ในรีวิวตอนปฐมบทก็ได้สรุปภาพรวมของทริปไปแล้วนะครับ ใครพลาดรีวิวนี้ก็ตามไปอ่านกันได้ที่ Link ด้านบนได้เลย … ก็อย่างที่เล่าไปแล้วครับว่าทริปนี้เป็นทริปเน้นถ่ายภาพเหมือนทุกครั้ง ซึ่งรอบนี้ใช้ Nikon D7100 พร้อมด้วยเลนส์ Nikon อีก 3 ตัวคือ Nikon 10-24 f3.5-4.5, 17-55 f2.8 และ 70-200 f4 VR Nano … เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกช่วงภายโดยที่น้ำหนักไม่เป็นภาระมากเกินไป อิอิ … จากรีวิวที่แล้วมีคนสอบถามเรื่องเทคนิคการถ่ายภาพมาเยอะ รีวิวนี้ก็จะใส่รายละเอียดการถ่ายภาพลงไปในภาพเด่น ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ นะครับ ทั้งนี้ภาพทั้งหมดถ่ายในแบบ RAW แล้ว Process ภาพด้วย Lightroom ครับ
วันนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ เดินทางไปยังจุดหมายแรกของทริป Italy ครั้งนี้ นั่นคือ Cinque Terre … ผมพยายามจำชื่อภาษาไทยอยู่นานครับ เพิ่งมาจำได้ตอนกลับมาจากทริปนี่แหละว่าต้องอ่านชิงเกวแตร์เร อิอิ … ความโดดเด่นของ Cinque Terre ก็อยู่ตรงที่เป็นหมู่บ้านบนหน้าผาริมทะเลสาบเมดิเตอร์เรเนียน บ้านแต่ละหลังสีสันสดใสตัดกับสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ของน้ำทะเลสวยจับใจจริง ๆ
จากนั้นจะพามุ่งลงใต้ไปสัมผัสบรรยากาศของทุ่งหญ้าอันงดงามและหลายเมืองเก่าของแคว้นทัสคานี หนึ่งใน Highlight ของทริปนี้กันครับ
ก่อนไปชมภาพสวย ๆ ของทริปนี้เพิ่มเติม ขอโชว์ที่พักคืนแรกใกล้ๆ สนามบินก่อนครับ ชื่อ Mxp Rooms Guest House, Highly recommend มาก ๆ เพราะกว้างขวาง สะอาดสะดวกสบาย แถมพนักงานมี service mind จริง ๆ
ก่อนออกเดินทางแอบเก็บลูกเชอร์รี่สด ๆ ในรั้วของที่พักมากินกันคนละสองสามลูก .. ผมว่าเขาก็ปลูกกันเหมือนบ้านเราปลูกชมพู่อ่ะครับ กินไม่หมดก็ปล่อยให้มันหล่นพื้น … ผมกลัวจะทำให้สนามหญ้าใต้ต้นเลอะเทอะก็เลยช่วยเจ้าของบ้านเก็บมากินซะ 555
จากที่พัก เราวิ่งเข้าสู่ Motorway ของ Italy ซึ่งผมก็พอทราบมาบ้างแล้วว่าต้องกดปุ่มสีแดง ๆ ตรงทางเข้าด่านเก็บเงิน แล้วไปจ่ายที่ปลายทาง ขาเข้าก็เลยชิล ๆ ครับ กดปุ่มแดง ๆ ปั๊บก็รับตั๋วเล็ก ๆ ไว้ไปใช้ตอนขาออก
ระหว่างทางที่ขับมุ่งลงใต้ก็เห็นดอกป๊อปปี้ที่กำลังบานเป็นระยะ ก็มะโนไปว่าตอนไป Tuscany คงไม่พลาดทุ่งดอกป๊อปปี้แดงเต็มทุ่งเป็นแน่ หุหุ .. ตลอดทาง GPS จะเตือนจุดที่มีการตรวจจับความเร็วตลอด ผมแสนจะแปลกใจว่าทำไมมันถี่เหลือเกิน แต่ที่แปลกใจกว่าคือชาวอิตาเลียนดูเหมือนจะไม่สนใจใยดี เพราะขับแซงผมไปแบบไม่เห็นฝุ่นเกือบตลอดทาง
เส้นทางช่วงท้าย ๆ ก่อนถึง Cinque Terre เริ่มผ่านเทือกเขาด้านตะวันตกของประเทศอิตาลี ทัศนียภาพสวยทีเดียวครับ เสียแต่ว่าฝนมาตกซะนี่ ทำให้ไม่สามารถถ่ายภาพระหว่างทางได้มากนัก
