Select Page

มิวนิค สีสันแห่งเยอรมัน

รีวิวทั้ง 9 ตอนของทริปนี้

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

ตอนที่แล้วเราเดินทางจาก Rothenburg มุ่งลงใ้ต้สู่เมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศเยอรมัน … “มิวนิค” เมืองมิวนิคแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย  จึงเป็นศูนย์กลางของความเจริญมาจนถึงปัจจุบัน  เมืองที่อยู่เกือบใต้สุดของเยอรมันแห่งนี้อยู่ตอนเหนือของเทือกเขา Alps เพียง 50 กม.  ทำให้อากาศเย็นสบายในช่วงฤดูร้อน  แต่ก็หนาวจัดในช่วงฤดูหนาวเช่นกัน … วันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องคืนรถเช่าที่สนามบิน เพราะอยู่ระหว่างทางผ่านไปจาก Rothenburg ไปตัวเมือง Munich พอดี  และโรงแรมที่ผมเลือกสำหรับคืนนี้ก็อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟ   ทำให้ไม่ลำบากนักสำหรับการเดินทาง … ทั้งนี้ผมเติมน้ำมันเต็มถังก่อนที่จะนำเราเข้าไปคืน  ซึ่งกระบวนการคืนรถเช่านั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร  เพราะสามารถเอาไปจอดไว้ที่จุดคืนรถแล้วเจ้าหน้าที่จะมาตรวจสอบภายหลัง

