถ … อ้าวแล้วไงล่ะเนี่ย ชักใจไม่ดี แต่ดูเวลาแล้วยังเหลืออีกราว 15 นาทีจึงได้เวลานัด จึงเดินไปดูทุกชานชาลาจนแน่ใจว่าไม่มีรถคันไหนเป็นรถ shuttle ของโรงแรมแน่ ๆ … จนถึงเวลาบ่าย 2 โมงตามกำหนดรถออก ผมก็ยังยืนรอด้วยใจหวั่น ๆ ว่าคงโดนรับน้องซะแล้ว และกำลังคิดว่าจะไป taxi หรือนั่งรถไฟฟ้าดี แต่แล้วรถ shuttle ของโรงแรมก็มาชะลออยู่โดยไม่ได้เข้ามาจอดที่ท่ารถ ผมรีบเสนอหน้า แสยะยิ้มโดยทันที เป็นอันว่าภารกิจแรกคือเดินทางไปยังโรงแรมนั้นผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะนอยด์เล็ก ๆ เพราะคาดหวังว่ารถจะตรงเวลาเหมือนรถไฟที่ swiss อิอิ รถ shuttle ของโรงแรม Grand Mercure Roxy นำผมมุ่งหน้าสู่โรงแรม ผ่านถนนที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน แถมร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอดเส้นทาง นับเป็นความประทับใจแรกของผมที่มีต่อประเทศนี้ 🙂 … การเดินทางใช้เวลาเพียง 25 นาทีก็ถึงโรงแรม ซึ่งนับว่าสะดวกและประหยัดมาก ๆ เลยทีเดียวเพราะบริการนี้ฟรีสำหรับแขกของโรงแรมทุกคน
โรงแรม Grand Mercure Roxy ตั้งอยู่ระหว่างย่านศูนย์กลางธุรกิจกับสนามบิน มีรถเมล์ชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญใจกลางเมืองไม่ว่าจะเป็น Marina bay, China town, Orchard ส่วนสถานี MRT ก็สามารถนั่งรถเมล์ป็นช่วงสั้น ๆ ไปต่อได้ หลังจาก check in เรียบร้อยแล้วผมก็นำสัมภาระไปเก็บบนห้อง แล้วก็ได้เวลาออกสำรวจสิงคโปร์โดยมีจุดหมายแรกของวันนี้คือ China Town … ผมข้ามถนนเพื่อไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโรงแรม แต่ก็แวะซื้อ EZlink บัตรอเนกประสงค์ที่ 7Eleven ก่อนเพื่อใช้ชำระค่ารถเมล์และ MRT ระหว่างที่อยู่สิงคโปร์ (อันที่จริงถ้าซื้อจากสถานีรถไฟฟ้า บัตรนี้จะขายที่ 15 SGD โดยมีมูลค่าที่ใช้ได้ 10 SGD และเป็นค่าบัตรแบบคืนไม่ได้ 5 SGD แต่ถ้าซื้อที่ 7Eleven มีขายแบบ 10 SGD และมีมูลค่าในบัตร 5 SGD หากเดินทางเยอะกว่ามูลค่านี้ต้องเติมเงิน โดยผมก็เติมที่ 7Eleven นั่นแหละ 10 SGD โดยมีค่าเติม 0.5 SGD ซึ่งคิดว่าเพียงพอสำหรับ 3 วันในสิงคโปร์ เมื่อได้บัตรแล้วก็รอรถเมล์ที่สถานี ซึ่งข้อดีก็คือมีป้ายบอกเวลาโดยประมาณที่รถสายที่รอจะมาถึง พอรถสายที่ต้องการมาผมก็ปล่อยไก่ตัวแรกในสิงคโปร์โดยการขึ้นประตูกลางรถ เพราะคิดว่าเหมือนบ้านเรา แต่ที่นี่เขาขึ้นกันประตูหน้า อิอิ นี่ขนาดอ่านข้อมูลมาบ้างแล้วนะว่าต้องไม่ลืม scan บัตรทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ไม่เห็นมีบอกนี่นาว่าต้องขึ้นประตูหน้าเท่านั้น 5555 … รถเมล์ของที่นี่มีทั้งแบบ 1 ชั้นและ 2 ชั้น ความสะดวกภายในก็ประมาณรถไฟฟ้า MRT บ้านเรานี่แหละครับ … ผมนั่งชมวิวสองข้างทางของเมืองสิงคโปร์ไปก็อดคิดไม่ได้ว่า ตึกรามบ้านช่องเก่า ๆ ของเขานี่เหมือนภูเก็ตบ้านผมมาก หากแต่ที่นี่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม .. ก่อนมาผมคิดว่าที่นี่คงคล้ายฮ่องกง แต่ที่ไหนได้ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่ามาก โดยเฉพาะที่ China town นี่ทำให้ผมเกือบลงรถเมล์แทบไม่ทันเพราะไม่คิดว่าจะดูสะอาด สงบ และดูไม่จอแจแม้แต่น้อย ทีแรกจินตนาการไว้ว่าคงมีผู้คนคับคั่ง ร้านค้ายุบยับ ที่ไหนได้ ช่างเป็น China town ที่ดูผู้ดีเสียจริง ๆ