และแล้วก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นเล็กน้อยตรงด่านเก็บเงินปลายทาง เพราะค่าทางด่วนปาเข้าไปเกือบพันบาท OMG ทำไมมันแพงแบบนี้ฟระ … ควักกระเป๋าจ่ายไปนี่น้ำตาแทบไหล แต่ยังไม่เท่านั้นครับตู้เก็บเงินไม่ยอมรับเงินของผม อ้าวทำไงล่ะทีนี้ … เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พักใหญ่ตู้มันคงรำคาญ ออกตั๋วมาให้อีกใบนึงแล้วเปิดประตูให้เราผ่านออกไป ทีแรกใจเสียนึกว่าต้องเสียค่าปรับมากมาย มาศึกษาภายหลังจนทราบว่าสามารถจ่ายค่าทางด่วนทางออนไลน์ได้ภายใน 15 วัน ดังนั้นหากเพื่อน ๆ ใช้ทางด่วนที่อิตาลีให้เล็งช่องทางออกที่มีรูปเจ้าหน้าที่กำลังรับเงินนะครับไม่งั้นอาจแย่เหมือนเผม เพราะกว่าจะหาวิธีการจ่ายเงินได้ต้องใช้เวลาตั้งหลายวัน แถมคนอิตาลีเขาก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงเพราะเขาคงมีบัตรผ่านพิเศษหรือไม่ก็จ่ายเงินกับเจ้าหน้าที่
ที่พักของเราคืนนี้อยู่ที่เมือง La Spazia ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ Cinque Terre และที่นี่เป็นต้นทางของรถไฟด้านทิศใต้ ที่เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านทั้ง 5 ของ Cinque Terre โดยข้อดีของการพักที่นี่ก็คือไม่ต้องขับรถขึ้นลงภูเขาเพื่อไปยังแต่ละหมู่บ้านซึ่งหาที่จอดค่อนข้างยาก แต่ข้อเสียคือเราจะพลาดวิวสวย ๆ ของหมู่บ้านเหล่านั้นจากมุมสูงครับ … ที่เมือง La Spazia ก็เหมือนเมืองใหญ่อื่น ๆ ของยุโรปคือหาที่จอดรถยาก แถวบ้านพักก็ไม่มีที่จอดว่างเลยจึงต้องยอมจ่ายเงินให้กับที่จอดรถใต้สถานีรถไฟและใช้วิธีการเดินไปกลับระหว่างบ้านพักกับสถานีรถไฟ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10นาที
บ้านพักของเราคืนนี้ชื่อ B&B Lia ตั้งอยู่บนตึกซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนที่นั่น จริง ๆ ก็เหมือนบ้านที่แบ่งเช่านั่นแหละครับ … ภายนอกตึกอาจจะดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่ห้องพักสะอาดและสะดวกสบายดีครับ เท่าที่ศึกษาข้อมูลมาผมว่าดูสะอาดสะอ้านกว่าที่พักราคาเดียวกันซึ่งอยู่ในหมู่บ้านทั้ง 5 ของ Cinque Terre ครับ เสียตรงที่ว่ากระบวนการเช็คอินน์จะติดต่อกับเจ้าของบ้านยากหน่อยเพราะไม่มี lobby เหมือนโรงแรม ดังนั้นการจะเข้าไปในบ้านได้ต้องให้เจ้าของบ้านเปิดประตูให้ อีกอย่างคือเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นแม่บ้านเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ทำให้สื่อสารกันยากพอสมควร แต่เจ้าของบ้านเธอก็ใจดีนะครับ พูดภาษาอังกฤษได้ ok เพื่อน ๆ อาจมองเป็นตัวเลือกนึงได้ในกรณีที่มอง ๆ ที่พักในเมือง La Spazia
กระบวนการเช็คอินน์ของเราใช้เวลานานกวาที่ผมคิดไว้กว่า 2 ชั่วโมงเพราะมัวแต่จัดการเรื่องห้องพักและหาที่จอดรถ ทำให้ทัวร์ครึ่งวันบ่ายของผมที่ Cinque Terre เริ่มเอาตอนบ่าย 2 โมงเศษ ๆ แล้ว โดยเราซื้อตั๋วแบบ 2 วันในราคา 24.2 EURO สำหรับการขึ้นรถไฟแบบไม่จำกัด รวมค่าผ่านเส้นทาง Hiking ระหว่างหมู่บ้านด้วย ทั้งนี้ต้องไปซื้อจากเคาท์เตอร์สถานีรถไฟนะครับ เพราะตามเครื่องหยอดเหรียญจะไม่มีขาย เมื่อได้ตั๋วแล้วก็ต้อง validate ก่อนเริ่มใช้งานครั้งแรก ไม่เช่นนั้นอาจโดนค่าปรับบานเลยครับ
จากสถานี La Spazia ใช้เวลาราว 10 นาทีเศษ ๆ ก็ถึงหมู่บ้านแรก Riomaggiore แต่เราเลยไปลงที่หมู่บ้านที่สอง Manarola ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 10 นาที ลงจากรถไฟก็ต้องเดินลอดอุโมงค์เพื่อเข้าไปยังตัวหมู่บ้าน
ทันทีที่ทะลุปลายอุโมงค์ ก็ได้สัมผัสบ้านเรือนสีสันสวยงามอยู่ลดหลั่นบนไหล่ แต่ละหลังไม่ได้หรูหราอะไรแต่พอมาอยู่รวม ๆ กันแล้วมันสวยคลาสสิคดี..