อย่างไรก็ตามผมประสบปัญหาว่าทาง agent พยายามจะชาร์จค่าเสียหายที่ผมไม่ได้ทำ หลังจากที่กลับมาเมืองไทยแล้ว (มีการรูดบัตรไว้ 1000 Euro เพื่อประกันความเสียหายกรณีเราไม่ได้ซื้อ Full insurance)   ดังนั้นผมแนะนำว่าก่อนจะรับรถให้ถ่ายภาพและตรวจสอบอย่างละเอียด  ทั้งนี้ต้องบันทึกความเสียหายทุกจุดให้ครบถ้วนเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวนี้  อย่างไรก็ตามผมพบว่าปัญหาแบบนี้เิกิดกับเจ้าบริษัทที่ผมเช่าเท่านั้น (research พบจาก internet  มีกรณีแบบนี้เยอะมาก  คือพยายามให้ลูกค้าทำ full insurance ในราคาสูงกว่าปกติ  ถ้าลูกค้าไม่ทำ  ก็จะมีการแจ้งไปภายหลังว่ามีความเสียหายเพิ่มเติมและจะ charge เข้าบัตรเครดิต)  ดังนั้นผมขอให้เพื่อน ๆ หลีกเลี่ยงการเช่ารถจากบริษัทที่ชื่อ Dollar Thrifty นะครับ  (ผมไ่ม่ได้จองโดยตรงกับเขา แต่จองผ่าน online agent ที่ชื่อ economycarrentals.com  ถ้าเป็นไปได้ก่อนจองควรแจ้งไปเลยครับว่าไม่เอารถของบริษัทนี้   ยอมเสียตังค์เพิ่มอีกหน่อยจองกับยี่ห้อดัง ๆ แล้วไร้ปัญหาดีกว่าครับ
หลังจากคืนรถแล้ว  ผมก็ซื้อตั๋วรถไฟแบบรายวันราคา 20 Euro (ใช้ได้สำหรับ 5 คน เดินทางด้วยกัน)  สามารถขึ้นรถได้ไม่จำกัดเที่ยว นับว่าสะดวกและประหยัดสำหรับการเที่ยวเป็นกลุ่มแบบพวกเรา … โรงแรมที่จะพักคืนนี้คื Angelo Design Hotel อยู่ใกล้กับสถานีระหว่างทางสนามบิน่เข้าเมือง  ซึ่งนับว่าสะดวกดี  แม้จะลำบากหน่อยตอนลากกระเป๋าจากสถานีไปโรงแรม  แต่ก็ไม่ได้ไกลมากครับ โรงแรมแห่งนี้ก็ Design สวยสมชื่อโรงแรมครับ  ตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองแดงดูทันสมัยดี  ห้องพักไม่ได้กว้างขวางแต่ก็ไม่แคบจนอึดอัด  ถ้าเพื่อน ๆ ไม่อยากพักในเมืองที่นี่ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ หลังจากเก็บสัมภาระในห้องพักกันแล้ว ก็ได้เวลาชมเมืองรอบแรก  ซึ่งเรายังคงใช้ตั๋ววันเพื่อนั่งรถไฟเข้าสู่ใจกลางเมืองมิวนิค  … จากสถานีใกล้โรงแรม  ใช้เวลาราว 15 นาทีหรือประมาณ 4 สถานีก็ถึงใจกลางเมืองมิวนิคที่สถานี Marienplatz แล้ว … ซึ่งเมืองมิวนิคก็เหมือนเมืองใหญ่ทั่ว ๆ ไป  ผู้คนมากมาย สถานีรถไฟใต้ดินดูวุ่นวาย  … พอขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินเราก็มาโผล่ที่จัตตุรัส Marienplatz พอดี ตรงกลางจัตุรัสมีเสาพระแม่มารีทองคำซึ่งเป็นที่มาของชื่อจัตุรัส  บริเวณรายรอบไปด้วยตึกเก่าสวย ๆ สลับกับอาคารร้านค้ามากมาย …
หนึ่งในอาคารเหล่านั้นได้แก่ศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ เรียกว่า นอยเยอรัทเฮาส์ (Neue Rathaus) สร้างในสไตล์นีโอโกธิกในกลางคริสตศตวรรษที่ 19 มีหอคอยสูงกว่า 80 เมตร  ตรงกลางหอคอยมีหอนาฬิกาที่เรียกว่า Glockenspiel ซึ่งจะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำให้ชมกันในเวลา 11 นาฬิกา และเที่ยงตรง ในหน้าร้อนจะเพิ่มรอบ 5 โมงเย็นอีกหนึ่งรอบ  ชั้นแรกเป็นพาเหรดของอัศวินเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีสมรสของกษัตริย์พระองค์หนึ่งในอดีต มีอัศวินขี่ม้าออกมาดวลกันจนตายไปข้าง ใครไปดูลองดูดี ๆ นะครับว่าอัศวินสีเงินหรืออัศวินสีทองเป็นผู้ชนะ  ส่วนอีกสองชั้นเป็นการเต้นรำเพื่อเฉลิมฉลองที่ชาวเมืองมีชีวิตรอดจากโรคระบาดในปี ค.ศ.1517 credit http://cherokee.exteen.com/20090509/entry
เนื่องจากวันนี้เรามาถึงเย็นมากแล้วจึงไม่ได้ดูเจ้าตุ๊กตาของนาฬิกาออกมาเต้นรำ  แต่พรุ่งนี้เราจะกลับมาดูอีกครั้ง หุหุ …  ส่วนค่ำวันนี้ก็จัดเต็มกันที่โรงเบียร์ชื่อดังก้องโลก  โรงแบียร์แห่งนี้ชื่อ Hofbräuhaus สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1896 ภายในมีขนาดใหญ่ จุคนได้เป็นหลายพันคน นั่งได้ทั้งแบบ indoor และ outdoor มีวงดนตรีที่เล่นเพลงพื้นเมืองบาวาเรียนตลอดเวลาครึกครื้นมาก ๆ … กว่าเราจะหาที่นั่งได้ก็ใช้เวลานานโขเพราะคนแน่นเอี๊ยดและทุกคนก็ดูท่าทางมีความสุขไม่อยากจะลุกออกจากที่นั่งแม้แต่น้อย … เมื่อได้ที่นั่งแล้วเราก็สั่งเบียร์มาสองเหยือก (สำหรับ 8คน)  เป็นเบียร์ดำและเบียร์สูตรต้นตำหรับ  กับอาหารอีก 4-5 อย่าง  ซึ่งแน่นอนว่ารวมเจ้าขาหมูเยอรมัน, ไส้กรอก และอื่น ๆ   เล่นเอาอิ่มแปร้เลย … ส่วนรสชาติอาหารก็ต้องบอกว่าอร่อยครับ  ส่วนเบียร์นี่บอกตรง ๆ ว่าปกติไม่ดื่มเลยไม่รู้ว่าอร่อยกว่าเบียร์สิงห์บ้านเราหรือเปล่า 555