จากป้ายรถเมล์เดินไปไม่ไกลก็ถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว หนึ่งในศาสนสถานอันเป็นที่เลื่อมใสของชาวสิงคโปร์ จุดเด่นของที่นี่นอกจากอาคารแบบจีนสีแดงขนาดใหญ่แล้ว ภายในประดับด้วยสีทองอร่าม ผนังแต่ละด้านประดับด้วยพระพุทธรูปขนาดเล็กจำนวนมาก ตลอดเวลาที่ผมถ่ายภาพอยู่ที่นั่นก็เห็นชาวสิงคโปร์เดินทางมาสักการะไม่ขาดสาย ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่นั่นก็ให้ความสำคัญกับที่พึ่งทางใจไม่ต่างกับคนไทย
จากวัดพระเขี้ยวแก้วผมเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยเพื่อชมวัดแขก ซึ่งเห็นปั๊ปก็รู้เลยว่าใช่แน่ เพราะการออกแบบซุ้มทางเข้าก็ไม่ต่างกับวัดแขกบ้านเรา คือมีรูปปั้นต่าง ๆ เทพเจ้าและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู เสียดายที่ผมมีเวลาไม่มากนักจึงได้ถ่ายภาพเฉพาะทางเข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากจะถ่ายภาพด้านในต้องเสียค่าธรรมเนียมเล็กซึ่งผมคิดว่าไม่คุ้มถ้ามีเวลาไม่นาน ภาพบรรยากาศด้านหน้าวัดแขก
หลังจากเก็บภาพบรรยากาศของบ้านเรือนแถบ China town แล้วก็ได้เวลาตามหาร้านข้าวมันไก่ Tian Tian ชื่อดังของสิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์อาหาร Maxwell เยื้อง ๆ กับวัดพระเขี้ยวแก้วนั่นเอง เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็มองหาร้านที่มีคนต่อคิวเยอะ ๆ นั่นแหละใช่เลย อิอิ … ตอนผมไปก็ต้องต่อคิวราว 15 นาทีถึงจะได้ทาน สำหรับข้าวมันไก่นั้นจานละ 3.6 SGD รสชาติอร่อยดีครับ เนื้อไก่นุ่มไม่แห้งเกินไป และให้มาเยอะจนเกือบทานไม่หมด ทั้งนี้จะเสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุบและน้ำจิ้ม 2 อย่าง อร่อยไปคนละแบบ … แต่หากจะว่ากันตามจริงก็ไม่ได้อร่อยถึงขั้นลืมโลกนะครับ ดังนั้นอย่าตั้งความหวังไว้สูง ไม่งั้นอาจจะพาลหงุดหงิดได้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าข้าวมันไก่ประตูน้ำบ้านเราก็อร่อยไม่แพ้กัน อิอิ
อิ่มหมีพีมันแล้วผมก็เดินผ่านซอยเล็ก ๆ ย่าน China town เพื่อไปขึ้นรถบัสสายเดียวกันบนถนนอีกเส้นที่ขนานกับเส้นขามา ระหว่างทางผ่านร้านติ่มซำ Takpo ที่จดมาในโพยด้วย เสียดายที่ไม่เหลือพื้นที่ในท้องแล้ว แถมมีนัดที่โรงแรมด้วยก็เลยต้องจำใจเดินผ่าน ไปแบบเสียมิได้ T T ขากลับเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงาน รถจึงติดมากกว่าตอนขามา แต่ก็ถือว่าดีกว่าบ้านเรามากเพราะยังไปได้เรื่อย ๆ ไม่ติดหนึบเป็น 10 นาที ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าการจัดการด้านขนส่งมวลชนของเขานั้นดีกว่าบ้านเราหลายขุม ระหว่างทางขากลับก็ยังผ่านอาคารสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์, สุเหร่า, ตึกเก่า, สวน และอาคารใหม่ ๆ ที่ออกแบบได้แปลกตามากมาย เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ดูกลมกลืนและสวยงามทีเดียว