ก่อนเดินเที่ยวชมหมู่บ้าน เราเลือกทานอาหารกันแบบง่าย ๆ ที่ร้านอาหารตรงปากอุโมงค์นั่นเองเพราะเลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว รสชาติไม่ได้โดดเด่นมากเลยไม่ขอเอ่ยชื่อร้านละกัน อิอิ … เมื่อเติมพลังแล้วก็เดินมุ่งหน้าขึ้นเขาเพื่อไปยังจุดชมวิว โดยเส้นทางนี้จะใช้สำหรับเดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่ถัดไป แต่ผมขึ้นไปแค่ตรงจุดถ่ายภาพที่สามารถถ่ายภาพเมือง Manarola ทั้งเมืองได้เท่านั้น เพราะดูเหมือนเส้นทางเดินเขาเส้นนี้จะไกลเกินไปสำหรับพวกเรา
วิวมุมกว้างของเมืองก็ต้องอาศัยเจ้า Nikon 10-24 f3.5-4.5 ครับจึงจะเก็บหมด ข้อสำคัญของการใช้เลนส์มุมกว้างมาก ๆ ถ่ายภาพสถาปัตยกรรมก็คือต้องระมัดระวังเรื่อง Distortion ของเลนส์ซึ่งเป็นปกติของเลนส์ช่วงนี้ ทั้งนี้ต้องพยายามเลือกถ่ายภาพในแนวขนานกับระนาบของอาคาร หรือไม่ก็ทำมุม 45 องศาไปเลย เพราะถ้าก้ำ ๆ กึ่ง ๆ อาคารมันจะดูผิดรูปมากจนขาดความเป็นธรรมชาติไป แต่เอาเข้าจริงบางครั้งก็ยากเหมือนกันเพราะบ้านเรือนที่นี่ไม่ใช่บ้านจัดสรรที่หันหน้าไปทางเดียวกันหมด อิอิ
แม้ว่าผมจะเคยชินกับวิวทะเลเพราะอยู่ภูเก็ตและต้องขับรถผ่านชายหาดไปทำงานที่รีสอร์ทริมทะเลทุกวัน แต่การได้ไปสัมผัสบรรยากาศทะเลในรูปแบบเมดิเตอร์เรเนียนก็สร้างความประทับใจให้ไม่น้อย เพราะนอกจากน้ำทะเลสีครามเข้มแล้ว ยังมีพืชพรรณแปลกตาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผล Lemon ที่สุกปรั่งเป็นสีเหลืองเต็มต้น, ดอกหญ้าและดอกไม้หลากสีสัน รวมถึงพืชสวนอีกหลายชนิดที่เพิ่งเคยได้เห็นต้น ตามธรรมชาติก็คราวนี้ ทำให้การเดินเที่ยวชมเมืองดูตื่นตากว่าที่คาดไว้มากทีเดียว
เดิมทีแล้วผมวางแผนไว้ว่าบ่ายวันนี้จะเดินตามเส้นทางสาย Romantic ชื่อ via dell’amore ไปยังหมู่บ้าน Riomaggiore เพื่อทานอาหารเย็นแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกที่ Manarola อีกครั้ง แต่เนื่องจากเราเสียเวลาในการจัดการบ้านพักนานไปหน่อย กว่าจะลงจากจุดชมวิวที่ Manarola ก็เย็นมากแล้ว จึงตกลงใจว่ายกเลิกแผนการเดินบนเส้นทาง via dell’amore แล้วอยู่ปักหลักถ่ายภาพแสงช่วงพระอาทิตย์ตกที่หมู่บ้าน Manarola เลยดีกว่า
คลื่นลมวันนั้นแรงเอาการทีเดียวครับ การถ่ายภาพก็ค่อนข้างยากเพราะ contrast สูงมากเนื่องจากบางมุมย้อนแสงจึงต้องถ่ายคร่อมไว้แล้วนำมาเลือกภาพที่ดีที่สุดหรือไม่ก็ทำ HDR เพื่อให้ได้แสงที่ต้องการทั้งส่วนมืดและส่วนสว่าง
ตามโขดหินริมฝั่งจะมีต้นไม้ประจำถิ่นกำลังผลิใบอ่อน หรือไม่ก็ออกดอกหลากสี สดชื่นมาก ๆ …
จากจุดชมวิวนี้มีเส้นทาง Hiking เลียบหน้าผาไปยังหมู่บ้านข้างเคียง ดูด้วยสายตาก็เห็นได้ชัดเลยครับว่ามันไกลมาก แต่ผมเชื่อว่าระหว่างทางคงได้บรรยากาศที่สวยงามสุดแสนจะคุ้มค่า เสียดายที่เรามีเวลาที่นี่ไม่มากนัก จึงต้องตัดโปรแกรมนี้ไป
เหนือทางเดินที่เป็นจุดชมวิวขึ้นไปเล็กน้อย มีสวนสาธารณเล็ก ๆ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีอีกจุดหนึ่ง หากด้านล่างมีช่างภาพจับจองพื้นที่ถ่ายภาพกันหมดแล้ว จะหนีขึ้นไปด้านบนก็ได้ทำเลถ่ายภาพที่สวยไม่แพ้กันครับ
แสงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองสาดส่องไปทั่ว เป็นอีกช่วงที่สนุกกับการถ่ายภาพ
ช่วงนี้ผมขาตั้งกล้องกับ Shutter speed ต่ำ ๆ ราว 0.5- 1 วินาที เพื่อเก็บภาพคลื่นให้ดูนุ่มนวลเป็นสาย แน่นอนว่างานนี้ขาดขาตั้งกล้องไม่ได้เลย
กว่าพระอาทิตย์จะสิ้นแสงก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มเศษ แต่ละคนในกลุ่มแสนจะอิดโรยและหิวกันเต็มที อย่างไรก็ตามเราไม่อยากพลาดร้านอาหารแนะนำที่เมือง Riomaggiore จึงตัดสินใจนั่งรถไฟไปที่เมืองนี้เพื่อทานอาหารทะเล ณ ร้าน Enoteca Dau Cila ซึ่งเป็นร้านอันดับ 1 บน tripadvisor และได้รับการแนะนำโดยมิชลินด้วย