บรรยาาศในโรงเบียร์ครับ ครึกครื้นน่าดู

อิ่มจากอาหารมื้อดึกกันแล้วก็เดินชมเมืองยามค่ำกันอีกเล็กน้อยก็นั่งรถกลับโรงแรมกัน  … คืนนั้นก็พยายามภาวนาให้อากาศวันสุดท้ายของเราที่มิวนิคสดใส (เพราะค่ำวันนี้เมฆเยอะและมีแนวโน้มว่าฝนจะตก) เช้าวันรุ่งขึ้นเรานัดกันที่ห้องอาหารเช้าของโรงแรม  ซึ่งที่นี่มีอาหารให้หลากหลายทีเดียว  การบริการและคุณภาพก็สมราคาครับ  … เมือทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเราก็ check out แล้วฝากกระเป๋าไว้  และนั่งรถไฟเข้าเมืองกันอีกครั้ง  ซึ่งวันนี้ใช้ตั๋วอีกชุดที่ซื้อไว้ตั้งแต่เืมื่อวาน (20 Euro สำหรับ 5 คน)  … เช้าวันนี้อากาศสดใสมากทีเดียว  นับว่าเป็นโชคของพวกเราแท้ ๆ ที่ทริปนี้มีช่วงเวลาที่อากาศดีให้เราเกือบตลอดทริป  มีเพียง Rothenburg เท่านั้นที่ฝนตกเกือบตลอด เราลงกันที่สถานี Marienplatz กันเหมือนเดิม  โดยเรามีโปรแกรมง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนสำหรับวันนี้  นั่นคือเดินชมเมืองกันช่วงเช้า  หลังจากนั้นหาอาหารเที่ยงทานกันแล้วปล่อยให้ shopping กันตามอัธยาศัยก่อนที่จะแยกย้ายไปขึ้นเครื่องกันในช่วงค่ำ ๆ โปรแกรมชมเมืองวันนี้เริ่มจากเดินลัดเลาะไปชม Residenz Palace ซึ่งเป็นราชวังใหญ่ใจกลางเมือง … ซึ่งเราเลือกทัวร์แบบชมห้องต่าง ๆ เพียงอย่างเดียวไม่ได้เข้าชมกรุสมบัติเพราะใช้เวลานานเกินไป … ทีแรกก็กะว่าจะเดินชมกันสักครึ่งชั่วโมงเพื่อเหลือเวลาไปชมจุดอื่น ๆ  แต่พอเอาเข้าจริงกลับใช้เวลาถึงชั่วโมงเศษ  เพราะพระราชวังแห่งนี้มีห้องมากมายและเปิดให้ชมกันชนิดเต็มอิ่มไม่มีกั๊ก  แต่ละห้องก็สวยงามหรูหราแตกต่างกันไป  นับว่าคุ้มค่ามาก ๆ ครับกับค่าเข้าชมไม่กี่ร้อยบาท  แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไปเยือนมิวนิก  … สำหรับผมแล้วถ่ายภาพเพลินไปเลยเพราะที่นี่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้  แต่ห้ามใช้แฟลชนะครับ 🙂 อนุสาวรีย์ด้านหน้า Residenz Palace