ผมกลับมาถึงโรงแรมช้าไปกว่าเวลานัดเกือบชั่วโมง เพราะมัวแต่เพลินกับข้าวมันไก่กับการเที่ยวชม China town … แต่โชคดีที่ผู้บริหารของทางโรงแรมยังคงจับกลุ่มพูดคุยกับเหล่า blogger ประเทศต่าง ๆ ที่ห้องอาหาร ผมจึงได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่จัดโดย Grand Mercure Roxy ด้วย … เดิมทีผมคิดว่าเป็นการเลี้ยง cocktail เท่านั้น แต่ที่ไหนได้ทาง Grand Mercure จัดมื้ออาหารค่ำแบบเต็มที่ เสียดายที่ผมอิ่มมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงได้ลิ้มลองเพียงสลัดกับซุปเห็ดเท่านั้น ซึ่งนอกจากหน้าตาจะดูดีมีสกุลแล้ว รสชาติยังเยี่ยมยอดอีกด้วย โดยเฉพาะซุปเห็ด … คิดไปก็เสียดาย น่าจะเอาข้าวมันไก่ไว้มื้ออื่น อิอิ Welcome dinner ของทางโรงแรม
ในขณะที่เพื่อน ๆ blogger ประเทศอื่นเข้าห้องพักเพื่อเก็บแรงไว้วันรุ่งขึ้น ผมปลีกตัวเดินทางเข้าเมืองอีกครั้ง โดยคราวนี้มีจุดหมายที่ Marina Bay เพื่อไปเก็บภาพแสงไฟยามราตรีของสิงคโปร์ … จากโรงแรมใช้รถบัสสาย 36 มาลงที่ Esplanade หรือที่คนไทยเราคุ้นเคยกันในชื่อตึกทุเรียน จากนั้นก็เดินทะลุมายังลานแสดงคอนเสิร์ตซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นโรงแรม Marina Bay Sands ได้อย่างชัดเจน ซึ่งรอไม่ถึง 10 นาทีการแสดง Wonderful show รอบสองของวันก็เริ่มขึ้นพอดี ผมจึงได้โอกาสเก็บภาพแสงสวย ๆ ของการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ แต่การชมจากจุดนี้จะไม่สามารถได้ยินเสียงบรรยาย รวมถึงไม่มีโอกาสได้เห็นการฉายภาพบนน้ำพุซึ่งต้องชมจากฝั่งเดียวเดียวกับตัวโรงแรม
หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงแสงสีแล้ว ผมเดินเก็บภาพริมอ่าว Marina bay อีกพักใหญ่ ซึ่งในช่วงนี้มีการแสดง lighting จากวัสดุเหลือใช้ ดูสวยงามดีทีเดียว เรียกได้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนเต็มที่เพื่อให้ย่านนี้เป็นแหล่งของการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
เกือบเที่ยงคืนแล้วผมจึงตัดสินใจกลับโรงแรม แต่ก็ดันมาเจอปัญหาว่า ณ ป้ายที่ผมลงนั้นเป็นถนน one way และหาไม่เจอว่าขากลับจะต้องไปขึ้นรถเมล์ที่ไหน หลังจากการเดินเสาะหาป้ายรถเมล์และสอบถามคนท้องถิ่นที่เดินไปเดินมาแถบนั้น ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยว่าจะขึ้นรถสาย 36 กลับไปยังโรงแรมได้ยังไง T T … ในที่สุดก็ตัดสินใจขึ้นรถ taxi ตามคำแนะนำของสาว ๆ ชาวสิงคโปร์กลุ่มหนึ่งที่หาข้อมูลให้ว่านั่ง taxi