และก็ไม่ผิดหวังครับ อาหารทะเลที่นี่สดและอร่อยจริง ๆ โดยเฉพาะเมนู Mixed Grill ส่วนราคาก็ไม่ได้สูงมากครับเมื่อเทียบกับคุณภาพอาหารและปริมาณ เสียดายที่ผมมัวแต่ถ่าย VDO และหิวมากจึงไม่มีเวลาเก็บภาพนิ่งมาฝาก เพื่อน ๆ ก็จินตนาการไปละกันนะครับ อิอิ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจาก check out จากห้องพักและนำสำภาระไปเก็บไว้บนรถแล้ว เราก็เดินทางเข้าไป Cinque Terre อีกรอบ โดยวันนี้จะเริ่มกันที่หมู่บ้านด้านเหนือสุดที่ชื่อ Monterosso al Mare โดยหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเดียวที่มีชายหาดเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด
ส่วนตัวผมไม่ชอบหมู่บ้านนี้มากนัก เพราะถึงแม้จะมีชายหาด แต่ทรายไม่ขาวสะอาดเหมือนทะเลบ้านเรา ผมจึงลงไปสัมผัสบรรยากาศแค่ราวชั่วโมงนึงก็ออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้าน Vernazza ซึ่งรถไฟใช้เวลาราว ๆ 10 นาทีก็ถึงครับ
สีสันของบ้านเรือนที่นี่ก็สวยงามไม่น้อยทีเดียว
ที่หมู่บ้าน Venazza เป็นอีกหมู่บ้านที่ผมเล็งไว้ว่าจะต้องไปเก็บภาพจากจุดชมวิวด้านบน โดยต้องผ่านเส้นทาง Hiking ระหว่างหมู่บ้าน ทั้งนี้หากใครไม่ได้ซื้อ Cinque Terre card ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วย ส่วนผมมี card แล้วก็เบ่งได้เลย อิอิ
จุดชมวิวนั้นใช้เส้นทางที่เดินไปยังหมู่บ้านถัดไปนั่นเอง ซึ่งทางขึ้นก็อยู่ราว ๆ กึ่งกลางระหว่างสถานีรถไฟกับริมทะเล
วิวจากจุดชมวิวก็จะเห็นตัวเมือง Venazza แบบนี้ครับ
อันที่จริงจุดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพหมู่บ้าน Venazza จากมุมสูงก็อยู่ตรงช่วงต้นของเส้นทางนั่นเอง แต่ผมเข้าใจว่าน่าจะต้องเดินไปอีก ก็เลยต้องเสียพลังงานเยอะมากในการไต่ระดับความสูงไปเรื่อย ๆ จนเริ่มค้นพบว่าน่าจะคิดผิดเสียแล้ว เพราะยิ่งห่างออกไปก็ยิ่งโดนต้นไม้บังจนหมด ในที่สุดจึงต้องเดินย้อนกลับลงมาเก็บภาพช่วงต้น ๆ อีกครั้ง
สาเหตุที่รถไฟใช้เวลาสั้นมากในการเดินทางระหว่างหมู่บ้านก็เพราะใช้วิธีเจาะทะลุเขาแบบในภาพนี่แหละครับ
หลังจากเก็บภาพมุมสูงและบรรยากาศในเมืองแล้วเราก็เดินทางกลับ La Spazia เพราะมีโปรแกรมเดินทางต่อไปยัง Tuscany ผ่านเมือง Pisa ในบ่ายวันนี้ .. มีเรื่องเล่าให้ฟังเกี่ยวกับรถไฟนิดนึง คือตอนที่เราจะนั่งกลับ La Spazia ปรากฏว่ารถไฟไม่ได้จอดตรงกับชานชลาที่ปรากฎบนจอ แต่ผมใช้วิธีการดูทิศทางเอาจึงขึ้นรถขบวนที่ถูกต้อง ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่ต้องไปลงป้ายถัดไปเพื่อนั่งย้อนกลับและคงเสียเวลาไปโขทีเดียว ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าเวลาและข้อมูลต่าง ๆ ของรถไฟที่อิตาลีจะแม่นยำเหมือนสวิสหรือเยอรมันนะครับ เพราะท่านอาจจะพลาดได้ อิอิ
จาก Cinque Terre จุดหมายต่อไปคือเมืองเก่า ๆ หลายเมืองของแคว้น Tuscany โดยเราแวะเมือง Pisa เป็นแห่งแรกเพื่อถ่ายภาพคู่กับหอเอนชื่อดัง เพราะอยู่ระหว่างทางที่จะไปเมือง Monteriggioni ซึ่งเป็นที่พักแรกในแคว้น Tuscany ของเราพอดี ทั้งนี้เราจอดรถที่พิกัด 43.723794,10.391739 ใกล้ ๆ กับหอเอน แล้วเดินเข้าไปเก็บภาพกัน
สำหรับการท่ายอดฮิตสำหรับถ่ายคู่กับหอเอน Pisa ก็คือเอามือยันหรือเอาตัวพิงหอเอนนั่นแหละครับ เทคนิคการถ่ายภาพให้ดูสมจริงก็ต้องใช้เลนส์มุมกว้างเข้าไว้และเลือกใช้รูรับแสงแคบ ๆ เพื่อให้ความชัดครอบคลุมทั้งตัวแบบและหอเอน จากนั้นก็ให้แบทำท่าทางสุดแล้วแต่จินตนาการ โดยช่างกล้องต้องอาศัยการขยับกล้องช่วยให้มุมของภาพสมจริงมากที่สุด กว่าจะได้แต่ละภาพก็ทำเอาปวดหลังเหมือนกันเพราะต้องก้ม ๆ เงย ๆ ซานาน อิอิ