ตึกด้านขวามืออยู่ระหว่างการปรับปรุง ที่เห็นเป็นภาพบนไวนิลครับ

สิงโตดูสง่าไม่เบา

ความสวยงามของ Residenz Palace

ออกจาก Residenz Palace เราก็รีบวิ่งกลับมาชมเจ้านาฬิกาตุ๊กตาเต้นระบำรอบเที่ยงกัน  ซึ่งก็ทันเวลาพอดี … อันที่จริงแล้วกว่าเจ้าตุ๊กตาออกมาเต้นก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน  และช่วงเต็นก็ใช้เวลาหลายนาที  ถ้าใครถ่าย VDO ก็เล่นเอาเมื่อยแขนไปเลยหากไม่ใช้ขาตั้งกล้อง … ใคร ๆ ก็มารอดูนาฬิกาเต้นระบำ

หลังจากเจ้าไก่โต้ง (หรือนกก็ไม่รู้) ออกมาขัน ปิดท้ายโชว์ของนาฬิกาแล้ว เราก็เดินอีกเล็กน้อยไปหาอะไรทานเป็นอาหารเที่ยงที่ตลาดวิกชัวเลียน  ซึ่งมีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลีกมากมาย … เราทานกันแบบง่าย ๆ ท่ามกลางชาวเยอรมันและนักท่องเที่ยวมากมายที่มาใช้บริเวณนี้เป็นที่ทานอาหารเที่ยงกัน หลังจากทานอาหารเสร็จก็ดูของฝากกัน  มีน่ารัก ๆ เต็มไปหมด

กะรอกน้อยทำจากเปลือกสน

ของแบบนี้รับรองถูกใจสาว ๆ

มื้อเที่ยงผ่านไปแล้ว  ผมก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวและ shopping กันได้ตามสะดวก  ส่วนผมเองก็แวะดูของโ่น่นนี่ไปเรื่อยและได้ของฝากเป็นช็อกโกเลตจากห้างแถว ๆ นั้นนั่นเอง

จัตตุรัสกลางเมือง

หอนาฬิกาหัวหอมคู่ ที่อีกหอหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมเลยถ่ายมาอันเดียว

เมื่อได้เวลานัดก็กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วเดินทางสู่สนามบินมิวนิก  ซึ่งกว่าจะหาที่ check in ได้ก็เดินหาอยู่นานเพราะสับสนเรื่อง zone นิดหน่อย  แต่เนื่องจากเผื่อเวลาไว้เยอะก็เลยไม่ต้องเร่งรีบมากนัก … ก่อนเข้า gate ก็แวะซื้อขนมเป็นของฝากเพิ่มเติมที่ mimimart ในสนามบิน … ซึ่งขนมบางประเภทราคาถูกกว่าในเมืองมิวนิคซะอีก (เจลลี่รูปลูกหมี ของฝากชื่อดังของเยอรมัน)   ดังนั้นถ้าไม่ซีเรียสเรื่องของฝาก  เพื่อน ๆ จะมาซื้อวันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องก็ได้ครับ  เพราะราคาของใน airport ไม่ได้แตกต่างจากข้างนอกเลยครับ  คงมีเมืองไทยที่เดียวกระมังที่อาหารและของฝากในสนามบินแพงกว่าข้างนอกเป็นเท่าตัว เฮ้ออออ การเดินทางกลับของผมต้องแวะที่ Dubai เหมือนขามา  แต่ไ่ม่ต้องรอนานเหมือนเดิม  … จาก Dubai นั่งต่อมาถึงสุวรรณภูมิช่วงเย็น ๆ นับเป็นการปิดทริปใหญ่อีกหนึ่งทริปที่เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน มีเรื่องราวรวมถึงประสบการณ์ดี ๆ มากมายระหว่างการเดินทางให้ได้จดจำไปอีกนานแสนนาน … พบกันใหม่ทริปหน้าครับ 🙂 สุดท้ายนี้ขอรวบรวม link ไปยังบทความทั้งหมดของทริปนี้ไว้ที่นี่ครับ ..