กลับน่าจะดีที่สุดโดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 9 SGD .. คิดดูแล้วก็ ok ดีกว่าเดินหาป้ายรถกันทั้งคืนแบบนี้ รถ Taxi ใช้เวลาราว 15 นาทีก็ถึงโรงแรม ซึ่ง meter นั้นบอกราคาที่ 8 SGD กว่า ๆ ผมแอบดีใจที่ได้ราคาถูกกว่าที่ได้ข้อมูลมา แต่ยังไม่ทันลงรถ เงินที่ meter ก็วิ่งพรวดขึ้นไป 13 SGD กว่า … เฮ้ย ทำไมเป็นแบบนี้หว่า แต่ทำไงได้นั่งมาแล้วและก็เหนื่อยเต็มที เลยจ่ายเงินแต่โดยดี ทั้งนี้มาทราบภายหลังว่าเป็น surcharge สำหรับการขึ้นรถที่ business zone 3 SGD และ surcharge ข่วงเวลาพิเศษ (ดึก ๆ) อีก 25% … ดังนั้นจะใช้บริการ taxi ก็ต้องทำใจเรื่องค่าโดยสารหน่อยนะครับ คืนแรกในสิงคโปร์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่ายังหลับไปเต็มอิ่มก็เช้าซะแล้ว L … มื้อเช้าวันนี้ผมใช้บริการที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งรูปแบบก็เป็น buffet เหมือน City hotel ทั่วไป มีอาหารหลากหลายพอสมควร ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่ง modern ที่ให้อารมณ์แบบจีน ๆ หน่อย แต่ที่ชอบก็คือมีกาแฟสดให้นี่แหละ อิอิ
ผมลงมาถึง lobby ก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย (แก้ตัวที่เมื่อวานไป late เกือบชั่วโมง คริคริ) … ซึ่งทีมงานจาก SkyScanner ที่วันนี้จะเป็นเจ้าภาพพาเหล่า blogger ชมเมืองสิงคโปร์มารอเราอยู่แล้ว … ผมกับ blogger อีก 3 คน เป็นชาวอินโด ฯ หนึ่งคน, สิงคโปร์หนึ่งคนและออสเตรเลียอีกคน นั่งรถตู้ไปพบกับ blogger ชุดอื่น ๆ ณ ที่นัดหมาย Singapore flyer ชิงช้าสวรรค์อันเลื่องชื่อของสิงคโปร์ … ทั้งนี้เราไม่ได้ขึ้นกระเช้ากันนะครับ แต่เรามาขึ้นรถบัสชมเมืองกันที่นี่ ถึงแล้ว … Singapore flyer
สำหรับ City tour ในวันนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Duck & Hippo tour โดยเราได้ชมเมืองแบบนั่งรถบัส 2 ชั้นเปิดประทุน ชมวิวกันแบบเต็มตาเลยทีเดียว
เมื่อเหล่า blogger มากันโดยพร้อมเพรียงแล้ว ก็ทยอยกันขึ้นรถซึ่งมีองชั้น ชั้นล่างเป็นแอร์ ส่วนชั้นบนเป็นแอร์ในตอนหน้าและด้านหลังเปิดประทุน ซึ่งแน่นอนว่าคนชอบถ่ายภาพก็ต้องจับจองที่นั่งโซนนี้เพื่อให้ถ่ายภาพได้สะดวกที่สุดโดยไม่มีอะไรมาบดบัง แต่ก็ต้องแลกกับการต้องนั่งรับแดดแบบเต็ม ๆ อิอิ … เส้นทางของบัสมีด้วยกัน 3 สาย ผ่านจุดที่สำคัญต่าง ๆ กันไป ในวันนี้รถของเราใช้เส้นทางสายสีเขียว รถเริ่มออกเดินทางผ่านถนนสายเดียวกับที่ผมเดินทางมายัง Marina Bay เมื่อคืน จากนั้นก็ค่อย ๆ แล่นผ่านย่านสำคัญต่าง ๆ อาทิ Merlion, China Town, Clarke Quay, Botanic Garden, ถนน Orchard, และวนกลับมาที่เดิมที่ Singapore flyer อีกครั้ง