เลยจาก Pisa มาไม่ไกล ก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศของ Tuscany แบบเต็ม ๆ เริ่มเห็นทุ่งหญ้าสวย ๆ ตลอดสองข้างทาง ทั้งนี้ที่พักของเราคืนนี้ชื่อว่า S.M.”Abbadia” อยู่ใกล้กับเมือง Monteriggioni เรียกได้ว่ามองเห็นกำแพงเมืองจากห้องพักกันเลยทีเดียว
หลังจากพบทักทายเจ้าของบ้านและนำสัมภาระเก็บเรียบร้อยแล้วผมก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมุ่งไปทุ่งหญ้าหน้าที่พัก ซึ่งถูกแซมไปด้วยดอกป๊อปปี้สีแดงที่กำลังบานสะพรั่งโดยมีฉากหลังเป็นเมือง Monteriggioni สวยงามมาก ๆ
พอเข้าไปใกล้ๆ จึงทราบว่าทุ่งหญ้าที่เห็นคือต้นข้าวบาร์เลย์ และที่ไม่คาดคิดคือมันค่อนข้างสูงเอาการทีเดียว กว่าจะฝ่าไปยังจุดที่ดอกไม้เยอะ ๆ ได้ก็ต้องลุ้นเหมือนกันว่าจะเจองู้เงี้ยวเขี้ยวตะขอหรือไม่
ทุ่งดอกไม้กว้าง ๆ แบบนี้เลือกใช้ได้ทั้ง Nikon 17-55 และ 70-200 เลยครับ
ผมเก็บภาพได้สักพักก็ไปสมทบกับเพื่อน ๆ เพื่อนั่งรถไปชมเมือง Monteriggioni ยามค่ำกัน .. ตอนที่เราไปถึงแทบไม่มีนักท่องเที่ยวแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ ที่รายล้อมด้วยกำแพงเมืองรอบด้านแห่งนี้จึงเสมือนเมืองของพวกเราจริง ๆ 555
เมือง Monteriggioni เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีกำแพงล้อมรอบ พื้นที่ในเมืองก็มีเท่าที่เห็นนี่แหละครับ ยิ่งกลางคืนแบบนี้พื้นที่ทั้งหมดแทบจะเป็นของพวกเราเลย
คืนนี้พระจันทร์เกือบ ๆ เต็มดวงก็เลยทดลองใช้ function ถ่ายภาพซ้อนของ D7100 ดูหน่อย ก็ใช้ได้ดีทีเดียวครับ อาจจต้องเล็งตำแหน่งให้ดีหน่อยไม่งั้นดวงจันทร์จะมาซ้อนกับภาพของเมือง … จะว่าไปสามารถนำดวงจันทร์ไปซ้อนทีหลังด้วย photoshop ก็ได้ครับแต่ผมว่าได้ภาพจากหลังกล้องไปเลยมันคลาสสิคกว่า อิอิ
เทคนิคอย่างนึงของการถ่ายให้ได้ภาพของดวงจันทร์ที่ดูใหญ่กว่าปกติคือ ถ่ายภาพดวงจันทร์ด้วยเลนส์ Tele อย่างน้อย 200 มม. แล้วไปซ้อนกับภาพของสถานที่ซึ่งถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง scale ของสถานที่เมื่อเปรียบเทียบกับดวงจันทร์จะทำให้ภาพของดวงจันทร์ใหญ่กว่าปกติดูสะดุดตา วิธีนี้นอกจากจะได้พระจันทร์โตสมใจแล้ว ยังสามารถเลือกค่าการรับแสงแยกกันระหว่างสถานที่กับพระจันทร์ได้ด้วย เพราะหากถ่ายพร้อมกันแบบปกติ พระจันทร์คงเป็นดวงจิ๋ว ๆ สีขาวฟุ้งไม่เห็นรายละเอียดซึ่งดูแล้วไม่ดึงดูสายตาเอาซะเลย
หลังจากเดินเที่ยวในเมืองพักใหญ่ ๆ เราก็กลับบ้านพักไปทำอาหารทานกัน เพราะบ้านที่เช่าวันนี้มีครัวพร้อมสรรพ วันนี้สาว ๆ ลงมือแสดงฝีมือกัน อาหารร้อน ๆ กับบรรยากาศเย็น ๆ ในชนบทแบบนี้ ฟินอย่าบอกใคร
เช้าวันรุ่งขึ้นในขณะที่เพื่อน ๆ กำลังปรุงอาหารเช้า ผมปลีกตัวออกไปเก็บภาพแสงยามเช้าที่ทุ่งใกล้ ๆ กับที่พักอีกครั้ง และก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะได้ภาพทุ่งหญ้าบาร์เลย์กับแสงสีทองยามเช้าสวยจนบรรยายไม่ถูกเลย
เช้าวันนี้ผมใช้ Nikon 17-55 กับ 70-200 สลับกัน และก็ไม่ผิดหวังกับคุณภาพของเลนส์ทั้งสองตัวครับ หลาย ๆ ภาพผมมาดึงรายละเอียดส่วนมืดในขั้นตอนการ post process โดยคอยดู histogram หลังกล้องเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าได้รายละเอียดของแสงครบทั้งส่วนมืดและส่วนสว่าง ดังนั้นการถ่ายภาพในสถานการณ์ที่แสงในภาพมี contrast จัดแบบนี้ จึงขอแนะนำให้เลือกบันทึกภาพด้วย format RAW ครับ
ก่อนออกจากบ้านขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้หน่อย
หลังจากอาหารเช้าผมก็ชวนเพื่อน ๆ มาเก็บภาพที่ทุ่งดอกป๊อปปี้กันเพราะตอนที่มาถ่ายภาพช่วงเช้าได้เล็งไว้แล้วว่าเดินเข้าจากอีกด้านหนึ่งจะไม่ต้องเจอกับหญ้าสูง ๆ แถมมีฉากหลังเป็นบ้านเก่า ๆ อีกด้วย
เก็บภาพกันพักใหญ่แล้วเราก็เดินทางไปยังเมือง San Gimignano ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร …
ทันทีที่เดินเข้าเมือง คณะของเราก็ถูกกับดักร้านเครื่องหนัง local brand เข้าแบบเต็มเปา เพราะดีไซน์สวยเก๋ และเป็นหนังแท้ด้วย ทำให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มสนุกสนานกันกับการ shopping เครื่องหนังกันอยู่นาน ส่วนผมก็ปลีกตัวออกไปเก็บภาพบรรยากาศของเมืองที่สร้างในยุคกลาง
Dynamic range ที่กว้างของ D7100 สามารถนำไฟล์ RAW ที่ได้มาทำภาพแนว HDR ได้สบายโดยใช้ภาพถ่ายเพียงภาพเดียว ดังภาพตัวอย่างที่ถ่ายที่เมืองนี้ทั้งหมดผมไม่ได้ถ่ายคร่อม เพราะดูจาก Histogram แล้วสามารถเก็บรายละเอียดได้ครบทั้งส่วนมืดและสว่าง จากนั้นจึงค่อยมาปรับแสงให้ดูคล้ายแนว HDR ใน Lightroom
ผมแนะนำว่าถ้าอยากได้เครื่องหนังสวย ๆ เมือง San Gimignano เป็นเมืองนึงที่น่าสนใจครับ เพราะมีแบบให้เลือกเยอะและสิค้าคุณภาพดีทีเดียว แต่ต้องบอกก่อนว่าราคาก็ไม่ได้ถูกนะครับ ส่วนใหญ่ราคาก็หลักพัน พอ ๆ กับเครื่องหนังแบรนด์ทั่วไปในบ้านเรา แต่ดีไซน์ของเขาสวยจริงและแน่ใจได้ว่าเป็นหนังแท้
อีกอย่างที่อยากแนะนำคือร้าน Gelato ซึ่งอยู่ตรงจัตุรัสกลางเมืองครับ รสชาติอร่อยมาก ๆ ผมคิดว่าอร่อยที่สุดในบรรดาทุกร้านที่ผมชิมตลอดทริป (ชิมไปราว ๆ 10 ร้าน)
เนื่องจากเมือง San Gimignano ไม่ได้ใหญ่มาก หากจะเดินจริง ๆ คิดว่าใช้ว่าใช้เวลาครึ่งวันน่าจะพอครับ แต่พวกเรา shopping นานไปหน่อยก็เลยใช้เวลานานโขอยู่ ก็เลยถือโอกาสทานอาหารเที่ยงในเมืองเลย
มุมต่างๆ ที่นี่ดูสวยคลาสิคไปหมดครับ เพราะเป็นหินที่สร้างในยุคกลาง
ออกจาก San Gimignano เราก็มุ่งหน้าไปยัง Siena อีกหนึ่งเมืองใหญ่ของแคว้น Tuscany ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก และเนื่องจากเราค่อนข้างเสียเวลาเยอะที่เมืองก่อนหน้าจึงมาถึง Siena เกือบ ๆ เย็นแล้ว เป้าหมายที่จะเข้าไปชมบรรยากาศในโบสถ์จึงต้องตัดไป ได้เพียงแต่เก็บภาพบรรยากาศของเมืองและสถาปัตยกรรมยุคกลางที่ยิ่งใหญ่ของแคว้น Tuscany
เนื่องด้วยความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมที่ Siena เจ้า Nikon 10-24 ก็เลยถูกหยิบมาใช้บ่อยที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็หมุนมาที่ช่วงกว้างสุด 10 มม. กับค่ารูรับแสง f8 ที่เหมาะกับการถ่ายภาพ landscape ทั่ว ๆ ไป
ส่วนรายละเอียดต่าง ๆของสถาปัตยกรรมก็ใช้ Nikon 70-200 สอยเป็นระยะ ๆ ที่ต้องระวังหน่อยในการถ่ายภาพโบสถ์หรืออาคารสีขาว ๆ หรือสีอ่อนคือภาพที่ได้อาจจะ under หากไม่ชดเชยแสงเนื่องจากกล้องคิดว่ามีแสงเยอะ ดังนั้นต้องไม่ลืมเช็ค Histogram ทุกครั้งเมื่อถ่ายภาพในลักษณะดังกล่าวครับ
เมื่อออกมาจาก Siena อากาศก็ค่อย ๆ ครึ้มลงเรื่อย ๆ จนฝนตกในที่สุด แม้ฟ้าจะดูหมอง ๆ ไปด้วยเมฆฝน แต่ความงามของเนินหญ้าระหว่างทางนั้นสวยจับใจจริง ๆ ยิ่งได้แสงยามเย็นสาดส่องยิ่งทำให้มีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
เมฆฝนตั้งเค้าเห็นแต่ไกล ช่วงนี้ผมใช้เจ้า D7100 บันทึก VDO 2 ข้างทางโดยตั้งระบบโฟกัสเป็น Manual ไปที่ Infinity ส่วนแสงก็ Manual เช่นกันโดยใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/60 วินาที รูรับแสง f8 แล้วปรับ ISO ตามสภาพแสงช่วงนั้น