เราลงจากรถที่หน้า Esplanades ที่เดียวกับที่ผมลงรถเมล์เมื่อคืนเป๊ะ จากนั้นก็เดินต่อไปถ่ายภาพตึกสวย ๆ ของสิงคโปร์คู่กับเหล่า Mascot จากโรงแรมในเครือ IBIS ในฐานะผู้สนับสนุนที่พักสำหรับ blogger ในครั้งนี้ ทราบมาว่าหนึ่งในโรงแรม IBIS ของที่นี่ให้ลูกค้ายืมใช้มือถือพร้อม SIM card สำหรับโทรในประเทศและใช้ internet ด้วย เรียกได้ว่าสุดยอดเอาใจลูกค้าขา social media เลยจริง ๆ ซึ่งทั้งนี้ไม่ได้แจกเฉพาะคณะ blogger นะครับแต่แจกแขกทุกห้องเลยทีเดียว (น่าอิจฉา)
จากท่าน้ำฝั่งตรงข้าม Marina Bay Sands เราเดินข้ามสะพานเพื่อถ่ายภาพเจ้า Merlion สัญลักษณ์ดั้งเดิมของประเทศสิงคโปร์ … ที่นี่เป็นอีกจุดที่ผมหมายตาไว้ว่าจะมาถ่ายภาพแสงไฟยามค่ำ เสียดายที่เมื่อคืนมองไม่เห็นเพราะโดน container ของงานก่อสร้างสะพานใหม่สำหรับคนเดินบดบังอยู่ หากมีเวลา คืนนี้คงต้องมาถ่ายภาพมุมนี้ให้ได้ เนื่องจากเจ้า Merlion เพิ่งจะบำรุงรักษาเสร็จ จึงไม่ยอมพ่นน้ำเหมือนกับภาพที่เคยเห็นบ่อย ๆ แต่ก็นับว่ายังโชคดีเพราะเพื่อนผมบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้ายังโดนคลุมผ้าใบไว้อยู่เลย อิอิ …
ทิวทัศน์บริเวณ Marina Bay
เมื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันแล้วก็ได้เวลาลงเรือชมเมืองกัน … เรือออกจากท่าเรือบริเวณ Merlion และแล่นไปยังท่า Clarke Quay โดยผ่านสถานที่น่าสนใจหลาย ๆ แห่ง ซึ่งมีการบรรยายให้ฟังเป็นระยะ แต่ผมไม่ค่อยมีสมาธิได้ฟังนักเพราะมัวแต่เก็บภาพของตึกรามบ้านช่องริมน้ำเสียมากกว่า … วิวจากบนเรือ
ใช้เวลาเพียงแค่สั้น ๆ เราก็มาถึงท่าเรือปลายทาง ซึ่งจุดนี้ดูเหมือนจะเป็นพลาซ่าที่ออกแบบตึกสไตล์โคโลเนียน มีร้านค้าร้านอาหารเรียงรายอยู่ริมน้ำ เหมาะกับคนชอบถ่ายภาพเพราะสีสันสวยงามดี … ตึกสวย ๆ ที่ Clarke Quay
จากที่นี่เราเดินไปเล็กน้อยเพื่อทานอาหารเที่ยงแบบ Buffet ที่ Novotel Clarke Quay ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรงแรมในเครือ Accor ที่สนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ อาหาร Buffet ของที่นี่มีหลากหลายทั้ง อาหารพื้นเมือง, อาหารญี่ปุ่น และอาหารแบบตะวันตก … ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ผมเห็นส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่ใช้เป็นสถานที่เลี้ยงรับรองและพูดคุยงาน โดยมีโต๊ะพิเศษจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน นับเป็นโอกาสดีที่ได้ลองอาหารหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะอาหารพื้นเมือง แต่จากที่สอบถามจากเพื่อน blogger ชาวสิงคโปร์เขาแนะนำว่าถ้าจะทานรสชาติดั้งเดิมคงต้องไปร้านริมทางจะดีกว่า ผมจึงได้แค่เพียงลองอย่างละนิดหน่อยให้พอรู้รส ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับอาหารที่ภูเก็ตบ้านเผมอยู่มาก อาจเป็นเพราะมีวัฒนธรรมของจีนและมลายูผสมผสานอยู่เหมือนกันนั่นเอง
หลังจากชิม Tapas หลากหลายชนิดแล้ว ก็ได้เวลาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับเหล่า blogger และทีมงานจาก SkyScanner และ Accor