ยิ่งเข้าใกล้เมือง San Quirico d’Orcia เท่าไหร่ เนินหญ้าสองข้างทางก็ยิ่งสวยงามจับใจ โดยเฉพาะที่ cypress grove อันเป็นหนึ่งในจุดชมวิวมหาชนของแคว้น Tuscany (พิกัด 43.064009, 11.559622) จนอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดรถลงไปเก็บภาพท่ามกลางเม็ดฝนโปรยปราย
มุมนี้เป็นมุมในฝันอีกมุม มาเจอของจริงขนาดอากาศแย่มากยังได้ภาพที่สวยงามดูมีมิติมาก ๆ … เสียดายที่หลายภาพมีหยดน้ำฝนติดหน้าเลนส์ทำให้ภาพมัวเป็นจุด ๆ ดังนั้นการเดินทางไปท่องเที่ยวไกล ๆ ควรพกร่มเล็ก ๆ ไปด้วยนะครับช่วยได้เยอะเลยทีเดียวในสถานการณ์แบบนี้ และเนื่องจากไม่สะดวกที่จะถอดเปลี่ยนเลนส์ งานนี้เลยเป็นหน้าที่ของ Nikon 17-55 เพียงตัวเดียว
ระหว่างทางจาก San Quirico d’Orcia ไปยังที่พัก ณ เมือง Monticcheillo ทางใต้ของเมือง Pienza ก็ยังคงเป็นจุดที่วิวสองข้างทางสวยงามมาก เสียดายที่ฝนตกค่อนข้างหนักและเวลาก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว เราจึงต้องมุ่งหน้าไปยังที่พักโดยไม่ได้แวะถ่ายภาพแบบจริงจัง
ที่พักคืนนี้ชื่อ Affittacamere Maria Gabriella B&B ซึ่งเป็นบ้านสไตล์ Tuscany ภายในตกแต่งน่ารักมาก ๆ ตั้งอยู่ปากทางเข้าเมืองเลย วิวก็สวย เสียดายที่เจ้าของบ้านใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องอาศัยเพื่อนบ้านมาช่วยแปลให้ทำให้กว่าจะ check in และนัดแนะเรื่องการทานอาหารเช้าวันรุ่งขึ้นได้ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดี
เช้าวันรุ่งขึ้นผมออกจากบ้านแต่เช้าตรู่คนเดียวเพื่อขับรถไปถ่ายภาพยังจุดที่เตรียมข้อมูลมา จุดนี้ยังคงอยู่ใกล้ ๆ กับ San Quirico d’Orcia และเป็นมุมมหาชนอีกมุมเช่นเดียวกัน
แต่หลังจากแสงมาแล้ว ระดับเนินที่แตกต่างกันและชนิดขอหญ้าที่ไม่เหมือนกันทำให้เกิดมิติของภาพจากแสงและเงาสวยงามเกินบรรยายจริง ๆ ครับ
หากเพื่อน ๆ มี filter สีเทาครึ่งซีกจะช่วยให้ถ่ายภาพง่ายขึ้นเพราะ contrast ระหว่างฟ้ากับทุ่งหญ้าค่อนข้างสูงในช่วงที่แดดยังไม่มา
เนื่องจากเช้านี้นัดทานอาหารเช้าตอน 7 โมงและไม่อยากให้เพื่อน ๆ รอผมคนเดียวก็เลยต้องรีบขับรถกลับ ทั้ง ๆ ที่มีจุดให้ถ่ายภาพเยอะมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะหมายตามุมถ่ายภาพระหว่างทางไว้ และกลับมาเก็บตกหลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้ว ซึ่งมุมสวย ๆ เหล่านี้ก็อยู่ใกล้ ๆ ที่พักนั่นเอง
จากถนนใกล้ ๆ ที่พักมองเห็นเมือง Pienza อยู่บนยอดเนินที่รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าแสนสวย
อากาศแจ่มใสแบบนี้ Filter Polarize ใช้ได้เป็นอย่างดีครับ ช่วยลดแสงสะท้อนบนท้องฟ้าและใบไม้ออกไปทำให้สีสันอิ่มตัวขึ้น
หลังจากเก็บตกมุมสวย ๆ ใกล้ที่พักแล้ว เราก็เริ่มโปรแกรมเช้านี้ด้วยการไปเยือนจุดชมวิวมหาชนอีกจุดที่มีต้นสนไซเปรส เรียงตัวสลับไปมา
จากนั้นจึงเดินทางไปยังเมือง MONTEPULCIANO ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่มีร้านเครื่องหนัง local brand ดีไซน์สวย และ wine ชื่อดังของแถบนี้ให้ได้ shopping ติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย
ช่วงเย็นของวัน ผมพาเพื่อน ๆ ไปถ่ายภาพยังจุดชมวิวมหาชนซึ่งผมได้เดินทางไปมาแล้วเมื่อตอนเช้า โดยเย็นวันนี้มีช่างภาพไปรอถ่ายภาพเยอะมาก อากาศดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นใจเพราะมีฝนปรอย ๆ แต่ก็ทำให้ได้ภาพของรุ้งกินน้ำสวย ๆ มาเป็นของแลกเปลี่ยน
ฝนมาแล้วครับ แต่รุ้งก็มาด้วย เริ่มจากหนึ่งตัวแล้วตามมาติด ๆ อีกตัว … บรรยากาศทุ่งหญ้า กับรุ้งนี่มันช่างเข้ากันจริง ๆ
ปิดท้ายวันนี้ที่เมือง Pienza ในช่วงค่ำ … แทบไม่มีนักท่องเที่ยวในเมืองแล้ว เราก็เดินกันแบบผ่าน ๆ เพราะค่อนข้างเหนื่อยล้ากับการเที่ยวมาทั้งวัน และลักษณะบ้านเรือนของแต่ละเมืองก็คล้าย ๆ กัน
ผมใช้ Nikon 10-24 เป็นหลักสำหรับเมืองนี้ โดยใช้ ISO ค่อนข้างสูงเพราะไม่อยากแบกขาตั้งกล้องลงไปด้วย แต่ภาพทีได้ก็ยังน่าประทับใจมากทีเดียว ทั้งนี้การถ่ายภาพอาคารที่เป็นหินสีทึม ๆ แบบเมืองเก่าพวกนี้ ผมชดเชยแสงเป็นลบเพราะกล้องมักจะรับแสง over จากที่ควรจะเป็นเพราะโทนสีเข้มของหินทำให้กล้องนึกว่ามีแสงน้อยนั่นเอง
เย็นวันนั้นระหว่างขับรถกลับที่พัก เป็นอีกวันทีฟ้าเต็มใจให้ได้ภาพสวย แถมคืนนี้เป็นคืน 15 ค่ำก็เลยได้ภาพพระจันทร์สวย ๆ คู่กับทุ่งหญ้าด้วย ณ เวลานั้นด้านนึงเป็นพระอาทิตย์ตกฟ้ากำลังเปลี่ยนสีสวยงาม อีกด้านหนึ่งพระจันทร์ดวงโตสีส้มกำลังค่อย ๆ โผล่พ้นเนินหญ้า ผมต้องหันไปหันมาเพื่อเก็บทั้งสองบรรยากาศ และด้วยความที่เร่งรีบจึงต้องอาศัย VR ของ Nikon 70-200 กับ ISO ราว 400 เข้าช่วยเพราะไม่สามารถจอดรถลงไปตั้งหลักถ่ายได้เพราะถนนแคบ ต้องอาศัยการหยุดรถเพื่อถ่ายภาพเป็นจังหวะ ๆ
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่นอนหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางบรรยากาศอันสงบของ Tuscany … เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เราขับย้อนขึ้นเหนืออีกครั้ง เพื่อไปยัง Florence เมืองหลวงของแคว้น Tuscany แห่งนี้
เก็บตกบรรยากาศยามเช้า
เราขับรถไปแวะถ่ายภาพไปจนมาถึง Florence ในช่วงบ่ายของวัน และใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการหาบ้านที่พัก เพราะ GPS ที่เช่ามาไม่ update ทำให้ต้องโทรหาเจ้าของบ้านเพื่อให้มานำทาง … จะว่าไปแล้วถึง GPS ทำงานได้ดีก็คงต้องอาศัยเจ้าของบ้านช่วยอยู่ดี เพราะจากปากทางเข้าบ้านต้องใช้เส้นทางเล็ก ๆ ผ่านสวนมะกอกเข้าไปด้านใน ถ้าไม่มีคนนำก็ต้องคิดว่าหลงทางแน่ ๆ
บ้านพักคืนนี้ชื่อ B&B in Tuscany Podere Valdibotte เป็นบ้านในสวนสไตล์ Tuscany … เจ้าบ้านทั้งสองคนน่ารักและเป็นกันเองมาก แนะนำวิธีการเข้าเมือง Florence ให้เราเสร็จสรรถ โดยการขับรถไปจอดสถานีรถไฟใกล้ ๆ จากนั้นก็นั่งรถตรงเข้าเมือง เพราะตัวเมือง Florence นั้นไม่อนุญาตให้รถนอกเข้าไป
จากที่พักเราใช้เวลาราว 10 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟซึ่งมีที่จอดรถฟรีอยู่ใกล้ ๆ และจากสถานีดังกล่าวเข้าไปยังกลางเมืองจะใช้เวลาราว 20 นาที
จากสถานีรถไฟก็ต้องเดินมาอีกพอสมควรจึงจะถึงจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอันได้แก่ Santa Maria Del Fiore Church เสียดายที่ช่วงนี้ Baptistery ปิดซ่อมแซมก็เลยทำให้ไม่ได้ภาพสวยของที่นี่
คล้าย ๆ กับที่ Siena ครับ โบสถ์สีขาวต้องไม่ลืมชดเชยแสงเป็นบวกไว้ เพื่อไม่ให้ภาพ under หรือไม่จะดู Histogram หลังกล้องไม่ให้กราฟหลุดไปทางขวามือก็ได้ครับ และสำหรับที่นี่ Nikon 10-24 ถูกใช้บ่อยสุดเนื่องจากพื้นที่ด้านหน้าโบสถ์มีน้อยมาก หากเป็นเลนส์ตัวอื่นคงเก็บภาพได้ไม่หมด
ชมแบบกว้าง ๆ ไปแล้วมาดูแบบเจาะกันบ้างครับ Nikon 70-200 รับหน้าที่นี้ไป
ถึงจะเหนื่อยแต่ขึ้นไปแล้วได้ชมวิวก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เห็นเมือง Florence 360 เลย
จากนั้นก็เดินชมเมืองเก็บภาพบ้านเรือนและรูปปั้นในเมืองไปเรื่อย ๆ ครับ
ความตั้งใจคือเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง Florence เพื่อเก็บภาพแสงเย็นที่ ponte vecchio สะพานคู่เมือง Florence
รูปสวยมากค่ะ
9Mot- งานยุ่งจนไม่ได้มีโอกาสรีวิวเลยครับ แต่ผมไปอีกครั้งปี 2015 ลองดูนะครับมี Dolomite ด้วย
https://www.9mot.com/2015/08/europe-trip-austria-slovenia-italy-germany-ii/
ไม่ทราบว่า dolomite review ยังครับ