โปรแกรมชมเมืองของเราจบเพียงเท่านี้ เราถูกปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่ช่วงบ่ายจะไปเยี่ยมชม office ของ SkyScanner ซึ่งได้มีการมอบรางวัลให้กับผู้ชนะของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ผมเองก็ได้รับมอบรางวัลด้วยแต่รับแทนให้กับที่หนึ่งของประเทศไทย อิอิ … บรรยากาศที่ SkyScanner office ช่างเป็นบรรยากาศการทำงานที่ดูเพลิดเพลินจริง ๆ
หลังจากพิธีมอบรางวัล ก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างทีมงานกับ blogger ที่ร้านอาหารในบรรยากาศแบบเป็นกันเอง นับเป็นอีกช่วงเวลาที่ดีที่ได้มีโอกาสทำความรู้จักและพูดคุยกับเพื่อนๆ blogger จากไทยและต่างชาติ ได้มีโอกาสเห็นวัฒนธรรมการทำงานของชาวสิงคโปร์ที่มีหลากหลายเชื้อชาติ ทำงานหนักแต่ก็เฮฮาเต็มที่เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ผมเองก็อยากให้คนไทยเรามีวัฒนธรรมในการทำงานแบบนี้เหมือนกัน เสร็จจากงานเลี้ยงผมกับเพื่อน blogger ชาวไทยอีก 2 ท่านตกลงใจกันว่าจะไปถ่ายภาพกันที่บริเวณ Marina Bay อีกครั้งจากมุมที่ Merlion แล้วค่อยเดินไปต่อจนถึงสะพาน Helix … เรานั่ง Taxi กันไปเพราะน่าจะคุ้มกว่าการเดินไปหารถเมล์หรือนั่ง MRT ซึ่งกว่าจะพูดคุยกับคนขับ Taxi รู้เรื่องว่าเราจะไป Merlion (เราอ่านว่า เมอร์-ไล-อ้อน) ก็ใช้ความพยายามอยู่ตั้งนานจนสุดท้ายต้องเอาแผนที่มาชี้ให้ดู ก่อนจะลงรถก็เลยถามคนขับ Taxi ว่า ไอ้เจ้าสิงโตหางปลาตัวนี้ชาวสิงคโปร์ออกเสียงว่าอะไร เขาบอกว่า เมอร์-เล-อ้อน … เออ.. ที่จริงมันก็คล้ายกันนี่น่า หรือเราออกเสียงไม่ดีหว่า 555 มาถึงแล้วก็ไม่รอช้ายึดพื้นที่ถ่ายภาพกันอย่างเมามัน ผมเองก็ได้มุมใหม่เพิ่มเติมจากคืนก่อนพอสมควร และเมื่อเห็นว่าเริ่มดึกแล้วจึงเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ลัดเลาะไปตามริมฝั่งของ Marina bay ซึ่งผมเองก็มาแล้วในคืนก่อน มุ่งหน้าสู่สะพาน Helix อีกหนึ่ง check point ที่ต้องมาถ่ายภาพ เพราะจากมุมนี้ จะเห็นสีสันของสะพานที่ต่อเนื่องไปยังโรงแรม Marina Bay Sands สวยงามมาก
หลังจากเก็บภาพกันจนดึก ก็ได้เวลาโบกมือลาเพื่อน ๆ กลับไปยังที่พักของแต่ละคน ผมตัดสินใจนั่ง taxi เพราะไม่อยากเสียเวลาหาป้ายรถเหมือนคืนก่อน ซึ่งในคืนนี้นี่เองที่จับตาดูที่ meter อย่างใกล้ชิด จนได้รู้ว่า surcharge นั้นมีค่าอะไรบ้าง อย่างน้อยก็สบายใจว่าเขาไม่ได้กด charge แบบมั่ว ๆ แต่มีอัตราที่กำหนดไว้แล้ว คืนที่ 2 ผมหลับสบายกว่าคืนแรกมาก อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียจากความสมบุกสมบันตลอด 2 วัน แต่จะให้หยุดเพียงแค่นี้คงไม่ใช่ 9MOT … โปรแกรมวันนี้จึงถูกอัดแน่นไปจนถึงเย็นซึ่งเป็นเวลาขึ้นเครื่องเลยทีเดียว … ทั้งนี้หลังจากทานอาหารเช้า ผมก็จอง Shuttle bus เพื่อไปยังสนามบินรอบ 16:30 ซึ่งจะไปส่งยัง terminal 2 (ใจจริงอยากไปรอบ 17:00 น. แต่รถไม่จอดที่ terminal 2 ก็เลยต้องยอมไปเร็วขึ้น) วันนี้ผมมีโปรแกรมไปเยือนแหล่ง shopping ย่านถนน orchard และไปชม Gardens by the bay ซึ่งโชคดีที่ทางโรงแรมมีรถ Shuttle ไปที่ถนน Orchard ด้วย ผมจึงลงชื่อจองรอบแรกไว้ซึ่งออก 10:00 น. … เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือผมจึงเดินข้ามไปยัง shopping mall ฝั่งตรงข้ามโรงแรม เพื่อไปลองชิม Kaya Toast ขนมปังสังขยาสูตรของสิงคโปร์ ซึ่งจากข้อมูลที่หามา สาขาของร้านดัง Ya Kun Kaya Toast ก็เปิดอยู่ที่นี่นั่นเอง …
ที่ร้าน Ya Kun สาขานี้ถูกปรับแต่งให้ดู modern เข้ากับ life style ยุคใหม่ แต่สังเกตคนในร้านก็มีทุกรุ่น แสดง Kaya Toast นี่เป็นอาหารของทุกผู้ทุกวัยในสิงคโปร์จริง ๆ … ทั้งนี้ผมลองสั่ง Kaya Toast แบบที่เป็นขนมปังอบไอน้ำ ทานคู่กับชาร้อน … ระหว่างรอก็แอบดูกระบวนการชงชา ดูคล่องแคล่มกระฉับกระเฉงดี มีการใช้น้ำร้อนราดตรงปากแก้วก่อนเสิร์ฟให้กับเรานับเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจดี … สำหรับตัว Kaya Toast จะนำมาเสิร์ฟให้ภายหลังที่โต๊ะ ทั้งนี้ลูกค้าหลาย ๆ คนจะสั่งเป็นชุดคือมีไข่ลวกมาให้ด้วยดูน่าทานดีเหมือนกัน แต่ผมอิ่มอาหารเช้าแล้วก็เลยอยากลิ้มลองแค่ขนมปัง … Kaya Toast ที่นี่เสิร์ฟแบบเป็นเข่งคล้ายติ่มซำบ้านเรา ด้านในมีขนมปังใส้สังขยามาให้ 4 ชิ้นเล็ก ๆ รสชาติอร่อยถูกปากดีครับ … สิ่งที่แตกต่างจากบ้านเราคือเขาจะใส่เนยแข็งชิ้นหนา ๆ ด้วยทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป นับเป็นอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสิงคโปร์ครับ อิ่มอร่อยแล้วก็เดินย้อนกลับมาขึ้นรถที่โรงแรม ซึ่งรส Shuttle ได้นำผู้โดยสารบางส่วนไปแวะส่งที่โรงแรม Marina Bay Sands ก่อน จากนั้นจึงค่อยส่งเราที่สุดถนน Orchard ย่านแห่งการ shopping ของสิงคโปร์ … ผมเดินเข้า ๆ ออก ๆ ห้างใหญ่หลาย ๆ ห้าง แต่ก็ไม่ได้จับจ่ายอะไร เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนมที่ไม่ได้มีโปรโมชั่นอะไรพิเศษในช่วงนี้ ผมเดินชมเมืองไปถ่ายภาพไปจนเกือบสุดสายถนน Orchard ก็ตัดสินใจขึ้น MRT ไปที่ ANCHOR POINT ซึ่งเป็น Outlet ของสินค้าแบรนด์ Charles & Keith อันโด่งดังของสิงคโปร์ การเดินทางก็ไม่ยากเย็นอะไร เพียงนั่ง MRT มาลงที่สถานี Redhill จากนั้นข้ามถนนไปขึ้นรถบัสฝั่งตรงข้าม แล้วนั่งเมล์สาย 33 ไปอีก 4-5ป้ายเพื่อลงที่ IKEA ทั้งนี้ป้ายรถเมล์จะถึงก่อน IKEA เล็กน้อยหากไม่ระวังอาจเลยได้ ยังไงก็ให้หาที่นั่งตอนหน้าของรถเมล์นะครับจะได้เห็นชัด ๆ … เมื่อลงแล้วอาคาร Anchor Point จะอยู่ฝั่งตรงข้าม IKEA เลย ที่ Anchor Point เป็นอาคารดูเก่า ๆ แตกต่างจากที่คิดพอสมควร ร้านค้าด้านในก็เหงา ๆ ไม่ครึกครื้นเท่าไหร่ มีสินค้า Brand ต่าง ๆ อาทิ Fox, Giodano, Timberland แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็น Charles & Keith ซึ่งระหว่างที่ผมอยู่ที่ร้านก็มีคนไทยเข้าออกไม่ขาดสาย แต่ละคนก็ช็อปกระเป๋าและรองเท้าคนละหลายใบ … อันที่จริงสินค้าบางอย่างก็เป็นสินค้าราคาปกติ แต่เนื่องด้วยตัวสินค้าเองดูดีและราคาไม่แพง อาทิกระเป๋าของบรรดาสาว ๆ แค่พันนิด ๆ ก็ได้ใบสวย ๆ แล้ว ก็เลยเป็นสวรรค์สำหรับสาว ๆ ขาช็อปเลยทีเดียว ออกจาก Charles & Keith ก็นั่ง MRT กลับไปย่าน Orchard เพื่อต่อ MRT อีกสายไปยัง Gardens by the bay .. สถานีรถไฟโซนนี้จะมี Circle line ที่วิ่งให้บริการในย่าน Marina Bay เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ กว่าจะถึง Gardens by the bay ได้ก็ต้องต่อรถกับเดินอีกพอสมควร …
ทั้งนี้ผมมีเวลาค่อนข้างจำกัดเพราะใช้เวลาที่ outlet นานไปหน่อย จึงต้องรีบทำเวลาถ่ายภาพเฉพาะโซนด้านนอกเท่านั้น ขากลับผมนั่ง MRT กลับไปย่าน Orchard เพื่อรอรถเมล์กลับไปยังโรงแรม แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะป้ายรถเมล์ตรงหน้าสถานีรถไฟบอกว่ารถเมล์สายที่รอไม่ได้จอดที่ป้ายนี้ … ผมคิดในใจ ไหงเป็นงี้ไปได้ ก็ดูแล้วว่ารถสายนี้ต้องผ่านถนนเส้นนี้แน่ ๆ … ระหว่างตัดสินใจว่าจะใช้ MRT แล้วไปต่อรถเมล์สายอื่นดีหรือไม่ ก็เอะใจลองเดินไปป้ายรถเมล์ถัดไปดู ปรากฏว่าที่ป้ายนั้นสายที่ต้องการจอด จึงได้ข้อสรุปว่าในบางย่าน (น่าจะเป็นย่านที่รถหนาแน่นและมีรถเมล์เยอะ) รถอาจจะจอดป้ายเว้นป้ายเพื่อไม่ให้ปริมาณรถที่ป้ายมีมากเกินไป (อันนี้เดาเอาเองนะ) … แต่ทว่าเวลาโดยประมาณที่ป้ายนั้นบอกไว้ว่าอีก 21 นาทีรถคันถัดไปจึงจะมา ผมเครียดอีกรอบเพราะกำลังจะได้เวลานัดรถ Shuttle bus แล้ว แต่ลองคำนวณดูหากนั่ง MRT หรือจะ Taxi ก็คงไม่ทันอยู่ดี จึงตัดสินใจว่าจะรถตรงป้ายนี่แหละ … ยังไม่ทันถึง 3 นาทีรถเมล์สายที่รอก็มาถึง จึงได้ข้อสรุปอีกอย่างว่าเวลาบนป้ายรถเมล์ที่สิงคโปร์นั้นอาจจะไม่แม่นยำเท่าที่ควร ไม่เหมือนประเทศแถบยุโรปหรือญี่ปุ่น แม้รถเมล์จะมาเร็วกว่าที่คาด แต่กว่าจะถึงโรงแรมก็เลยเวลานัดไป 15 นาทีแล้ว ซึ่ง shuttle bus ไปยัง terminal 2 รอบถัดไปต้องรออีก 1 ชั่วโมง ผมจึงตัดสินใจขึ้น shuttle รอบที่ไปยัง terminal 1 แทน ซึ่งรถจะออกในอีก 1 5 นาที และเมื่อไปถึงก็ใข้รถไฟที่วิ่งบริการระหว่าง terminal เพื่อเดินทางจาก 1 ไปยัง 2 ทำให้มาถึงสนามบินได้ทันเวลาแบบไม่ต้องเครียดมากนัก หลังจาก check in แล้วก็เดินไปหาจุดสำหรับขอคืนภาษี ซึ่งมี Kios สำหรับกรอกข้อมูลเบื้องต้น (มีเมนูภาษาไทยให้เลือกด้วย) จากนั้นก็เข้าไปติดต่อเพื่อรับเงินได้ที่อีก office บริเวณหน้า Gate นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก ทริปสิงคโปร์ของผมปิดลงด้วยการใช้เศษเหรียญที่เหลือจากการใช้จ่ายในการซื้อโน่นซื้อนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่อง นับเป็นอีกทริปที่มอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้หลายอย่าง จบทริปแล้วก็ได้คำตอบให้กับตัวเองครับว่า “ทำไมใคร ๆ เขาก็มาสิงคโปร์ ” … พบกันใหม่ทริปหน้าครับ 🙂